ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 59 หนุ่มน้อยพูดกับตัวเองต่อหน้ามังกรยักษ์สีดำ

นี่คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุดในโลกสามพันปี นี่คือสิ่งที่ดำรงอยู่ระหว่างฟ้าดินที่น่าหวาดกลัว มีพลังที่ยากเกินจะอธิบายได้ นอกเสียจากผู้ฝึกฝนที่เหนือคนธรรมดา เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เล็กกระจ้อยร่อยจะสามารถยืนอยู่ด้านหน้าของมังกรยักษ์สีดำได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงมีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงอย่างไร ก็หมดหนทางที่แบกรับความน่าเกรงขามที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล เขาเม้มปากแน่น ไม่ให้เสียงของฟันที่กระทบกันดังเล็ดลอดออกมา ทว่ากลับมิอาจห้ามร่างกายมิให้สั่นเทาได้ กระดูกทุกข้อราวกับกำลังกรีดร้องด้วยความทุกข์ระทม

เสียงตุบดังขึ้น เขามิได้คุกเข่าลงตรงหน้ามังกรดำ ทว่ากลับไม่สามารถยืนตรงอยู่ได้ เสียการทรงตัวล้มลงนั่งลงบนพื้นแข็งแกร่งที่เย็นยะเยือกด้วยความแรงสูงสุด จิตใจของเขาลอยเคว้ง ไม่ได้คิดคำนึงถึงความเจ็บปวด เพียงแค่คิดไม่กี่ประโยคในใจซ้ำไปซ้ำมา

“ตำนานเป็นเรื่องจริง!”

“ในพระราชวังมีมังกรจริงๆ ด้วย!”

“มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่สูงส่งที่สุด!”

ก่อนที่จะผลักประตูหินหนักอึ้งบานนั้นออก เขาคิดความเป็นไปได้หลากหลายประการ

เขาเคยคิดว่าพลังกดทับอันน่าพรั่นพรึงที่อยู่ด้านหลังประตูบานนั้นอาจจะเป็นท่านที่บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ลั่วลั่วเคยกล่าวถึง เป็นผู้มีฝีมือในวังหลวงที่ถูกคุมขังมาเกินร้อยปี และอาจจะเป็นค่ายกลใหญ่ศูนย์กลางของพระราชวังแห่งนี้ ถึงขั้นเคยคิดว่าอาจจะมีโครงกระดูกของมังกรยักษ์ทิ้งไว้ ทว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า……

ด้านหลังประตูจะมีมังกรที่มีชีวิตอยู่!

หลังยุคบรรพกาล ดินแดนต้าลู่ยากยิ่งที่จะเห็นร่องรอยของเผ่ามังกร สิ่งมีชีวิตที่สูงส่งและแกร่งกล้ายิ่งใหญ่เหล่านั้น ใกล้จะกลายเป็นเพียงสัตว์เทพที่มีอยู่แต่ในตำรา ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นด้วยตาตนเอง เฉินฉางเซิงเคยจินตนาการลักษณะของมังกรมานับครั้งไม่ถ้วน ปรารถนาจะเห็นด้วยตาของตนเอง

แม้ในที่สุดค่ำคืนนี้จะได้มาเห็นด้วยตาตนเองแล้ว กลับยินยอมให้ชีวิตนี้ของตนไม่ต้องพบเจออีกจะดีเสียกว่า

เวลานี้มังกรดำลอยตัวอยู่กลางอากาศตรงหน้าเขา กำลังจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า

แสงสว่างของไข่มุกราตรีนับพันเม็ดอยู่บนโดมโค้งมนสาดส่องลงมา ล้วนแต่ถูกเกล็ดสีดำบนร่างกายของมันดูดซับเอาไว้ทั้งหมด สีดำบริสุทธิ์ของร่างมังกรราวกับว่ามันเคยใช้ชีวิตอยู่หุบเหวลึกที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา แต่สิ่งที่น่าหวาดกลัวแท้จริงก็คือดวงตาของมังกรดำคู่นั้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเย็นชาและความโหดเหี้ยม

เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของนัยน์ตาคู่นั้น นั่นเป็นดวงตาของเด็กน้อยเผ่ามนุษย์กำลังจ้องมองมดและตัวตุ่นที่อยู่ใต้ต้นไม้

นั่นคือความโหดเหี้ยมเย็นชาอย่างไร้สิ่งเจือปน ไม่ต้องมีสาเหตุและไม่ต้องมีเหตุผล

เด็กน้อยสามารถจ้องมองมดและตัวตุ่นที่อยู่ใต้ต้นไม้ได้ครึ่งค่อนชั่วยาม หลังจากนั้นจึงใช้ส้นรองเท้าเหยียบพวกมันให้ตาย

นี่ก็คืออากัปกิริยาของสิ่งมีชีวิตสูงส่งที่กระทำต่อผู้ที่ต่ำต้อย

เฉินฉางเซิงในที่สุดก็เข้าใจประโยคของม่ออวี่ก่อนที่จะจากไป

ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดจะสามารถออกจากวังถงไปได้ เพราะว่าประตูกำเนิดของวังถงอยู่ข้างใต้ของสระน้ำเย็นนั้นเอง

สระน้ำเย็นก็คือสระมังกรอย่างแท้จริง ที่นี่มีมังกรยักษ์สีดำอาศัยอยู่ เผ่ามนุษย์ผู้ใดพบเจอมัน ล้วนต้องมีอันเป็นไปทั้งสิ้น

เพียงแค่ม่ออวี่คิดไม่ถึงเท่านั้นเอง ว่าเขาจะมีความกล้าหาญหรือโง่เขลาที่จะยืนหยัดเดินไปหยุดอยู่หน้ามังกรดำ

เกล็ดน้ำแข็งที่อยู่บนขนตาของเฉินฉางเซิงร่วงหล่นลงมาโดยพลัน ราวกับหิมะที่อยู่บนกลีบของดอกเหมยต้องลมพัดจนร่วงหล่น

พื้นที่ด้านล่างมีสายลมก่อตัวขึ้นมาเล็กน้อย

นั่นก็คือมังกรยักษ์สีดำกำลังเตรียมจะหายใจ

เฉินฉางเซิงรู้ว่าอีกชั่วครู่ตนก็จะต้องตายแล้ว

ตอนผลักประตูหินบานนั้นเปิดออก เขามีแผนรับมือไว้มากมาย หากเป็นผู้มีฝีมือขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในพระราชวังผู้นั้นจริง แต่เขาก็ไม่คิดว่าตนจะต้องเสียชีวิต เขาเชื่อว่าเพียงแค่สามารถเจรจา ตนก็สามารถเปลี่ยนชะตาตนเองได้

แต่ด้านหลังประตูหินก็คือมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่ง

ในตำนานกล่าวไว้ว่า มังกรเป็นสิ่งสูงส่ง เป็นผู้แกร่งกล้ายิ่งใหญ่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่ผู้ที่เมตตาปรานี

มังกรไม่เจรจากับเผ่ามนุษย์ ไม่ควรค่าที่จะเจรจากับเผ่ามนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ควรค่าที่จะมาเจรจากับเผ่ามนุษย์ที่ธรรมดาเช่นเขา

เวลานี้ เขาไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น

การเผชิญหน้ากับความตาย เขากลับเตรียมตัวมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อความตายใกล้เข้ามาจริงๆ เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ตนเองยังคงไม่ได้เตรียมตัวใด ๆ

เดิมที ความตายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเตรียมตัวได้

ช่องว่างด้านล่างทั่วทั้งผืนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย แสงสว่างของไข่มุกราตรีราวกับหิมะที่สาดส่องลงมากระทบบนร่างกายของเขา

เขารู้สึกเหน็บหนาว ทันใดนั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง รู้ว่าจะทำสิ่งใดก็เป็นการเสียแรงเปล่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ดิ้นรนคิดแผนการขึ้นมา จนถึงขั้นไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง เขาแหงนหน้าขึ้นมองศีรษะมังกรที่น่ากลัวราวกับเทือกเขาที่อยู่กลางอากาศด้วยจิตใจสงบนิ่งและปล่อยวาง

“เห็นทีอาจารย์คงจะพูดไม่ผิด โชคชะตาของข้าไม่ดีจริง ๆ”

เขาไม่รู้ว่ามังกรดำตัวนี้ฟังภาษามนุษย์เข้าใจหรือไม่ แต่เขาคิดว่าสิ่งที่มีชีวิตที่สูงส่งเช่นนี้ ถึงแม้จะฟังเข้าใจก็คงไม่ยินยอมจะฟัง ดังนั้นเขาจึงเอ่ยประโยคที่ไม่เคยเอ่ยที่ไหนเอ่ยกับมังกรดำตัวนี้ออกมา

“ข้าป่วย รักษาไม่หาย”

“ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี”

“อาจารย์เป็นแพทย์ที่ดีที่สุดในดินแดนต้าลู่ วิชาการแพทย์ของข้าก็ไม่เลวนัก แต่ว่า พวกเราก็รักษาไม่หาย”

“โรคของข้ารักษาไม่ได้ยิ่งกว่าโรคที่รักษาไม่ได้ ดังนั้นไม่ใช่อาการป่วย แต่เป็นโชคชะตา”

“โชคชะตาของข้าไม่ดี”

“หลังจากมาถึงจิงตู ข้าใช้เรี่ยวแรงมากมาย ในที่สุดก็เข้าไปอยู่ในสำนักฝึกหลวง มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้ ถึงแม้จะห่างไกลจากหอหลิงเหยียนอีกไกล แต่ในที่สุดก็เดินมุ่งไปทางนั้นก้าวหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นพบกับลั่วลั่ว ข้าคิดว่าโชคชะตาของตนกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

“คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะมาเจอกับเจ้าเสียได้”

“โชคชะตาของข้า แท้จริงแล้วก็ยังไม่ดีอยู่ดี”

ใบหน้าของเฉินฉางเซิงขาวซีด นั่นเป็นเพราะถูกเกล็ดน้ำแข็งกับความเย็นยะเยือกทำให้หนาวเหน็บ มิได้เกี่ยวกับความหวาดกลัวแต่อย่างใด

ตอนนี้เขาไม่หวั่นเกรงสิ่งใดทั้งสิ้น แม้กำลังอยู่ต่อหน้ากับมังกรยักษ์สีดำโหดเหี้ยมในตำนานตัวหนึ่ง

เขาไม่กังวลว่ามังกรดำจะเข้าใจคำพูดของตนหรือไม่ ปรารถนาจะฟังวาจาของตนหรือไม่

เขารู้เพียงว่าตนใกล้ถึงฆาตแล้ว หากไม่เอ่ยออกมาก็จะไม่มีโอกาสเอ่ยแล้ว

“ต่างกล่าวกันว่าโชคชะตาฟ้าเป็นผู้กำหนด ถึงแม้จะย่ำแย่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ข้าไม่ยอม”

พลังสายหนึ่งที่ไม่รู้มาจากไหน ประคองให้เขายืนขึ้นมา เขาแหงนหน้าขึ้นมองไข่มุกราตรีที่งดงามบนโดมโค้งมน หรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนกับลูกสัตว์ป่าที่น่าสงสารยามจ้องมองดวงอาทิตย์ยามอรุณ เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

“ข้าอยากมีชีวิตอยู่ อยากมีชีวิตเกินยี่สิบปี จากนั้นก็ถึงหนึ่งร้อยปี จนกระทั่งถึงห้าร้อยปี แปดร้อยปี มีชีวิตตราบนานเท่านาน ดีที่สุดคือมีชีวิตเป็นอมตะ…แต่ก่อนอื่น ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึงอายุยี่สิบปีก่อน ดังนั้นข้าจึงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังยิ่ง”

“ทุกวันข้าตื่นนอนแต่เช้า ทุกวันข้าออกกำลังกาย แต่ไรมาข้าไม่เคยเลือกกินเฉพาะสิ่งที่ชอบ ไม่สนใจคำพูดของผู้อื่น ยืนหยัดในความคิดของตน นั่นไม่ใช่นิสัย แต่เพราะอาหารเหล่านั้นถึงจะทำให้แข็งแรง ข้าทำตามตำราการแพทย์ กินทั้งเนื้อและผักโดยใช้เครื่องชั่งขนาดเล็กชั่งตวง ไม่เคยรังเกียจความยุ่งยาก จนกระทั่งอายุถึงสิบสองปี ทุกอย่างจึงกลายเป็นสัญชาตญาณไปโดยปริยาย”

“ข้าหวงแหนเวลา ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาและฝึกบำเพ็ญเพียร ก่อนข้าอายุยี่สิบปีข้าปรารถนาจะได้สัมผัสกับความเฉลียวฉลาดที่งดงามยอดเยี่ยมที่สุด อยากจะใช้การฝึกบำเพ็ญเพียรเพื่อเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง เช่นนี้หลังจากอายุยี่สิบปีถึงจะมีโอกาสไปดูภาพทิวทัศน์ที่งดงามยอดเยี่ยมที่สุด”

เขามองมังกรสีดำแล้วเอ่ยต่อ “ใช่แล้ว ข้าทำเรื่องราวทุกเรื่อง ข้าตั้งกฎเกณฑ์ทุกข้อให้ตนเอง ต่างล้วนเพราะการมีชีวิตอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่ก็คือการมีชีวิตอยู่ ข้ายินยอมที่จะมอบการแลกเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ ข้าทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อจะมีชีวิตอยู่”

สิ่งสำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่ก็คือการมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุนี้ข้าถึงพยายามมีชีวิตรอดอย่างสุดความสามารถ… ที่ว่างใต้พื้นดินอันเย็นยะเยือก ราตรีอันมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป แสงสว่างของเส้นโค้งมนค่อย ๆ เบาบาง หนุ่มน้อยเบื้องหน้ามังกรดำ วาจาที่ทั้งสงบนิ่งและแอบแฝงไปด้วยความโศกเศร้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้ใดส่วนใหญ่ย่อมสะเทือนใจทั้งสิ้น

สายตาของมังกรยักษ์สีดำที่จ้องมองหนุ่มน้อยยังคงเย็นชาโหดเหี้ยม อาจเป็นเพราะว่ามันฟังภาษาเผ่ามนุษย์ไม่เข้าใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือไม่สนใจ มดกำลังใช้สองขาหน้าโบกกิ่งไม้ไปมาอย่างโกรธแค้นระคนเศร้าสร้อย ในสายตาที่กำลังมองสำรวจเด็กน้อยของมันแสดงเพียงความรู้สึกสนอกสนใจหรือน่ารักเท่านั้นเอง

เฉินฉางเซิงมิได้สนใจปฏิกิริยาของมังกรดำ เขาเพียงอยากจะพูดออกมาในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเท่านั้น

“การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาช่างยากเย็นเสียจริง หลายปีมานี้ข้ามีชีวิตอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน แต่ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยอีกเท่าไรข้าก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ เพราะว่าเนื้อหัวหมูที่นำมาแล่เป็นแผ่นบาง ๆ จิ้มน้ำมันแดงกับเกลือภูเขาของเมืองซีหนิงนั้นอร่อยจริง ๆ เพราะว่ามีความรู้ที่น่าสนใจมากมายอยู่ในตำรา เพราะว่าชีวิตเป็นสิ่งที่งดงามอย่างยิ่ง”

“ข้าไม่อยากตาย แต่ข้าไม่อาจรับรองว่าตนจะมีชีวิตพ้นวัยยี่สิบปีไปได้ หากจะกล่าวให้ถูกต้อง เดิมทีข้าไม่มีความมั่นใจใด ๆ ข้าไม่อยากให้หญิงสาวที่ส่งแมลงปอไม้ไผ่ให้กับข้าเป็นหม้ายขันหมาก ดังนั้นข้าจึงมาจิงตูเพื่อที่จะมาถอนการหมั้นหมาย แล้วผลลัพธ์เล่า?”

“ผู้คนที่รู้จักข้าล้วนแต่คิดว่าข้าเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ไม่เหมือนกับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปี ล้วนแล้วแต่บอกว่าข้าสุขุมหนักแน่น กลับไม่คิดสักนิดว่า…ข้าห่างจากความตายเพียงห้าปี ข้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาเจิดจรัส แต่กลับถูกดินเหลืองฝังกลบไปครึ่งหนึ่งเสียแล้ว แล้วไม่ให้สุขุมได้อย่างไร แต่ข้ายอมเสียที่ไหนกันเล่า! ?”

หลายปีที่ผ่านมานี้ เฉินฉางเซิงระมัดระวังควบคุมอารมณ์ของตนเอง เพราะว่าหากยินดีหรือว่าเศร้าโศกเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่สงบนิ่งอีกต่อไป เขาจ้องมองมังกรดำหรืออาจจะเป็นโลกใบนี้แล้วตะโกนด้วยความโกรธแค้น

“ข้าไม่อยากตาย”

“แต่ตอนนี้ข้าจะต้องตายแล้ว”

“ข้าเสียใจเหลือเกิน”

เฉินฉางเซิงเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง ขอบตาแดงเรื่อ เขาคิดว่าตนเองจะร้องไห้ กลับพบว่าหลายปีที่ควบคุมอารมณ์ไม่ยอมร้องออกมา แม้แต่จะร้องไห้อย่างไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเศร้าเสียใจกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงสงบใจลงได้อย่างสุดจะคาดคิด

“ขอบคุณเจ้าที่ไม่กินข้าในคำเดียว ถึงแม้นี่ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงของเจ้า แต่เจ้าก็ให้ข้าพูดจนจบ ดังนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้า แต่ว่าข้าอยากจะมีชีวิตต่อไปจริงๆ ดังนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องน่าขันก็จริง แต่ว่าจะกรุณาอนุญาตให้ข้าต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเจ้าได้หรือไม่”

เมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายจบ เขาชูกระบี่สั้นในมือ พุ่งไปยังมังกรดำ

ในใจเขาลอบคิดเงียบ ๆ

ความตายรึ เข้ามาสิ!

ให้พวกเราตัดสินแพ้ชนะในคราวเดียวไปเลย

ก็เหมือนกับหลายปีที่ผ่านมานี้

มังกรดำค่อยๆ มุ่งมาทางเขาอย่างเชื่องช้า ลมพายุอันหนาวเหน็บสะท้อนกลับไปยังช่องว่างกว้างขวางใต้พื้นดิน ร่างกายของมันเกินกว่าคำว่ามหึมา เพียงแค่ขยับเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงได้แล้ว

ความหนาวเหน็บที่ยากจะจินตนาการได้ถาโถมใส่ร่างของเฉินฉางเซิง

ขนตาของเขามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะตัวอีกครั้ง เลือดในร่างกายราวกับถูกแช่แข็ง

แม้ความตายอยู่ตรงหน้า

แต่เขากลับสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงขั้นผ่อนคลายอย่างยิ่ง

เงามรณะกับแรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงได้ติดตามเขามาตลอดนับตั้งแต่อายุสิบปีเป็นต้นมา พลันมลายหายไปในพริบตา

เขาไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างนี้มาก่อน รู้สึกว่าร่างกายเบาไปมาก ไม่มีความกดดันใด ๆ ทั้งสิ้น แท้จริงเป็นความรู้สึกที่งดงามเช่นนี้

ในที่สุดเขาก็คิดได้ จะสามารถต่อสู้กับความหวาดกลัวต่อความตายได้อย่างไรนั้น ก็มีเพียงเมื่อความตายมาถึงตัวเท่านั้น

เขายิ้มออกมา เกล็ดน้ำแข็งบนขนตาราวกับดอกไม้สีขาวที่กำลังเบ่งบานอย่างไรอย่างนั้น

อาจารย์ ท่านมองเห็นหรือไม่

ข้าต้องเปลี่ยนแปลงโชคชะตาตนเองแล้ว

ท่านเคยกล่าวว่าข้าจะตายตอนอายุยี่สิบ

ตอนนี้ข้ายังไม่ครบสิบห้าปี ก็จะต้องตายเสียแล้ว

โชคชะตา ที่แท้ก็มิใช่ว่าจะเอาชนะมันไม่ได้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset