ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 68 ไป๋ตี้คือแซ่ (ตอนต้น)

ทุกวันตีห่านป่า กลับถูกห่านป่าจิกตา หรือว่าถูกห่านป่ากระพือปีกพัดใบหน้า ประโยคนี้กับเหตุการณ์จริงๆ ในค่ำคืนนี้ไม่ตรงกันเสียทั้งหมด แต่หลังจากจดหมายฉบับนั้นของสวีโยว่หรงและประโยคทั้งสองของถังซานสือลิ่ว ผู้คนมากมายกลับรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ รู้สึกว่าใบหน้าของตนปวดแสบปวดร้อน

สีหน้าของสวีซื่อจีน่าเกลียดอย่างยิ่ง แน่นอนว่า เมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยเริ่มขึ้น สีหน้าของเขาแทบจะไม่สดใสเลย ห่างออกไปไกล เขาจ้องเฉินฉางเซิงเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยเปลวไฟแผดเผา มาถึงตอนนี้เวลานี้ เพื่อกอบกู้เกียรติของจวนสวีเพื่อได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง เขาจะต้องทำอะไรบางอย่าง หากที่นี่มิใช่พระราชวัง เขาก็คงจะสังหารเฉินฉางเซิงเสีย

ไม่ว่าจะเป็นหนังสือสมรสหรือว่านกกระเรียนขาว หรือว่าชีวิตของบรรพบุรุษ เพียงแค่หนุ่มน้อยผู้นั้นตายก็ไม่มีสิ่งใดสามารถเป็นหลักฐานได้แล้ว

ทหารอารักขาในพระราชวังที่กำลังล้อมเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว มีลูกน้องของเขาที่จงรักภักดีที่สุดอยู่ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นขุนพลกล้าตาย ทหารผู้นั้นกุมด้ามดาบในมือแน่น ท่าทางเลิ่กลั่กเหมือนกับสหายที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ทว่านัยน์ตาของเขากลับจ้องมองหลังคอเฉินฉางเซิง สายตาของคนผู้นั้นมิได้เยือกเย็น เพื่อจะไม่เป็นการดึงดูดให้มันระมัดระวังตัว แต่เขาใจจดใจจ่ออย่างยิ่ง

เพียงแค่สวีซื่อจีกะพริบตาเป็นสัญญาณ ลำคอของเฉินฉางเซิงจะถูกฟันขาดเพียงครั้งเดียว ดาบเล่มนั้นรวดเร็วจริงๆ

ทว่าภาพนองเลือดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะจิตใจของสวีซื่อจีในเวลานี้กำลังเต้นรัว มีสองสายตาที่เฉยเมยจับจ้องไปยังร่างของเขา สายตาหนึ่งมาจากใต้เท้ามุขนายก ที่เวลาปกติคล้ายกับว่าเป็นผู้อาวุโสที่เอาแต่นอนหลับ แต่มักจะลืมตามากล่าวสองสามประโยคในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด หรือว่าเพียงแค่ลืมตาขึ้นมาเฉยๆ การลืมตาขึ้นเป็นการกระทำที่ง่ายดายอย่างยิ่ง รวดเร็วยิ่งกว่าการโบกมือและรวดเร็วยิ่งกว่าการชักดาบ

อีกสายตาหนึ่งที่หยุดอยู่ที่ร่างสวีซื่อจี มาจากสายตาของแม่นางม่อ​อวี่ที่เขามิได้คาดหวัง ท่าทางของสวีซื่อจีปรวนแปรเปลี่ยนไปมา สุดท้ายแล้วอะไรก็ไม่ได้ทำ ถ้าหากเป็นเพียงการแจ้งเตือนจากใต้เท้ามุขนายก เขาอาจจะต่อสู้อย่างสุดชีวิต แต่นัยน์ตานั้นของม่อ​อวี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้เขาตัดสินใจไม่ได้เสียที

สภาพในตำหนักตอนนี้ตึงเครียดเป็นที่สุด และกระอักกระอ่วนอย่างที่สุดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เงียบสงัดถึงขีดสุด หลังจากประโยคเยาะหยันสองประโยคของถังซานสือลิ่ว คนของทางใต้โกรธเคืองจัด ทว่ากลับไม่รู้ควรจะตอบอย่างไร ยิ่งเวลานี้ อยู่ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากโต๊ะแห่งใดแห่งหนึ่ง

“บรรพบุรุษมีชีวิต เคารพในตนเอง เพียงแค่……การปรองดองระหว่างทิศใต้ทิศเหนือเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน เพราะต้องต่อต้านเผ่ามาร คนเพียงหนึ่งคนเสียสละเพียงเล็กน้อย แล้วจะนับอะไรได้เล่า?”

มองไปยังตำแหน่งที่นั่ง คนที่กล่าวออกมาคงจะเป็นนักเรียนธรรมดาที่ผ่านการเตรียมสอบของการสอบใหญ่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงเอ่ยเช่นนี้ คงจะเป็นหนุ่มน้อยที่อ่านตำราจนสับสน การอ่านตำราฝึกบำเพ็ญเพียรเป็นอนาคตของการศึกษาที่ดำเนินต่อเนื่องของเผ่ามนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยประโยคเหล่านั้นออกมา

คำพูดนั้นเอ่ยออกมา ทั่วตำหนักนิ่งเงียบพร้อมเพรียงกัน เงียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ผู้คนทั้งหมดนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ผู้คนไม่ได้ใช้ความนิ่งเงียบเพื่อแสดงการคัดค้าน แต่ล้วนตระหนักดีว่าประโยคเหล่านี้แท้จริงแล้วไม่มีเหตุผลสักนิด แต่กลับเป็นความหวังสุดท้ายของการสมรสครั้งนี้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงใช้ความนิ่งเงียบนำพาตัวเองออกไปจากเรื่องนี้ ให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่เอ่ยประโยคนี้ออกไปยืนอยู่ด้านหน้าแท่นเวที

เฉินฉางเซิงจ้องมองไปทางด้านนั้น พบเพียงท่าทางผิดหวังของหนุ่มน้อยผู้นั้น เข้าใจว่าเขาคิดเช่นนี้จริงๆ คิดไปถึงตรงนี้ เขาไม่ได้โมโหโกรธแค้น เพียงแค่รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อยเท่านั้นเอง ชัดเจนว่าจักรพรรดิไท่จงนำกองทัพสัมพันธมิตรเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ ขับไล่เผ่ามารกลับไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า เผ่ามนุษย์กลับไม่สามารถสลัดเงาของปีนั้นไปได้

“เผ่ามนุษย์เดิมทีไร้ยางอายอย่างยิ่ง ”

และมีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากด้านในตำหนักที่เงียบสงัด ประโยคนี้ราวกับธรรมดา ในความเป็นจริงเป็นการยืนอยู่ตำแหน่งที่สูง อาจจะเป็นฝั่งที่เย็นชาอย่างยิ่ง วิพากษ์วิจารณ์เผ่ามนุษย์ทั่วทั้งโลก สิ่งที่ทำให้ผู้คนทั่วทั้งตำหนักยิ่งโกรธจัด เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่เงียบนิ่ง ที่จริงแล้วเป็นประโยคที่พวกเขาหมดวิธีแก้ต่างต่างหาก

การปรองดองระหว่างทิศใต้ทิศเหนือ เมื่อแรกเริ่ม มองแล้วเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ในใต้หล้า แต่ทว่าคนทางใต้มาสู่ขอถึงที่นี่ กลับปิดบังสวีโยว่หรง ถ้าหากหลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้วเกิดปัญหาขึ้น นิกายหนานฟางกับราชวงศ์ต้าโจวคงจะนำชีวิตของบิดามารดากับถ้อยวาจาของแม่สื่อนำมากล่าวอ้าง เมื่ออยู่ๆ เฉินฉางเซิงปรากฏออกมาพร้อมกับหนังสือสมรสในมือ ผู้คนถึงคิดได้ว่าควรจะเคารพความคิดเห็นของสวีโหย่วหรง เมื่อนกกระเรียนขาวตัวนั้นโบยบินมาพร้อมความคิดเห็นที่ชัดเจนของสวีโยว่หรง คิดไม่ถึงว่ายังมีคนกล่าวว่าจะต้องเห็นผลประโยชน์ของเผ่ามนุษย์เป็นสำคัญ……

เมื่อเจ้าเอ่ยผลประโยชน์กับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาก็จะเอ่ยถึงความรู้สึกจิตใจ เมื่อเจ้าเอ่ยถึงความรู้สึกจิตใจกับพวกเขา พวกเขาก็จะเอ่ยถึงคุณธรรม เมื่อเจ้าเอ่ยถึงคุณธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะเอ่ยถึงเหตุผล สรุปแล้ว เมื่อพวกเขาไม่สามารถชนะเจ้าได้ เมื่อพวกเขาไร้เหตุผล พวกเขาก็จะกลับไปกลับมาไม่หยุด จนกระทั่งเรื่องราวเป็นไปตามความคิดพวกเขาหรือว่าดำเนินตามที่คาดคิดไว้

นี่ ช่างไร้ยางอายจริงๆ

เปิดโปงเรื่องจอมปลอม คนที่ตีแผ่ความไร้ยางอายของผู้คนออกมาภายใต้แสงของไข่มุกราตรีก็คือลั่วลั่ว

นางมิได้ปิดบังท่าทีเหยียดหยามและความโกรธเคืองแม้แต่น้อย จ้องมองผู้คนที่อยู่ในตำหนักพลางกล่าวว่า “พวกเจ้ารักษาหน้าเสียหน่อย ”

ผู้คนทางใต้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าสุดของที่นั่งไม่สามารถสะกดกลั้นความโกรธแค้นได้ กวนไป๋ที่ระงับความโกรธเคืองมาเป็นระยะเวลานาน พรวดพราดลุกขึ้น ตะโกนลั่นออกไป “บังอาจ!”

ลั่วลั่วเหลือบมองกวนไป๋ คิดอยากจะก่นด่ากลับเสียสองสามประโยค กลับกังวลว่าเฉินฉางเซิงจะไม่ยินดี จึงทำได้เพียงฮึดฮัดออกมา

เฉินฉางเซิงยื่นมือไปลูบศีรษะนาง ยิ้มพลางเอ่ยออกไป “เหตุใดต้องไปสู้รบต่อปากต่อคำกับคนเหล่านี้ด้วยเล่า”

ถังซานสือลิ่วพยักหน้าอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ในเมื่อจะต้องต่อสู้ อันดับแรกการด่าผู้อื่นจะต้องไม่พ่ายแพ้ ”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จึงเอ่ยว่า “ ก็มีเหตุผล แต่ทางด้านนี้ข้าไม่ชำนาญจริงๆ ”

“หากเจ้าปรารถนาจะเรียน ข้าจะสอนให้ ”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา หลังจากนั้นหมุนกายมองไปยังที่นั่งของคณะทูตทางใต้ สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของกวนไป๋ ตวาดด่าออกไป “ ที่กล่าวออกมาก็คือพวกเจ้านั่นแหละ แม้แต่หญิงสาวคนหนึ่งก็รู้ว่าพวกเจ้าทำเรื่องที่ไร้ยางอาย พวกเจ้าไม่ได้รู้สึกหรอกหรือ บังอาจรึ บังอาจมารดาเจ้าสิ!”

กวนไป๋โกรธแค้นจนถึงขีดสุด นัยน์ตาก็เยือกเย็นจนถึงขีดสุด

ตอนนั้นเอง นกกระเรียนขาวตัวนั้นใช้จะงอยปากสัมผัสที่ฝ่ามือของเขา

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน เหลือบตามองมาทางมัน ถึงแม้จะไม่ได้พานพบนานหลายปี แต่ถึงอย่างไรก็เคยไปมาหาสู่กัน จึงทำให้เขาเข้าใจมันรางๆ เช่นนั่นก็คงจะเป็นความหมายของนางเป็นแน่ เขาไตร่ตรองชั่วครู่ ในเมื่อเป้าหมายของค่ำคืนนี้บรรลุผลแล้ว ที่จริงแล้วควรจะรีบจากไปเสีย มิเช่นนั้นจะทำให้…มีคนรับมือได้ยาก

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยกับลั่วลั่วและถังซานสือลิ่ว

“ไปรึ”

ผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงแห่งเขาหลีซานจ้องมองพวกเขา ท่าทางเยือกเย็น เอ่ยออกมา “เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าสามคน อยากจะไปก็ไปเช่นนี้หรือไร”

เมื่อฟังประโยคนี้ คิ้วเรียวเล็กของลั่วลั่วขมวดขึ้น เฉินฉางเซิงต้องการพานางกับถังซานสือลิ่วจากไป เพียงต้องการให้คณะทูตทางใต้มีทางลง ทว่าในสายตาของคนภายนอก แท้จริงก็คือพวกเขากำลังถอยให้หนึ่งก้าว นางเดิมทีรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยที่จะต้องจากไป เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามกลับเตรียมที่จะไม่ลดราวาศอกยุติเรื่องราว แล้วนางจะยอมอ่อนข้อได้อย่างไร

“ตาแก่อย่างเจ้า ยังคิดจะขัดขวางพวกข้าอีกหรือ”

ใบหน้าของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงยิ่งเพิ่มความน่าเกลียด รอยย่นบนใบหน้าทุกเส้นเริ่มแพร่กระจายความชั่วร้ายออกมา เพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็จะอยู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสังเกตลั่วลั่วครั้งแรก ก็พอจะรู้ว่านางมิใช่เผ่ามนุษย์ เพราะความหลังเมื่อปีนั้น จึงทำให้เขาไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเผ่าปีศาจมาตลอด หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

ด้วยตำแหน่งของเขา จะใส่ใจเผ่าปีศาจเล็กน้อยผู้นี้ได้อย่างไร ใช้เพียงมือเปล่าทำลายเสียจะเป็นอย่างไรเล่า

เสี่ยวซงกงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เรื่องอื่นจะไม่หยิบยกขึ้นมา ก่อนหน้านี้นังหนูผู้นี้เอ่ยวาจาสามหาวกับผู้อาวุโส ข้าคงจะต้องสั่งสอนเจ้าแทนผู้อาวุโสในบ้านเจ้าเสียแล้ว”

เมื่อได้ยินคำว่าผู้อาวุโสในบ้าน ลั่วลั่วขมวดคิ้วขึ้นทันที กล่าวด้วยความโกรธ “เจ้านับเป็นสิ่งอันใดได้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเอ่ยวาจายิ่งใหญ่อย่างไม่ละอายเช่นนี้!”

เมื่ออยู่ในค่ำคืนแรกของการชุมนุมไม้เลื้อย นางได้เอ่ยประโยคที่ใกล้เคียงทำนองนี้กับอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า

การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สาม นางก็ได้เอ่ยประโยคเช่นนี้อีกครา เพียงแค่เสี่ยวซงกงเป็นผู้อาวุโสแห่งเขาหลีซาน จึงมีเกียรติมากกว่าสำนักเทียนเต้า แต่ในสายตาของนาง สองคนนั้นต่างกันตรงไหน

เสี่ยวซงกงเดิมคิดว่าถึงอย่างไรก็อยู่ในพระราชวังต้าโจว จะต้องให้เกียรติคนราชวงศ์ต้าโจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรบกวนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เพียงน้อยนิดนั่นก็เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ แต่ค่ำคืนนี้ได้รับความอัปยศอดสูติดต่อกันหลายครา ยิ่งเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่มีความเคารพตนแม้สักนิด เวลานี้หมดหนทางที่จะควบคุมความรู้สึกตนเอง จึงตวาดด่าออกไป

ลำแสงของไข่มุกราตรีในตำหนักส่องแสงแวววับ ผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงยังคงอยู่ที่เดิม กระบี่ยังอยู่ในฝักคงเดิม หากแต่พลังกระบี่ดุเดือดรุนแรงได้ออกจากฝักห่างกายเขาออกไป มุ่งจู่โจมไปยังลั่วลั่ว!

เมื่ออยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนแรก ลั่วลั่วได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตน แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเพียงแค่หญิงสาวเยาว์วัย ไม่ต้องกล่าวถึงนาง ถึงแม้จะเป็นชิวซานจวินก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเสี่ยวซงกงที่เพียงแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ เผชิญหน้ากับพลังกระบี่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ นางจะรับมือได้อย่างไร

เสี่ยวซงกงชัดเจนยิ่งว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว ฉะนั้นพลังกระบี่ที่เงียบนิ่งไม่รุนแรง คงจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ยากที่จะหลบหนี

และก็เป็นเช่นนี้ เขาถึงสามารถนำความเคียดแค้นของค่ำคืนนี้ระบายออกมา ถึงจะสามารถสั่งสอนคนรุ่นหลังเหล่านี้ได้ลึกซึ้ง

เขาคิดว่าตนเองใจกว้างเพียงพอ กลับคิดไม่ถึง มีบางคนที่จะได้รับบาดเจ็บไม่ได้

“ไม่ได้!” เฉินหลิวอ๋องสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ตะโกนรีบร้อนออกไป

ท่าทางของม่อ​อวี่ตึงเครียดฉับพลัน คิ้วคมโค้งได้รูปราวกับกระบี่ ตะโกนลั่นออกไป “หยุด!”

ระดับวิทยายุทธ์ของเสี่ยวซงกงแท้จริงแล้วสูงส่งยิ่ง เดิมทีพวกเขาหาทัดทานได้ไม่ เพียงแค่คาดหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะได้ยินเสียงตะโกนของตน สุดท้ายก่อนที่จะกลับเนื้อกลับตัวใหม่ยังไม่สาย

ในตำหนักเวลานี้ มีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเปรียบเทียบได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือผู้อาวุโสเหมาชิวอวี่สำนักเทียนเต้า และมีเพียงเขาที่สามารถต่อต้านเสี่ยวซงกงได้

เสื้อคลุมยาวของเหมาชิวอวี่ปลิวสะบัดเบาๆ จ้องมองพลังกระบี่ที่ทะลุผ่านอากาศไป ดวงตาทั้งคู่ราวกับดวงตาของเทพเจ้า ด้านในมีหมอกควันประหนึ่งฝนหนาแน่น

เฉินหลิวอ๋อง ม่อ​อวี่ เหมาชิวอวี่ เป็นผู้คนในตำหนักที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อการลงมือของเหมาชิวอวี่เร็วที่สุด แต่ยังไม่ใช่คนที่ตอบโต้กลับเร็วที่สุด

คนที่มีปฏิกิริยาตอบกลับได้เร็วที่สุดก็คือเฉินฉางเซิง

ผู้ใดก็มิได้ระมัดระวังว่าเขาได้มายืนอยู่ด้านหน้าของลั่วลั่วเวลาใด

ก็เหมือนกับค่ำคืนนั้น ก็เหมือนกับค่ำคืนหนึ่ง

เมื่อลั่วลั่วกราบเขาเป็นอาจารย์ เขามองลั่วลั่วเป็นนักเรียนของเขาจริงๆ จะต้องคุ้มครองความปลอดภัยของนาง

นี่คือความรับผิดชอบ หลังจากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสัญชาตญาณ

เฉินฉางเซิงปรากฏอยู่ด้านหน้าของพลังดาบที่รุนแรงดุเดือด

เสี่ยวซงกงจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ในเมื่อไม่สามารถสังหารคนในพระราชวงศ์ต้าโจวได้ เพียงแค่ทำให้บาดเจ็บเพื่อให้เกรงกลัวเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้ามสามารถทำให้หนุ่มน้อยผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็จะดียิ่ง

ถ้าหากเพียงพลังกระบี่ทำให้หนุ่มน้อยผู้นี้พิการเสีย ภายภาคหน้าสวีโยว่หรงจะยังสมรสกับเขาได้อีกหรือ

แน่นอนว่าถ้าหากโชคชะตาของหนุ่มน้อยผู้นี้คงจะตายไม่ดีอีกแล้ว นั่นอาจจะเป็นเรื่องราวที่ดีที่สุด

เหมาชิวอวี่เตรียมการลงมือไว้เรียบร้อยแล้ว

แขนเสื้อทั้งสองปลิวไสวเบาๆ ราวกับเต้นอยู่กลางสายลมที่เย็นสบาย

แต่ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา แขนเสื้อทั้งคู่ของเขาหยุดชะงักฉับพลัน

มิใช่เพราะว่าเขาปรารถนาจะเห็นเฉินฉางเซิงตาย แต่เป็นเพราะว่ามีคนได้ช่วงชิงลงมือก่อนเขาเสียแล้ว

มีเงาร่างหนึ่ง พุ่งออกมาจากมุมมืดของตำหนักอย่างเฉียบพลัน!

เงาร่างนี้รวดเร็วจนยากจะคาดคิด พลังโหดเหี้ยมรุนแรงราวกับเปลวไฟ จนกระทั่งมีเสียงคำรามที่แสบหูดังออกมา!

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset