นี่คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุดในโลกสามพันปี นี่คือสิ่งที่ดำรงอยู่ระหว่างฟ้าดินที่น่าหวาดกลัว มีพลังที่ยากเกินจะอธิบายได้ นอกเสียจากผู้ฝึกฝนที่เหนือคนธรรมดา เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เล็กกระจ้อยร่อยจะสามารถยืนอยู่ด้านหน้าของมังกรยักษ์สีดำได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงอย่างไร ก็หมดหนทางที่แบกรับความน่าเกรงขามที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล เขาเม้มปากแน่น ไม่ให้เสียงของฟันที่กระทบกันดังเล็ดลอดออกมา ทว่ากลับมิอาจห้ามร่างกายมิให้สั่นเทาได้ กระดูกทุกข้อราวกับกำลังกรีดร้องด้วยความทุกข์ระทม
เสียงตุบดังขึ้น เขามิได้คุกเข่าลงตรงหน้ามังกรดำ ทว่ากลับไม่สามารถยืนตรงอยู่ได้ เสียการทรงตัวล้มลงนั่งลงบนพื้นแข็งแกร่งที่เย็นยะเยือกด้วยความแรงสูงสุด จิตใจของเขาลอยเคว้ง ไม่ได้คิดคำนึงถึงความเจ็บปวด เพียงแค่คิดไม่กี่ประโยคในใจซ้ำไปซ้ำมา
“ตำนานเป็นเรื่องจริง!”
“ในพระราชวังมีมังกรจริงๆ ด้วย!”
“มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่สูงส่งที่สุด!”
ก่อนที่จะผลักประตูหินหนักอึ้งบานนั้นออก เขาคิดความเป็นไปได้หลากหลายประการ
เขาเคยคิดว่าพลังกดทับอันน่าพรั่นพรึงที่อยู่ด้านหลังประตูบานนั้นอาจจะเป็นท่านที่บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ลั่วลั่วเคยกล่าวถึง เป็นผู้มีฝีมือในวังหลวงที่ถูกคุมขังมาเกินร้อยปี และอาจจะเป็นค่ายกลใหญ่ศูนย์กลางของพระราชวังแห่งนี้ ถึงขั้นเคยคิดว่าอาจจะมีโครงกระดูกของมังกรยักษ์ทิ้งไว้ ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า……
ด้านหลังประตูจะมีมังกรที่มีชีวิตอยู่!
หลังยุคบรรพกาล ดินแดนต้าลู่ยากยิ่งที่จะเห็นร่องรอยของเผ่ามังกร สิ่งมีชีวิตที่สูงส่งและแกร่งกล้ายิ่งใหญ่เหล่านั้น ใกล้จะกลายเป็นเพียงสัตว์เทพที่มีอยู่แต่ในตำรา ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นด้วยตาตนเอง เฉินฉางเซิงเคยจินตนาการลักษณะของมังกรมานับครั้งไม่ถ้วน ปรารถนาจะเห็นด้วยตาของตนเอง
แม้ในที่สุดค่ำคืนนี้จะได้มาเห็นด้วยตาตนเองแล้ว กลับยินยอมให้ชีวิตนี้ของตนไม่ต้องพบเจออีกจะดีเสียกว่า
เวลานี้มังกรดำลอยตัวอยู่กลางอากาศตรงหน้าเขา กำลังจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
แสงสว่างของไข่มุกราตรีนับพันเม็ดอยู่บนโดมโค้งมนสาดส่องลงมา ล้วนแต่ถูกเกล็ดสีดำบนร่างกายของมันดูดซับเอาไว้ทั้งหมด สีดำบริสุทธิ์ของร่างมังกรราวกับว่ามันเคยใช้ชีวิตอยู่หุบเหวลึกที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวแท้จริงก็คือดวงตาของมังกรดำคู่นั้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเย็นชาและความโหดเหี้ยม
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนัยน์ตาคู่นั้น นั่นเป็นดวงตาของเด็กน้อยเผ่ามนุษย์กำลังจ้องมองมดและตัวตุ่นที่อยู่ใต้ต้นไม้
