ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 66 นกกระเรียนขาวเป็นหลักฐาน (ตอนต้น)

“พวกท่านมีหลักฐานอะไรมายืนยันว่าคำพูดของข้าเป็นเท็จ”

เฉินฉางเซิงจ้องมองผู้คนในตำหนักพลางกล่าวถาม ท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง เป็นเพราะเขาโกรธจัด

“แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยได้ยินศิษย์หลานโหยว่หรงเคยกล่าวมาก่อนว่าเคยมีว่าที่สามีเช่นเจ้า”

สตรีของเทือกเขาเทพธิดาที่มีผ้าคลุมศีรษะสีขาวค่อยๆ ยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองเขาพลางกล่าวออกมา นางจ้องมองหนุ่มน้อยผู้นั้นด้วยท่าทางโกรธแค้น จิตใจมิได้สงบ หวนคิดไปถึงสิ่งที่ศิษย์พี่ได้ตระเตรียมมาหลายเดือน ในใจครุ่นคิด หรือว่าสิ่งที่หนุ่มน้อยผู้นี้พูดเป็นเรื่องจริง?

“เจ้ามีอะไรมาพิสูจน์หรือ”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ข้ามีหนังสือสมรสเป็นหลักฐาน”

สีหน้าของเสี่ยวซงกงราวกับน้ำค้างแข็ง เอ่ยเฉียบขาดออกมา “ถึงแม้เจ้าจะนำหนังสือสวรรค์มาเป็นหลักฐาน ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อคำพูดของเจ้า!”

“ข้าเชื่อ”

ตอนนั้นเองในตำหนักอยู่ๆ ก็มีเสียงกังวานใสดังขึ้นมา เสียงนั้นเหมือนกับไข่มุกราตรีสองเม็ดกระทบกันเบาๆ งดงามแต่แน่วแน่

ลั่วลั่วฮึดฮัดเสียงเบา พลางเอ่ยออกมา “อาจารย์ข้าจะสมรสกับผู้ใดล้วนแต่มีคุณสมบัติเพียงพอ”

ในตำหนักเวลานี้เงียบสนิท ผู้คนงงงันไร้คำพูด ในใจครุ่นคิดแม่นางที่เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงรู้หรือไม่ว่าตนกำลังกล่าวอะไรอยู่ หนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นอาจารย์ของเจ้า เขามิใช่ของไร้ประโยชน์ที่แม้แต่การชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จหรอกหรือ หากเมื่อเจ้าเปล่งออกมา ไฉนกลับเหมือนว่าสวีโหยว่หรงสมรสกับเขาที่มีฐานะสูงกว่ามิปาน หรือว่าเขาดีเลิศกว่าชิวซานจวินหรือ

ลั่วลั่วมิได้สนใจว่าผู้คนเหล่านั้นกำลังคิดสิ่งใด จ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยความเลื่อมใสพลางกล่าว “อาจารย์ ท่านเก่งกาจอย่างยิ่ง”

“ข้าก็เชื่อ” ถังซานสือลิ่วจ้องมองฝูงชนในตำหนัก “เด็กหนุ่มผู้นี้แปลกประหลาดยิ่ง ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องใดกลับมิใช่เรื่องประหลาด ไม่ต้องกล่าวว่าสวีโหยว่หรงคือว่าที่ภรรยา ถึงแม้เขาจะบอกว่าตนเองเป็นโอรสของจักรพรรดิเผ่ามาร ข้าก็เชื่อ”

จวงห้วนอวี่เห็นทางด้านหนานฟางท่าทางมิได้ยินดี ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตะโกนลั่นออกไป “เจ้าพูดให้มันน้อยหน่อย!”

ถังซานสือลิ่วท่าทางเยือกเย็น มิได้สนใจเขา จ้องมองไปทางเฉินฉางเซิงพลางกล่าว “มิน่าเล่าเจ้าหลงตัวเองยิ่งกว่าข้า ที่แท้ปิดบังว่าที่ภรรยา เรื่องนี้…แท้จริงแล้วคุ้มค่าที่จะภาคภูมิใจ เลื่อมใส เลื่อมใสจริงๆ”

ประโยคของลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วล้วนออกมาจากใจจริง พวกเขาเลื่อมใสเฉินฉางเซิงอย่างแท้จริง แต่ในสายตาของคณะทูตทางใต้ เวลานี้พวกเขาแสดงความเชื่อถือและสนับสนุนเฉินฉางเซิง เป็นการพยายามเหยียดหยามตนยิ่ง

ผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงตะโกนด้วยความโมโหจัด “เขาหลีซานของข้าอยู่ทางทิศใต้ ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากปวงชนทั่วใต้หล้า ครั้นเมื่อจักรพรรดิไท่จงเริ่มก่อตั้งอาณาจักร ได้มอบแผ่นป้ายที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์คำว่าบรรพบุรุษพันปีให้แก่เขาหลีซาน เมื่อยุคของจักรพรรดิไท่จง มีพระราชโองการให้เรียกขานเขาหลีซานว่าปรมาจารย์ของปวงประชา ทว่าขณะนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปกครอง ยิ่งให้เกียรติเขาหลีซานของเราเพิ่มมากขึ้น! คิดไม่ถึงว่าค่ำคืนนี้มีเด็กน้อยคนหนึ่ง ปรารถนาจะทำลายชื่อเสียงอันดีงามของเขาหลีซานที่ยาวนานเจ็ดพันปี ถ้าหากราชวงศ์ต้าโจวไม่จัดการเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพวกนี้ ข้าคงจะต้องสั่งสอนเสียแล้ว”

ถึงแม้เขาจะไม่นับว่าเป็นผู้อาวุโสคนสุดท้ายของพรรคกระบี่เขาหลีซาน แต่ในพรรคเขามีตำแหน่งอาวุโสยิ่ง วิทยายุทธ์สูงส่ง ขาดเพียงย่างก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ในวังเว่ยหยางค่ำคืนนี้ มีเพียงเขากับเหมาชิวอวี่สองคนที่มีวรยุทธ์สูงสุด

เวลานี้ภายใต้ความโกรธเคืองของเขา มีพลังออกมาเต็มเปี่ยม บนแก้มที่ซูบผอมมีแสงเปล่งประกายออกมาวูบวาบ พลังลมปราณที่มีพลังมหาศาล ท่วมทะลักออกมาจากร่างกายที่ผอมเกร็งของเขา เพียงชั่วพริบตาข้ามผ่านระยะทางหลายสิบจ้างมายังด้านหน้าตำหนัก ปิดล้อมเฉินฉางเซิงไว้!

อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นระดับวรยุทธ์ที่น่าเกรงกลัวเหลือเกิน ไม่ต้องเอ่ยว่าเฉินฉางเซิงที่ชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ ถึงแม้จะเป็นจวงห้วนอวี่หนุ่มน้อยผู้แข็งแกร่งอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นลำดับที่สิบ อยู่ด้านหน้าของพลังลมปราณของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกง เกรงว่าไร้หนทางที่จะยืนแน่นิ่งได้ เช่นนี้มิได้เกี่ยวกับความแตกต่างของขั้นวรยุทธ์ แต่เป็นพลังของผู้แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ

ผู้คนล้วนแต่คาดคิดว่าอีกอึดใจเดียวเฉินฉางเซิงก็คงจะคุกเข่าลงกับพื้น แต่ทว่าใครจะคาดคิด นอกจากสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นจริงจังเล็กน้อยของเขา มิได้เกิดปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่ออยู่พื้นที่ว่างข้างใต้เพิ่งได้รับพลังอานุภาพที่น่าเกรงกลัวของมังกรยักษ์สีดำ ด้วยอานุภาพพลังของมังกรจึงทำให้เขามิได้เพลี่ยงพล้ำ เสี่ยวซงกงจะทำอย่างไรได้เล่า หากผู้อาวุโสพรรคกระบี่เขาหลีซานจะแข็งแกร่งกว่านี้อีก จะเทียบกับมังกรดำตัวนั้นได้แม้แต่ขุมขนหรือ

ถังซานสือลิ่วไม่รู้สถานการณ์ของเขา รับรู้ถึงพลังลมปราณที่น่าหวาดกลัวนี้ รู้สึกกังวลใจ ยื่นมือแหวกทหารอารักขาที่อยู่รอบๆ จ้องเขม็งไปยังเสี่ยวซงกงที่รูปร่างเตี้ยและผอมเกร็งอยู่ด้านในของตำหนัก พลางตะโกนลั่นออกไป “ผู้อาวุโส นี่มันผู้ใหญ่รังแกเด็กมิใช่หรือไร”

ลั่วลั่วยืนอยู่ด้านหน้าเฉินฉางเซิง รับรู้พลังลมปราณที่แข็งแกร่งน่าหวาดกลัวลึกยิ่ง รู้ว่าตนห่างไกลเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเสี่ยวซงกง ตั้งแต่ต้นจนจบนางคิดว่าเฉินฉางเซิงปิดบังอะไรบางอย่างไม่เปิดเผยออกมา คงจะต่อต้านการโจมตีชนิดนี้ได้ แต่ก็โกรธเคืองขึ้นมาเช่นกัน

คนผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะกล้าดูหมิ่นศักดิ์ศรีอาจารย์!

นางตะโกนด้วยความโกรธแค้น “เจ้ามันต่ำช้าสมควรตาย คิดว่าตัวเองอายุมากกว่าแล้วอยากจะรังแกคนก็ได้หรือไร!”

ในตำหนักเงียบสนิทอีกครั้ง เพราะมีผู้คนจำนวนมากตกตะลึงงัน ตกตะลึงเมื่อได้ยินประโยคที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน

ฝ่ายเสี่ยวซงกงก็รู้สึกเกินความคาดหมาย นึกไม่ถึง และคาดไม่ถึงว่า จะมีคนกล้าด่าทอตน

ลูกศิษย์พรรคกระบี่เขาหลีซานหลายคนยืนขึ้น จ้องมองไปทางตำหนักทางด้านนั้นด้วยสายตาเยียบเย็น

ท่าทางของกวนเฟยไป๋แลดูเป็นผู้นำที่เฉยเมยก็จริง หากแต่เตรียมพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ

จักรพรรดิเสื่อมเสียเกียรติขุนนางย่อมถูกสังหาร อาจารย์ถูกดูหมิ่น แล้วลูกศิษย์จะจัดการอย่างไร

เป็นเวลาที่ตึงเครียดที่สุด ใต้เท้ามุขนายกจึงลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง

เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย จ้องมองกระบี่ที่ถูกชักออกมาประจันหน้ากันของทั้งสองฝ่าย ถอดทอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ก็มิใช่เป็นเด็กๆ หรือว่าผู้ใดเสียงดังมากกว่า ผู้นั้นมีเหตุผลหรือ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราจะต้องทำ มิใช่ว่าต้องดูหนังสือสมรสของเด็กคนนั้นก่อนหรอกรึ”

ประโยคนี้ก็เหมือนกับประโยคก่อนหน้าของเขา ไม่สามารถหักล้างได้

นับตั้งแต่เฉินฉางเซิงเข้ามาในตำหนักจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงหนังสือสมรสที่เขาเคยเอ่ยก่อนหน้านี้ เป็นเพราะว่าผู้คนในตำหนักล้วนแต่ไม่ปรารถนาจะแสดงออกชัดเจน เดิมทีพวกเขามิได้เชื่อคำพูดของเฉินฉางเซิง ถึงแม้พวกเขาจะเข้าใจอย่างยิ่งว่าการดูหนังสือสมรสถึงจะเป็นเรื่องสมควรกระทำที่สุดก็ตาม

ใต้เท้ามุขนายกต้องการดูหนังสือสมรส นี่ก็หมายความว่าเขาเตรียมใจที่จะเชื่อเฉินฉางเซิง

คิดไปถึงสิ่งที่เขาปกป้องเฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้ และคิดไปถึงปีนี้ที่สำนักฝึกหลวงกลับมาสู่สายตาของใต้หล้าอีกครา รวมถึงไม่กี่เดือนมานี้จิงตูมีคลื่นใต้น้ำคอยเคลื่อนไหว ในที่สุดผู้คนก็แน่ใจว่า แท้จริงแล้วเขาคือผู้หนุนหลังสำนักฝึกหลวง!

“มีคนดูหมิ่นผู้อาวุโสของเขาหลีซาน แล้วจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือ” กวนเฟยไป๋น้ำเสียงเยือกเย็นเอ่ยถาม

ใต้เท้ามุขนายกยิ้มอย่างเหนื่อยล้า กล่าวว่า “หาทางออกการหมั้นหมายครั้งนี้ก่อน เจ้าอยากจะสู้รบปรบมือกับแม่นางผู้นั้นอย่างไรก็แล้วแต่ ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้า”

เฉินหลิวอ๋องล่วงรู้ฐานะของลั่วลั่ว แน่นอนว่าไม่อยากเห็นคณะทูตทางใต้กับลั่วลั่วเกิดความขัดแย้งจนกระทั่งปะทะกันขึ้น จึงได้ปลอบโยนคณะทูตทางใต้หลายประโยค หลังจากนั้นจ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงพลางกล่าวถาม “เจ้าบอกว่ามีหนังสือสมรสเป็นหลักฐาน เช่นนั้นหนังสือสมรสอยู่กับเจ้าหรือไม่ ”

“แน่นอนว่ามิได้อยู่กับข้า” เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ถึงแม้หนังสือสมรสฉบับนี้จะถูกทำลายก็ไม่เกรงกลัว เพราะว่ามีฉบับคัดลอกอยู่ที่พระราชวังลี่ แต่ข้าไม่อยากยุ่งยาก”

ลั่วลั่วล้วงหนังสือสมรสยื่นส่งให้เขา

เฉินฉางเซิงส่งหนังสือสมรสให้กับผู้ปรนนิบัติที่อยู่ด้านใน เพื่อส่งไปยังด้านในห้องโถง

สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังหนังสือสมรสฉบับนั้น ก่อนจะเคลื่อนไหวตามมันไป

“มีคนเพราะว่าไม่อยากให้หนังสือสมรสฉบับนี้ปรากฏแก่สายตาคนทั่วใต้หล้า จึงก่อเรื่องราวมากมาย ทว่าเสียใจอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ”

เขามองสวีสือจี้กับแม่นางม่อ​อวี่ที่อยู่บนบัลลังก์ กล่าวว่า “ที่จริงแล้วข้าเคยกล่าวกับคนเหล่านั้น ข้ามาถอนการหมั้นหมายจริงๆ ถ้าหากไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น หนังสือสมรสฉบับนี้ควรจะอยู่ที่ตำหนักสวี ถูกพวกเจ้าอำพรางไม่ว่าผู้ใดก็หาไม่เจอ”

“น่าเสียดายก็คือไม่มีคำว่าถ้าหาก”

……

……

หนังสือสมรสฉบับนี้ มองแล้วไม่ผิดแผกไปจากหนังสือสมรสของราชวงศ์ต้าโจวที่พบเห็นปกติ ข้อตกลงที่ง่ายดาย ความหมายที่ชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว หนังสือสมรสฉบับนี้พิเศษยิ่ง เพราะเห็นชัดเจนว่ามีเพียงฝ่ายบุรุษเท่านั้นจึงจะสามารถถอนการหมั้นหมายได้ พยานก็คือใต้เท้าสังฆราช!

ถึงแม้ในพระราชวังลี่จะไม่มีฉบับสำเนา ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าทำลายหนังสือสมรสฉบับนี้ เพราะว่าตราประทับของท่านใต้เท้าสังฆราชไม่มีผู้ใดสามารถคัดลอกได้ ขณะเดียวกันหากผู้ใดทำลายหนังสือสมรส ก็แสดงว่าทำลายตราประทับด้วย นั่นเป็นการล่วงเกินต่อท่านใต้เท้าสังฆราชอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ที่เฉินฉางเซิงกล่าวว่าหลังจากที่สวีซื่อจีได้หนังสือสมรสก็คงจะอำพรางไว้ที่ใดจนไม่มีผู้ใดหาพบ ไม่ได้เอ่ยว่าเขาจะฉีกจนย่อยยับหรือว่าเผ่าจนเป็นเถ้าถ่าน หลังจากที่เขามาถึงจิงตูมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน จวนขุนพลเทพตงอวี้มิได้วางแผนช่วงชิงหนังสือสมรสเพื่อเผ่าทำลายให้ไร้ร่องรอยก็เพราะสาเหตุนี้

หนังสือสมรสที่พิเศษเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่จะแยกแยะว่าเป็นของจริงหรือปลอม

ทั่วทั้งตำหนักเงียบเชียบ ไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ผู้นำตระกูลชิวซานสีหน้าเขียวคล้ำใบหน้าของคณะทูตทางใต้ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ถูกหลอกลวง แม้แต่อาจารย์และนักเรียนของสำนักต่างๆ ที่เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย ใบหน้าก็แลดูน่าเกลียดอย่างยิ่ง

เรื่องราวเหล่านี้กลับตาลปัตร ฝ่าฝืนสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เรื่องดีงามที่ทุกคนเฝ้ารอคอย แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องตลกขบขัน เรื่องราวของคู่สวรรค์เพิ่งเริ่มขึ้น ก็มีคนนอกโผล่ขึ้นมา แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดยินดี บรรดาผู้คนจ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยแววตาสลับซับซ้อน

ก็เหมือนกับที่หนุ่มน้อยคนนี้กล่าวไว้ น่าเสียดายก็คือไม่มีถ้าหาก

ถ้าหากเวลาสามารถย้อนกลับ ผู้คนก็คงไม่อยากจะได้ยินเฉินฉางเซิงกล่าวสิ่งใด คนเช่นนี้ หรือว่าตายไปเสียยังจะดีกว่า

แล้วต่อไปจะทำเช่นไร

ผู้คนต่างมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร

ชัดเจนว่าตระกูลชิวซานมาสู่ขอ ผลสุดท้ายเฉินฉางเซิงกลับหยิบหนังสือสมรสออกมา!

บรรดาผู้คนของคณะทูตทางใต้ มองไปที่แห่งนั้นตามจิตใต้สำนึก

โกว่หานสือนั่งอยู่ตรงนั้น

ผู้คนทางใต้มองไปยังเขา เพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร ถึงแม้จะมีผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซาน มีอาจารย์หญิงแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ และก็มีผู้นำของตระกูลชิวซาน แต่พวกเขาก็ยังคงติดนิสัยนำความคาดหวังของสถานการณ์ที่พ่ายแพ้ฝากฝังให้กับคนเหล่านี้

เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่าทางของเขายังคงสงบนิ่ง จ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยสายตาที่พินิจพิเคราะห์และสนุกสนานยิ่ง ปราศจากความรู้สึกระแวดระวังและโกรธเคือง

เขานิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมาตลอด

กวนเฟยไป๋จ้องมองเขา พลางเอ่ยออกมา “ศิษย์พี่”

โกว่หานสือยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองเฉินฉางเซิงพลางยิ้มออกมา แลดูอ่อนโยนน่าใกล้ชิด

“ล้วนกล่าวกันว่าการสมรสเป็นชีวิตของบิดามารดา เป็นถ้อยทีของแม่สื่อ ในมือของเจ้าถือหนังสือสมรสก็คือถ้อยทีของแม่สื่อ ชีวิตของบิดามารดาเป็นของฝ่ายพวกข้า แต่ว่า…”

เมื่อคำพูดเหล่านี้ได้ออกมา ฝูงชนที่อยู่ในตำหนักต่างพยักหน้ารัว

สวีโหยว่หรงเป็นดั่งไข่มุกเม็ดงามที่สุดของราชวงศ์ต้าโจว อยู่ดีๆ ก็มีคนผู้หนึ่งโผล่มา ในมือถือหนังสือสมรส แล้วจะให้นางสมรสหรือ

นั่นมันมิใช่ไข่มุกที่มีมลทินหรือไร?

ถึงจะเป็นท่านใต้เท้าสังฆราช ก็คงจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

หนังสือสมรสในเมื่อเป็นของจริง นางจะต้องสมรสกับชิวซานจวิน จะมีใครกล้าที่จะขัดขวางไม่ให้สำเร็จอีกหรือ

ความคิดเช่นนี้แท้จริงแล้วไม่มีเหตุผล แต่เมื่อโก่วหานสือเอ่ยออกมา กลับคล้ายว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง เพราะผู้คนในตำหนักต่างก็ต้องการเหตุผลเช่นนี้

โก่วหานสือจ้องมองเฉินฉางเซิงอ่อนโยน พลางเอ่ย “ถ้าหากเจ้าสนใจศิษย์น้องสวีจริง เพราะเหตุใดไม่เคารพความคิดเห็นของศิษย์น้องเล่า เมื่อเป็นบุรุษก็ควรจะมีน้ำใจถึงจะถูก”

ประโยคนี้เหมือนกับอ่อนโยนจริงใจ หากในความเป็นจริงแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงจ้องมองผู้คนเหล่านี้ เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

ผู้คนที่อยู่ในตำหนักล้วนแต่รอคอยคำตอบของเขา

ตอนนั้นเอง เสียงแผดร้องของสัตว์ดังก้องกังวานขึ้นมาท่ามกลางความมืดด้านนอกตำหนัก

มีนกกระเรียนขาวตัวหนึ่งกระพือปีกบินมา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset