ขณะนี้ถึงเวลาที่ธูปไหม้หมดแล้ว มีเสียงระฆังดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าการสอบของนักเรียนสิ้นสุดลง เฉินฉางเซิงเดินตามบรรดานักเรียนที่เหลือออกมาจากอาคาร เขาไม่ได้ใส่ใจสายตาที่จ้องมองเขาด้วยความแปลกประหลาด มุ่งไปข้างหน้าตามคำชี้แนะเพื่อไปยังแผ่นหินประกาศรายชื่อที่อยู่ด้านหลังทะเลสาบ รอผลการทดสอบในช่วงสุดท้าย
คนส่วนใหญ่ยังอยู่บนอาคาร เปรียบเทียบคำตอบของกันและกัน หรือว่าจะนำความยากของข้อสอบมาถกเถียงกัน เมื่อเขามาถึงด้านหลังของทะเลสาบ แผ่นหินยังคงสงบนิ่ง มีเพียงรายชื่อของหนุ่มน้อยเสื้อดำที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบซึ่งผ่านการทดสอบกำลังเปล่งแสงสว่างไสว เขาคิดว่าผู้มีพรสวรรค์คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโอหังถือดี เขาไม่ได้เดินไปข้างใน แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะเดินเข้ามาหา
“ข้าชื่อถังซานสือลิ่ว” หนุ่มน้อยเสื้อดำเอ่ย
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยถามก่อน เขาจัดแขนเสื้อให้เป็นระเบียบ กล่าวตอบอย่างมีมารยาท “ข้าแซ่เฉิน นามว่าเฉินฉางเซิง”
ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน ราวกับไม่คาดคิดว่าชื่อของหนุ่มน้อยจะธรรมดาขนาดนี้ ผู้มีฐานะและตระกูลเก่าแก่ในหมู่บ้านชนบทก็คงจะไม่ตั้งชื่อให้บุตรชายของตนเช่นนี้เป็นแน่ เขาเงียบอยู่ชั่วขณะหลังจากนั้นกล่าวว่า “ในทางกลับกันชื่อนี้มีความจริงใจ ข้าไม่อาจพูดได้ว่าด้อย”
เฉินฉางเซิงในใจคิดว่าในทางกลับกันคำพูดของเขาก็ตรงไปตรงมา เพียงแค่ชื่อของเจ้าก็แปลกอย่างยิ่ง
“ข้าชื่อเฉินฉางเซิง*…เมื่อตอนเด็กข้าป่วยเป็นโรค อาจารย์หวังให้ข้ามีอายุยืนยาวร้อยปี เจ้าล่ะ เหตุใดถึงชื่อถังซานสือลิ่ว* หรือว่าเจ้าเป็นคนลำดับที่สามสิบหกของคนในบ้าน บ้านของเจ้าเหตุใดถึงมีคนเยอะมากมายเล่า บ้านของเจ้าอยู่ไหน พี่น้องมากมายเช่นนี้ เวลาอ่านตำราเสียงดังหรือไม่”
ถังซานสือลิ่วนิ่งอึ้ง
เมื่อฝ่ายตรงข้ามถามความเป็นมาของชื่อต่อหน้าตนเช่นนี้ ที่จริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะมีมารยาทนัก ยิ่งกว่านั้น เขาเติบโตเป็นคนเยือกเย็น คนแปลกหน้าไม่เคยเข้าใกล้ ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่รู้ความเป็นมาของชื่อเขา เกรงว่าไม่ว่าจะแปลกใจแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็คงต้องสะกดกลั้นไว้ ไม่กล้าถามออกมา แต่กลับคิดไม่ถึง หนุ่มน้อยคนนี้กลับถามออกมาอย่างตามสบาย และยังมีคำถามตามมาอีกมากมาย
ที่จริงแล้วเฉินฉางเซิงคิดเรียบง่าย ชีวิตที่ไม่คุ้นเคยกับเมืองจิงตู เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและความเย็นชาของสำนักเทียนเต้า เห็นอย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้มีพรสวรรค์ แต่กลับเป็นฝ่ายอยากสนิทกับตนก่อน ตามเหตุตามผลตนควรจะส่งไมตรีจิตและเจตนาที่ดีกลับไปมากกว่านี้ อย่างน้อยควรกล่าวทักทายก่อน แล้วจะพูดคุยเรื่องอะไรดี
เมื่อตอนเยาว์วัยเขาเติบโตมากับอาจารย์และศิษย์พี่ อาจารย์เป็นคนพูดน้อย ศิษย์พี่ยิ่งไม่ชอบพูดคุย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าการกล่าวทักทายควรจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่าหยาบกระด้างและฟังไม่ระรื่นหู แม้เขาอยากจะเอาน้ำใจให้ฝ่ายตรงข้ามก็ตาม แต่กลับทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย ดังเช่นกับเมื่อวานที่อยู่จวนขุนพลเทพ
แต่ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ถังซานสือลิ่วไม่มีอาการไม่ยินดีด้วยเหตุนี้ แต่กลับกันคิดว่าเฉินฉางเซิงผู้นี้เป็นคนที่ซื่อตรง ชัดเจนอย่างยิ่ง ถังซานสือลิ่วชีวิตนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือการที่เป็นคนจริง บนโลกใบนี้ไม่อาจพบเจอแต่สิ่งที่ธรรมดาตลอดชีวิต ไม่อาจเดินทางโดยไม่มีมูลความจริง บังเอิญพบเจอคนเช่นเฉินฉางเซิง เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง
“เผ่าของข้าที่จริงแล้วคนรุ่นเดียวกันมีมากมาย อ่านตำราก็ล้วนอยู่ที่บ้านของตน ดังนั้นจึงไม่เสียงดัง ถึงแม้ข้าชื่อถังซานสือลิ่ว แต่ไม่ใช่เพราะว่าอยู่ที่บ้านเป็นคนลำดับที่สามสิบหก เพราะว่าเมื่อปีก่อนตอนที่ข้าอายุสิบห้าปีเข้าสอบครั้งแรกได้อันดับที่สามสิบหกของทำเนียบชิงอวิ๋น ข้าคิดว่าช่างน่าอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับหญิงสาวคนนั้นและเทียบกับลูกสุนัขป่านั่น…ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนชื่อเป็นถังซานสือลิ่ว ด้วยเหตุนี้เพื่อที่จะเตือนว่าความสามารถที่ไม่เอาไหนของตน อืม เหมือนว่าคำถามล้วนตอบหมดแล้ว ใช่ ตอบหมดแล้ว”
บทสนทนาข้างต้น เมื่อเฉินฉางเซิงออกจากซีหนิง หลังจากมาถึงเมืองจิงตูที่เจริญรุ่งเรือง เป็นครั้งแรกที่เริ่มคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เวลาเดียวกันที่ถังซานสือลิ่วก็ออกจากเวิ่นสุ่ย หลังจากมาถึงจิงตูก็เป็นครั้งแรกที่เริ่มคบค้าสมาคมกับผู้อื่นเช่นกัน เวลานี้เฉินฉางเซิงอายุสิบสี่ปี ถังซานสือลิ่วใกล้จะครบสิบหกปี ก็จะมีด้านที่โง่เขลาเช่นเด็กน้อยอยู่บ้าง การคบค้าสมาคมครั้งนี้ไม่ต้องมีข้อสงสัยว่าจะไม่งดงาม มีทั้งความน่าสนใจและขบขัน แต่ว่ามีเรื่องราวในอดีตรับประกันได้ว่าเมื่อเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว การคบการสมาคมครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง จนกระทั่งพูดได้ว่า นี่คือจักรพรรดิไท่ซ่งกับหัวหน้าเผ่ามารหลังจากได้ทำสนธิสัญญาปรองดองในครานั้น สิ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดคงจะเป็นการคบการสมาคม
“เจ้าตอบคำถามไปกี่ข้อ”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม ที่จริงแล้วเขามีความสนใจในคำตอบนี้ เพราะเขาคิดว่าแม้เฉินฉางเซิงเป็นเพียงคนธรรมดา แต่…คงจะไม่ใช่คนธรรมดา เขากำลังมองใบหน้าที่ขาวซีดของเฉินฉางเซิง ถึงได้พบว่าตนถามคำถามที่ไม่เหมาะสมไป ข้อสอบเหล่านั้นประหนึ่งมหาสมุทรก็มิปาน เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์เพียงนี้ ยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อยยาก ชัดเจนยิ่งนัก สภาพจิตใจของเฉินฉางเซิงคงจะเสียหายอย่างร้ายแรง มองจากเหตุการณ์ ผลที่ออกมาคงจะไม่ค่อยจะดีนัก
“มีคำถามบางข้อเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเพียร แท้จริงแล้วตอบไม่ได้ สัมผัสเทพ พลังปราณ ยังมีเรื่องการรวมหมู่ดาวเผาสุริยะ…”
เฉินฉางเซิงตอบด้วยความสัตย์จริง ในใจคิดว่าโชคดีอย่างมิคาดหมาย เมื่อตอนเยาว์วัยเขาได้ท่องคัมภีร์เต๋า คำถามเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นปัญหาทางด้านวิชาการอันลึกซึ้งเข้าใจยาก สำหรับเขาแล้วคงพูดได้ว่าไม่ยากแต่อย่างใด แต่คำถามทางด้านการบำเพ็ญเพียร แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ตอบ โชคดีที่เป็นเพียงแค่การสอบรับสมัคร คำถามเหล่านั้นจึงมีไม่เยอะ
ถังซานสือลิ่วได้ฟังดูแล้วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอบคำถามไม่ได้มีเพียงแค่นี้…นึกไม่ถึงว่าคำถามที่เหลือเจ้าเด็กคนนี้ตอบได้หมดเลยรึ ณ เวลานี้ เขาให้ความสนใจจะไปที่ทะเลสาบ อาจารย์ท่านหนึ่งกำลังหอบข้อสอบที่หนาปึก รีบก้าวเดินไปยังด้านนั้น อาจารย์ท่านนั้นจิตใจคงสั่นไหวยากที่จะรอคอย เมื่อก้าวขึ้นขั้นบันไดหินเกือบจะหกล้ม เขาไม่ได้ตกตะลึงแม้แต่นิด กำลังคิดโยงไปถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของเฉินฉางเซิง อดไม่ได้ว่าตนเองรู้สึกเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ หรือว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะทำให้คนทั้งหมดสั่นสะเทือนจริงหรือ
“ที่เหลือ…เจ้าแน่ใจว่าตนเองได้ตอบหมดแล้วหรือ”
“ข้าไม่กล้าพูดว่าแน่ใจ…คาถาพระบิดาจักรพรรดิใจสะอาดมีสองฉบับ เมื่อเริ่มบัญญัติให้มีศาสนาปีนั้นได้มีการเขียนแก้ไขใหม่หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นทุกคนก็ใช้ฉบับที่แก้ไขใหม่มาตลอด แต่ว่าคำถามที่ถามคือก่อนปี1573 ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าต้องใช้ฉบับไหนในการตอบคำถาม ภายหลังจึงใช้ทั้งสองฉบับมาตอบคำถาม เพียงแต่เกรงว่าจะก่อให้อาจารย์รู้สึกไม่ยินดี แล้วหักคะแนน”
ถังซานสือลิ่วได้ฟังประโยคดังกล่าว จึงนิ่งเงียบ
ข้อสอบข้อนั้นเขารู้เพียงแค่ฉบับเดียว จึงตอบไปเพียงแค่ฉบับเดียว
เวลาผ่านไปชั่วครู่ เขาจ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงพลางกล่าวว่า “ข้าคิดว่าตนเองและเจ้าเด็กหนุ่มพวกนั้น เป็นคนหนุ่มที่ถือดีที่สุดในรุ่นนี้ คิดไม่ถึง เจ้ายังถือดียิ่งกว่าข้าเสียอีก”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ในใจคิดตนเองนั้นถือดีตรงไหน
ใบประกาศได้ติดไว้แล้ว
ไม่มีชื่อของเฉินฉางเซิงบนนั้น
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ด้านล่างของใบประกาศ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
ผู้คนกลุ่มนั้นจ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร ซึ่งแสดงถึงความเยาะเย้ยถากถางและเหยียดหยาม ถ้าหากไม่ใช่ถังซานสือลิ่วที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา เวลานี้คงจะมีคำพูดที่ไม่น่าฟังออกมากมายแล้ว
“ข้าไม่เข้าใจ” เฉินฉางเซิงกล่าว
ถังซานสือลิ่วก็ไม่เข้าใจ เขาเชื่อว่าหนุ่มน้อยที่ทำให้เขารู้สึกสนิทสนมด้วยความจริงใจจะไม่พูดหลอกลวง ในเมื่อเขาเอ่ยคำถามออกไปส่วนใหญ่เขาล้วนแต่ตอบได้ ก็ควรที่จะตอบได้ ว่ากันตามคะแนน ถ้าไม่ได้อยู่อันดับหน้าสุด น้อยที่สุดการอยู่ในประกาศนั้นคงจะง่ายเหลือเฟือ
เฉินฉางเซิงตามหาอาจารย์ที่รับผิดชอบการตรวจสอบหินหน่วงนำท่านนั้น แล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องการตรวจสอบข้อสอบ”
อาจารย์ท่านนั้นกำลังจัดการกับเรื่องสัพเพเหระ ไม่ได้มองสายตาที่สงบนิ่งและเด็ดเดี่ยวของเขาโดยตรง เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าใช้กฎระเบียบ เพื่อที่จะมีคุณสมบัติในการเข้าสอบ ก็น่าจะรู้…ข้อสอบของสำนักเทียนเต้าแต่ไหนแต่ไรมาไม่อนุญาตให้มีการตรวจสอบซ้ำ นี่เป็นการแทนว่าให้เกียรติต่อสำนักเทียนเต้า เจ้าสอบไม่ได้ก็คือสอบไม่ได้”
เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังเขานิ่งเงียบเป็นเวลานาน หมุนตัวจากไป
“ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ข้ารู้ว่าเขาอยากพูดอะไร…เด็กหนุ่มที่โกรธแต่ไม่พูดคำหยาบช้าออกมาอย่างนี้ ช่างน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง” ถังซานสือลิ่วจ้องมองไปยังเงาที่หายไปทางทะเลสาบของหนุ่มน้อยคนนั้น หันหลังกลับจ้องมองไปยังบางคนกล่าวถากถางว่า “เป็นคนที่มีพรสวรรค์เยี่ยงนี้ แต่สำนักเทียนเต้ากล้าที่จะไม่รับ แท้จริงแล้วช่างน่าสรรเสริญจริงๆ”
“เจ้าอายุมากกว่าเขาเพียงแค่สองปี กล่าวว่าเขาคือเจ้าเด็กน้อย แท้จริงแล้วน่าสนใจ”
รองเจ้าสำนักเทียนเต้ากล่าว “ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาอยากจะพูดอะไร”
“เขาอยากจะพูด พวกเจ้าจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน…เหตุเพราะถ้าข้าได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้ คงจะพูดประโยคนี้ออกมาเป็นแน่”
“สำนักเทียนเต้าปฏิเสธนักเรียนที่ธรรมดาคนหนึ่งถึงกับจะต้องเสียใจภายหลังเลยรึ”
“เขาไม่ใช่นักเรียนธรรมดา เขามีพรสวรรค์ดั่งเช่นข้า”
รองเจ้าสำนักเทียนเต้าหลังจากสงบนิ่งไปชั่งขณะจึงเอ่ยว่า “ข้าเห็นข้อสอบของหนุ่มน้อยคนนั้นแล้ว ไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร แต่มีความรอบรู้และความสามารถแยกแยะได้อย่างเฉียบขาดเช่นนี้ ที่จริงสามารถกล่าวได้ว่าคือพรสวรรค์ นำไปเทียบกับหวังจื่อเช่อในปีนั้นก็คงจะห่างกันไม่มาก ถ้าหากว่าเป็นยามปกติ ข้าจะรับเขาเข้าสำนักอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะอบรมสอนเขาด้วยตนเอง แต่น่าเสียดายครานี้ไม่ได้”
ถังซานสือลิ่วจ้องเขาแล้วถามกลับ “เพราะเหตุใดถึงไม่ได้”
“เพราะมีคนสั่งมา” รองเจ้าสำนักกล่าว
“ใคร”
“ท่านขุนพลเทพ”
“ต้าลู่ในขณะนี้ มีหนึ่งผู้ปกครอง ห้านักปราชญ์ แปดมรสุม บนทำเนียบเซียวเหยามีผู้เก่งกาจนับไม่ถ้วน ยังไม่นับบรรดาเจ้าเด็กเผ่ามารที่ซุกซ่อนตามป่ารกร้างอีก สามสิบแปดขุนพลเทพถึงแม้จะมีอำนาจ…แต่สำนักเทียนเต้านี่คือที่ไหน คาดไม่ถึงว่าจะต้องฟังคำสั่งจากจวนขุนพลเทพ”
“บิดาของเจ้ายกเจ้าให้อยู่ในความดูแลของข้า ดังนั้นเรื่องนี้ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า แต่ว่าไม่อนุญาตให้เจ้าไปพูดที่อื่น…หากเป็นแค่จวนขุนพลเทพธรรมดานั้นไม่มีผลกระทบต่อสำนักเทียนเต้าของพวกเรา แต่ว่าจวนขุนพลเทพแห่งนั้นไม่เหมือนกัน เหตุเพราะเป็นจวนตงอวี้ เจ้าของจวนมีชื่อว่าสวีซื่อจี”
“สวีซื่อจี…แม้จะเป็นคนที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เชื่อใจ กำลังความสามารถแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแค่ขุนพลเทพ”
“จวนของเขามีหงส์ตัวหนึ่ง…”
หลังจากถังซานสือลิ่วได้ยินคำว่า ‘หงส์’ คำนี้ก็ยากที่จะรักษาความเฉยเมยและทะนงตนไว้ เพียงชั่วครู่พลันสลายไป เงียบนิ่งเป็นเวลานาน พึมพำกับตนเอง “…เจ้าเด็กเฉินฉางเซิง นึกไม่ถึงเกิดเรื่องกับหงส์ตัวนั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นใครกัน”
รองเจ้าสำนักกล่าวด้วยความสงบ “ไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบสี่ปี ถึงแม้จะรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว บนโลกนี้มีผู้มีพรสวรรค์เยอะแยะมากมาย ถึงแม้เขาจะมีคุณสมบัติ แล้วจะเป็นอย่างไร คราก่อนนำเขาเปรียบเทียบกับหวังจื่อเช่อ ถ้าหากเขามีความเด็ดเดี่ยวและมีโอกาสเหมือนดังหวังจื่อเช่อจริง จะเข้ามาอยู่ที่สำนักเทียนเต้าหรือไม่ ก็ไม่ได้มีผลอะไรไม่ใช่รึ”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าที่ตนสอบตกนั้นเกี่ยวข้องกับจวนสวี เขาคิดว่าเป็นเพราะผู้มีอำนาจในเมืองจิงตูใช้กลอุบายนำชื่อของพวกเขามาแทนชื่อตน ถึงแม้ว่าเขาจะข้องเกี่ยวกับโลกมนุษย์ แต่ว่าเขาเห็นบทความในตำราเต๋าผู้คนลวงหลอกกันไปหลอกกันมา จึงทำเพียงแค่นิ่งเงียบ เขาในตอนนี้ นอกจากนิ่งเงียบ แล้วจะทำอะไรได้
เขาออกมาจากสำนักเทียนเต้ามุ่งไปยังสำนักแห่งที่สองในรายชื่อ ยังคงไม่ได้ระแวดระวังว่ารถม้าที่มีสัญลักษณ์ของหงส์ตามตนอยู่ห่างๆ
*ฉางเซิง แปลว่า ชีวิตยืนยาว
*ซานสือลิ่ว แปลว่า สามสิบหก