นั่นคือความโหดเหี้ยมเย็นชาอย่างไร้สิ่งเจือปน ไม่ต้องมีสาเหตุและไม่ต้องมีเหตุผล
เด็กน้อยสามารถจ้องมองมดและตัวตุ่นที่อยู่ใต้ต้นไม้ได้ครึ่งค่อนชั่วยาม หลังจากนั้นจึงใช้ส้นรองเท้าเหยียบพวกมันให้ตาย
นี่ก็คืออากัปกิริยาของสิ่งมีชีวิตสูงส่งที่กระทำต่อผู้ที่ต่ำต้อย
เฉินฉางเซิงในที่สุดก็เข้าใจประโยคของม่ออวี่ก่อนที่จะจากไป
ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดจะสามารถออกจากวังถงไปได้ เพราะว่าประตูกำเนิดของวังถงอยู่ข้างใต้ของสระน้ำเย็นนั้นเอง
สระน้ำเย็นก็คือสระมังกรอย่างแท้จริง ที่นี่มีมังกรยักษ์สีดำอาศัยอยู่ เผ่ามนุษย์ผู้ใดพบเจอมัน ล้วนต้องมีอันเป็นไปทั้งสิ้น
เพียงแค่ม่ออวี่คิดไม่ถึงเท่านั้นเอง ว่าเขาจะมีความกล้าหาญหรือโง่เขลาที่จะยืนหยัดเดินไปหยุดอยู่หน้ามังกรดำ
เกล็ดน้ำแข็งที่อยู่บนขนตาของเฉินฉางเซิงร่วงหล่นลงมาโดยพลัน ราวกับหิมะที่อยู่บนกลีบของดอกเหมยต้องลมพัดจนร่วงหล่น
พื้นที่ด้านล่างมีสายลมก่อตัวขึ้นมาเล็กน้อย
นั่นก็คือมังกรยักษ์สีดำกำลังเตรียมจะหายใจ
เฉินฉางเซิงรู้ว่าอีกชั่วครู่ตนก็จะต้องตายแล้ว
ตอนผลักประตูหินบานนั้นเปิดออก เขามีแผนรับมือไว้มากมาย หากเป็นผู้มีฝีมือขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในพระราชวังผู้นั้นจริง แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนจะต้องเสียชีวิต เขาเชื่อว่าเพียงแค่สามารถเจรจา ตนก็สามารถเปลี่ยนชะตาตนเองได้
แต่ด้านหลังประตูหินก็คือมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่ง
ในตำนานกล่าวไว้ว่า มังกรเป็นสิ่งสูงส่ง เป็นผู้แกร่งกล้ายิ่งใหญ่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ผู้ที่เมตตาปรานี
มังกรไม่เจรจากับเผ่ามนุษย์ ไม่ควรค่าที่จะเจรจากับเผ่ามนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ควรค่าที่จะมาเจรจากับเผ่ามนุษย์ที่ธรรมดาเช่นเขา
เวลานี้ เขาไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น
การเผชิญหน้ากับความตาย เขากลับเตรียมตัวมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อความตายใกล้เข้ามาจริงๆ เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ตนเองยังคงไม่ได้เตรียมตัวใด ๆ
เดิมที ความตายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเตรียมตัวได้
ช่องว่างด้านล่างทั่วทั้งผืนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย แสงสว่างของไข่มุกราตรีราวกับหิมะที่สาดส่องลงมากระทบบนร่างกายของเขา
เขารู้สึกเหน็บหนาว ทันใดนั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง รู้ว่าจะทำสิ่งใดก็เป็นการเสียแรงเปล่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ดิ้นรนคิดแผนการขึ้นมา จนถึงขั้นไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เขาแหงนหน้าขึ้นมองศีรษะมังกรที่น่ากลัวราวกับเทือกเขาที่อยู่กลางอากาศด้วยจิตใจสงบนิ่งและปล่อยวาง
“เห็นทีอาจารย์คงจะพูดไม่ผิด โชคชะตาของข้าไม่ดีจริง ๆ”
เขาไม่รู้ว่ามังกรดำตัวนี้ฟังภาษามนุษย์เข้าใจหรือไม่ แต่เขาคิดว่าสิ่งที่มีชีวิตที่สูงส่งเช่นนี้ ถึงแม้จะฟังเข้าใจก็คงไม่ยินยอมจะฟัง ดังนั้นเขาจึงเอ่ยประโยคที่ไม่เคยเอ่ยที่ไหนเอ่ยกับมังกรดำตัวนี้ออกมา
“ข้าป่วย รักษาไม่หาย”
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี”
“อาจารย์เป็นแพทย์ที่ดีที่สุดในดินแดนต้าลู่ วิชาการแพทย์ของข้าก็ไม่เลวนัก แต่ว่า พวกเราก็รักษาไม่หาย”
“โรคของข้ารักษาไม่ได้ยิ่งกว่าโรคที่รักษาไม่ได้ ดังนั้นไม่ใช่อาการป่วย แต่เป็นโชคชะตา”
“โชคชะตาของข้าไม่ดี”
“หลังจากมาถึงจิงตู ข้าใช้เรี่ยวแรงมากมาย ในที่สุดก็เข้าไปอยู่ในสำนักฝึกหลวง มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้ ถึงแม้จะห่างไกลจากหอหลิงเหยียนอีกไกล แต่ในที่สุดก็เดินมุ่งไปทางนั้นก้าวหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นพบกับลั่วลั่ว ข้าคิดว่าโชคชะตาของตนกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”
“คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะมาเจอกับเจ้าเสียได้”
“โชคชะตาของข้า แท้จริงแล้วก็ยังไม่ดีอยู่ดี”
ใบหน้าของเฉินฉางเซิงขาวซีด นั่นเป็นเพราะถูกเกล็ดน้ำแข็งกับความเย็นยะเยือกทำให้หนาวเหน็บ มิได้เกี่ยวกับความหวาดกลัวแต่อย่างใด
ตอนนี้เขาไม่หวั่นเกรงสิ่งใดทั้งสิ้น แม้กำลังอยู่ต่อหน้ากับมังกรยักษ์สีดำโหดเหี้ยมในตำนานตัวหนึ่ง
เขาไม่กังวลว่ามังกรดำจะเข้าใจคำพูดของตนหรือไม่ ปรารถนาจะฟังวาจาของตนหรือไม่
เขารู้เพียงว่าตนใกล้ถึงฆาตแล้ว หากไม่เอ่ยออกมาก็จะไม่มีโอกาสเอ่ยแล้ว
“ต่างกล่าวกันว่าโชคชะตาฟ้าเป็นผู้กำหนด ถึงแม้จะย่ำแย่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ข้าไม่ยอม”
พลังสายหนึ่งที่ไม่รู้มาจากไหน ประคองให้เขายืนขึ้นมา เขาแหงนหน้าขึ้นมองไข่มุกราตรีที่งดงามบนโดมโค้งมน หรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนกับลูกสัตว์ป่าที่น่าสงสารยามจ้องมองดวงอาทิตย์ยามอรุณ เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ อยากมีชีวิตเกินยี่สิบปี จากนั้นก็ถึงหนึ่งร้อยปี จนกระทั่งถึงห้าร้อยปี แปดร้อยปี มีชีวิตตราบนานเท่านาน ดีที่สุดคือมีชีวิตเป็นอมตะ…แต่ก่อนอื่น ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึงอายุยี่สิบปีก่อน ดังนั้นข้าจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังยิ่ง”
“ทุกวันข้าตื่นนอนแต่เช้า ทุกวันข้าออกกำลังกาย แต่ไรมาข้าไม่เคยเลือกกินเฉพาะสิ่งที่ชอบ ไม่สนใจคำพูดของผู้อื่น ยืนหยัดในความคิดของตน นั่นไม่ใช่นิสัย แต่เพราะอาหารเหล่านั้นถึงจะทำให้แข็งแรง ข้าทำตามตำราการแพทย์ กินทั้งเนื้อและผักโดยใช้เครื่องชั่งขนาดเล็กชั่งตวง ไม่เคยรังเกียจความยุ่งยาก จนกระทั่งอายุถึงสิบสองปี ทุกอย่างจึงกลายเป็นสัญชาตญาณไปโดยปริยาย”
“ข้าหวงแหนเวลา ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาและฝึกบำเพ็ญเพียร ก่อนข้าอายุยี่สิบปีข้าปรารถนาจะได้สัมผัสกับความเฉลียวฉลาดที่งดงามยอดเยี่ยมที่สุด อยากจะใช้การฝึกบำเพ็ญเพียรเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง เช่นนี้หลังจากอายุยี่สิบปีถึงจะมีโอกาสไปดูภาพทิวทัศน์ที่งดงามยอดเยี่ยมที่สุด”
เขามองมังกรสีดำแล้วเอ่ยต่อ “ใช่แล้ว ข้าทำเรื่องราวทุกเรื่อง ข้าตั้งกฎเกณฑ์ทุกข้อให้ตนเอง ต่างล้วนเพราะการมีชีวิตอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่ก็คือการมีชีวิตอยู่ ข้ายินยอมที่จะมอบการแลกเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ ข้าทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อจะมีชีวิตอยู่”
สิ่งสำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่ก็คือการมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุนี้ข้าถึงพยายามมีชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถ… ที่ว่างใต้พื้นดินอันเย็นยะเยือก ราตรีอันมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป แสงสว่างของเส้นโค้งมนค่อย ๆ เบาบาง หนุ่มน้อยเบื้องหน้ามังกรดำ วาจาที่ทั้งสงบนิ่งและแอบแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้ใดส่วนใหญ่ย่อมสะเทือนใจทั้งสิ้น
สายตาของมังกรยักษ์สีดำที่จ้องมองหนุ่มน้อยยังคงเย็นชาโหดเหี้ยม อาจเป็นเพราะว่ามันฟังภาษาเผ่ามนุษย์ไม่เข้าใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือไม่สนใจ มดกำลังใช้สองขาหน้าโบกกิ่งไม้ไปมาอย่างโกรธแค้นระคนเศร้าสร้อย ในสายตาที่กำลังมองสำรวจเด็กน้อยของมันแสดงเพียงความรู้สึกสนอกสนใจหรือน่ารักเท่านั้นเอง
เฉินฉางเซิงมิได้สนใจปฏิกิริยาของมังกรดำ เขาเพียงอยากจะพูดออกมาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น
“การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาช่างยากเย็นเสียจริง หลายปีมานี้ข้ามีชีวิตอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แต่ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยอีกเท่าไรข้าก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ เพราะว่าเนื้อหัวหมูที่นำมาแล่เป็นแผ่นบาง ๆ จิ้มน้ำมันแดงกับเกลือภูเขาของเมืองซีหนิงนั้นอร่อยจริง ๆ เพราะว่ามีความรู้ที่น่าสนใจมากมายอยู่ในตำรา เพราะว่าชีวิตเป็นสิ่งที่งดงามอย่างยิ่ง”
“ข้าไม่อยากตาย แต่ข้าไม่อาจรับรองว่าตนจะมีชีวิตพ้นวัยยี่สิบปีไปได้ หากจะกล่าวให้ถูกต้อง เดิมทีข้าไม่มีความมั่นใจใด ๆ ข้าไม่อยากให้หญิงสาวที่ส่งแมลงปอไม้ไผ่ให้กับข้าเป็นหม้ายขันหมาก ดังนั้นข้าจึงมาจิงตูเพื่อที่จะมาถอนการหมั้นหมาย แล้วผลลัพธ์เล่า?”
“ผู้คนที่รู้จักข้าล้วนแต่คิดว่าข้าเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี ล้วนแล้วแต่บอกว่าข้าสุขุมหนักแน่น กลับไม่คิดสักนิดว่า…ข้าห่างจากความตายเพียงห้าปี ข้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาเจิดจรัส แต่กลับถูกดินเหลืองฝังกลบไปครึ่งหนึ่งเสียแล้ว แล้วไม่ให้สุขุมได้อย่างไร แต่ข้ายอมเสียที่ไหนกันเล่า! ?”
หลายปีที่ผ่านมานี้ เฉินฉางเซิงระมัดระวังควบคุมอารมณ์ของตนเอง เพราะว่าหากยินดีหรือว่าเศร้าโศกเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่สงบนิ่งอีกต่อไป เขาจ้องมองมังกรดำหรืออาจจะเป็นโลกใบนี้แล้วตะโกนด้วยความโกรธแค้น
“ข้าไม่อยากตาย”
“แต่ตอนนี้ข้าจะต้องตายแล้ว”
“ข้าเสียใจเหลือเกิน”
เฉินฉางเซิงเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง ขอบตาแดงเรื่อ เขาคิดว่าตนเองจะร้องไห้ กลับพบว่าหลายปีที่ควบคุมอารมณ์ไม่ยอมร้องออกมา แม้แต่จะร้องไห้อย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเศร้าเสียใจกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงสงบใจลงได้อย่างสุดจะคาดคิด
“ขอบคุณเจ้าที่ไม่กินข้าในคำเดียว ถึงแม้นี่ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงของเจ้า แต่เจ้าก็ให้ข้าพูดจนจบ ดังนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้า แต่ว่าข้าอยากจะมีชีวิตต่อไปจริงๆ ดังนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องน่าขันก็จริง แต่ว่าจะกรุณาอนุญาตให้ข้าต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเจ้าได้หรือไม่”
เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ เขาชูกระบี่สั้นในมือ พุ่งไปยังมังกรดำ
ในใจเขาลอบคิดเงียบ ๆ
ความตายรึ เข้ามาสิ!
ให้พวกเราตัดสินแพ้ชนะในคราวเดียวไปเลย
ก็เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมานี้
มังกรดำค่อยๆ มุ่งมาทางเขาอย่างเชื่องช้า ลมพายุอันหนาวเหน็บสะท้อนกลับไปยังช่องว่างกว้างขวางใต้พื้นดิน ร่างกายของมันเกินกว่าคำว่ามหึมา เพียงแค่ขยับเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
ความหนาวเหน็บที่ยากจะจินตนาการได้ถาโถมใส่ร่างของเฉินฉางเซิง
ขนตาของเขามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะตัวอีกครั้ง เลือดในร่างกายราวกับถูกแช่แข็ง
แม้ความตายอยู่ตรงหน้า
แต่เขากลับสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงขั้นผ่อนคลายอย่างยิ่ง
เงามรณะกับแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงได้ติดตามเขามาตลอดนับตั้งแต่อายุสิบปีเป็นต้นมา พลันมลายหายไปในพริบตา
เขาไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างนี้มาก่อน รู้สึกว่าร่างกายเบาไปมาก ไม่มีความกดดันใด ๆ ทั้งสิ้น แท้จริงเป็นความรู้สึกที่งดงามเช่นนี้
ในที่สุดเขาก็คิดได้ จะสามารถต่อสู้กับความหวาดกลัวต่อความตายได้อย่างไรนั้น ก็มีเพียงเมื่อความตายมาถึงตัวเท่านั้น
เขายิ้มออกมา เกล็ดน้ำแข็งบนขนตาราวกับดอกไม้สีขาวที่กำลังเบ่งบานอย่างไรอย่างนั้น
อาจารย์ ท่านมองเห็นหรือไม่
ข้าต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตาตนเองแล้ว
ท่านเคยกล่าวว่าข้าจะตายตอนอายุยี่สิบ
ตอนนี้ข้ายังไม่ครบสิบห้าปี ก็จะต้องตายเสียแล้ว
โชคชะตา ที่แท้ก็มิใช่ว่าจะเอาชนะมันไม่ได้