การลาออกเป็นเรื่องใหญ่ ลาออกจากสำนักเทียนเต้าเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า
ปฏิกิริยาโต้ตอบของรองเจ้าสำนักจวงรุนแรงเช่นนี้ เพราะว่าเขาชัดเจนยิ่งนัก นักเรียนที่ออกจากสำนักเทียนเต้า แล้วจะมีสำนักแห่งไหนจะกล้ารับเล่า ใช่แล้ว หอจงซื่อ สำนักจวนราชวังหลี สำนักเด็ดดาราและกระทรวงสิบสามชิงเหย้าล้วนแต่มีภูมิหลังของตน แต่ในจิงตู สำนักเทียนเต้าแท้จริงแล้วมีความพิเศษ…
เขาไหนเลยจะคาดคิดว่า เรื่องนี้เมื่อดำเนินมาถึงสุดท้ายแล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้เสียได้ คิดไม่ถึงว่าสำนักฝึกหลวงจะยืนตระหง่านออกมาได้
จวงห้วนอวี่จ้องมองท่าทางที่เป็นกังวลของรองเจ้าสำนักจวง รู้สึกเพียงว่าในปากทั้งขมทั้งฝาด มองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยออกมา “แท้จริงแล้วเขายังเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้า ถึงแม้ตอนนี้สำนักฝึกหลวงจะไม่มีเจ้าสำนักและอาจารย์จึงไม่เข้าใจกฎระเบียบเหล่านี้ แต่ใช่ว่าเจ้าเอ่ยว่ารับก็สามารถรับได้”
เหมือนกับที่จวงห้วนอวี่กล่าว เฉินฉางเซิงเข้าใจว่ากฎระเบียบไม่สามารถเอ่ยถามกลางฝูงชน เดิมทีมิได้คิดว่าสำนักฝึกหลวงไม่สามารถรับถังซานสือลิ่วได้ หันไปกำชับกับลั่วลั่ว “หลังจากกลับไปถึงแล้วเพิ่มรายชื่อของเขาลงในสมุดรายชื่อ แล้วอย่าลืมให้เขาประทับลายนิ้วมือด้วย”
ท่าทางของถังซานสือลิ่วแปลกประหลาดเมื่อได้ยินประโยคเหล่านี้ รู้สึกว่าราวกับเป็นการขายเขามิปาน
ลั่วลั่วตอบรับด้วยเสียงไพเราะกังวานใส ไม่ลังเลที่จะขานรับออกมา
ผู้คนในตำหนักตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์นักเรียนที่นั่งอยู่ใกล้พวกเขานั้นเห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ท่าทีของนางที่มีต่อเฉินฉางเซิงราวกับท่าทีของนักเรียนที่มีต่ออาจารย์จริงๆ ผู้คนยิ่งประหลาดใจและไม่เข้าใจ หนุ่มน้อยแซ่เฉินผู้นี้แท้จริงแล้วมีคุณธรรมและความสามารถอย่างไร ถึงทำให้องค์หญิงลั่วลั่วเคารพนับถือเช่นนี้ได้
“เสียดายที่คืนนี้ดึกไปเสียหน่อย”
ในเมื่อเอ่ยว่าจะเข้าสำนักฝึกหลวง ถังซานสือลิ่วจะไม่เสียใจภายหลังอย่างแน่นอน เพียงแค่เห็นท่าทีที่ลั่วลั่วมีต่อเฉินฉางเซิงก็รู้สึกเสียใจ ในใจครุ่นคิด ถ้าหากตนเข้าสำนักฝึกหลวงก่อน เรื่องนี้คงจะน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะสหายไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถทำได้ ไปช่วยค้ำยันสำนักที่พ่ายแพ้ทรุดโทรม นี่ช่างสง่าผ่าเผยเสียกระไร และตอนนี้ทั่วทั้งต้าลู่ต่างทราบดีองค์หญิงลั่วไปขอร่ำเรียนที่สำนักฝึกหลวง เวลานี้เขาเข้าร่วมในสำนักฝึกหลวง แล้วจะช่วยค้ำยันอะไรได้เล่า กลับกันยังจะให้ผู้คนรู้สึกว่าไปพึ่งใบบุญได้ง่ายๆ ด้วยซ้ำ
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด คิดว่าเขาคิดมากเกินไป จึงเอ่ยออกมา “รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ไม่ต้องใส่ใจ พวกเขามองอย่างไรก็ไม่ต้องสนใจ ในสำนักตอนนี้มีเพียงพวกเราไม่กี่คน ทำให้เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ดีกว่าหรือ ทำเรื่องราวให้ยุ่งยากก็มิได้มีความหมาย”
ถังซานสือลิ่วในใจครุ่นคิดแท้จริงแล้วมีเหตุผล แต่รู้สึกว่ากำลังถูกเขาสั่งสอนจึงโมโห พลางเอ่ยเย้ยหยัน “นี่เป็นการเริ่มเข้าเรียนก่อนแล้วหรือ”
ผู้คนที่อยู่ในตำหนักจ้องมองพวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคน ไม่มีสักคนที่จะกล่าวถึงเรื่องราวของสำนักฝึกหลวง อารมณ์หลากหลาย รู้สึกว่าค่อนข้างสลับซับซ้อน ผู้คนต่างทราบดี หลังจากคืนนี้ สวนสุสานที่ตกอับพ่ายแพ้มาหลายสิบปีมีนักเรียนใหม่จริงๆ สำนักฝึกหลวงที่ถูกลืมเลือนมาเป็นเวลานานได้กลับสู่สายตาของทั่วหล้าอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ใช่แล้ว สำนักฝึกหลวงตอนนี้มีนักเรียนเพียงสี่คน ไม่มีเจ้าสำนักและก็ไม่มีอาจารย์ แม้แต่คนทำธุระจิปาถะสักคนยังไม่มี ยังคงเงียบวิเวก แต่หลังจากคืนนี้ ผู้ใดจะกล้ามองข้ามสำนักฝึกหลวงดังแต่ก่อนเล่า
ในตำหนักทันใดมีเสียงปรบมือดังขึ้นมา ก้องกังวานและสงบนิ่ง มิได้เร่งรีบแม้แต่น้อย ไม่ได้ทำแบบขอไปที มิได้ตั้งใจให้เชื่องช้า มิใช่การเยาะหยัน
เสียงปรบมือดังขึ้น เสียงของโก่วหานสือก็ดังตาม
เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงและคนทั้งสาม กล่าวอย่างจริงจัง “ยินดีกับสำนักฝึกหลวง”
ฝูงชนมีสีหน้าแปลกประหลาดใจเล็กน้อย
การชุมนุมไม้เลื้อยในคืนนี้ โก่วหานสือกล่าวออกมาเป็นประโยคที่สอง
ก่อนหน้านี้ที่เฉินฉางเซิงนำหนังสือสมรสออกมา ทำให้ทั่วทั้งตำหนักเงียบสนิทไร้เสียง ประโยคแรกที่เขาเอ่ยออกมาก็คือคาดหวังว่าเฉินฉางเซิงจะไตร่ตรองความคิดเห็นของสวีโหย่วหรง ประโยคนั้นราบเรียบไม่ยินดียินร้ายแต่จี้ตรงไปยังตำแหน่งที่อ่อนแอที่สุดของจิตใจ ถ้าหากมิใช่เพราะนกกระเรียนขาวมาจากทางใต้อันไกลโพ้น สถานการณ์คืนนี้จะไปในทิศทางไหนก็มิอาจเอ่ยได้แน่ชัด
ตอนนี้เอง เขาจึงเริ่มเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้คนที่อยู่ในตำหนักต่างตึงเครียด รู้ว่ามีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
แม่นางม่ออวี่เคยคิดจะหยุดการชุมนุมไม้เลื้อยกลางคัน ให้การสู่ขอครั้งนี้กลายเป็นละครตลกจบอย่างรวดเร็ว กลับเป็นเพราะการลงมือของเสี่ยวซงกงรวมถึงการขึ้นเวทีอันสะเทือนเลื่อนลั่นของจินอวี้ลวี่จึงถูกยับยั้ง เช่นนั้นต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น
เรื่องที่ถังซานสือลิ่วลาออกจากสำนักเทียนเต้า เป็นการโต้เถียงของคนภายในต้าโจว หลังจากเข้าสำนักฝึกหลวงก็มิได้มีความเกี่ยวข้องกับคนทางใต้ การเงียบนิ่งของคณะทูตทางใต้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขารับความเป็นจริง การชุมนุมไม้เลื้อยยังมิได้สิ้นสุด แต่เพิ่งจะเริ่มขึ้น
ท่าทางของโก่วหานสือมิได้ใส่ใจ มองไม่เห็นร่องรอยก่อนหน้านี้ที่ถูกเฉินฉางเซิงโจมตี
“ขณะเดินทางมาจิงตู จึงได้รู้ข่าวคราวของสำนักฝึกหลวงอีกครั้ง ข้าคิดมาตลอด เวลาล่วงเลยสิบกว่าปี สำนักฝึกหลวงเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ไม่ธรรมดา ที่จริงแล้วก็ถึงเวลาที่จะเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง สำหรับเรื่องครั้งนี้ข้าชื่นชอบอย่างยิ่ง เพียงแต่แปลกใจนักว่า แท้จริงแล้วคนเช่นไรถึงจะสามารถรับภารกิจเช่นนี้ได้”
เขามองเฉินฉางเซิงพลางกล่าวต่อ “คืนนี้ถึงได้ล่วงรู้ เดิมทีองค์หญิงลั่วลั่วอยู่สำนักฝึกหลวง เพิ่งจะรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรเป็นอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนองค์หญิง คาดไม่ถึงว่าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงด้วย หากมองเช่นนี้ สำนักฝึกหลวงมีเหตุผลอะไรที่จะไม่เจริญรุ่งเรืองอีกครั้งเล่า”
“มีผู้คนจำนวนมากมายที่รู้ว่าสำนักฝึกแท้จริงแล้วก้าวไปอยู่ระดับไหน ข้าก็มิได้แปลกประหลาดใจ…ขอบพระทัยองค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ อนุญาตให้บรรดาลูกศิษย์ของสำนักหนานฟางเข้าร่วมการสอบใหญ่ และสำนักพระราชวังปีนี้ได้เชิญให้พวกเราเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ โก่วหานสือลุกออกจากที่นั่ง เดินลงบันไดไปหลายก้าว ชัดเจนว่าเขาห่างจากเฉินฉางเซิงและคนอื่นใกล้ยิ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนคิดว่าเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา แล้วกล่าวกับพวกเขาด้วยท่าทีอบอุ่นและสงบนิ่ง
“คืนนี้เป็นการชุมนุมไม้เลื้อยคืนที่สาม และก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่บรรดาสำนักไม้เลื้อยรวมทั้งบรรดาลูกศิษย์ที่ได้รับเชิญจะได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน”
“พวกเราเดินทางมาไกลพันลี้ ในเมื่อเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย จะไม่พลาดโอกาสนี้เป็นแน่”
“พรรคกระบี่เขาหลีซาน ขอสำนักฝึกหลวงโปรดสั่งสอนด้วย”
…
…
ในตำหนักเงียบสงัด ทว่ากลับไม่ได้เงียบวิเวกเหมือนก่อนหน้านี้ ที่น่าอัศจรรย์คือคำพูดและข้อเสนอของโก่วหานสือมิได้ทำให้ผู้คนตกตะลึง คล้ายกับว่าในจิตใจเบื้องลึกของผู้คนคาดเดาไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ซ้ำยังตั้งตารอคอยอยู่ลึกๆ อีกด้วย
ก่อนที่โก่วหานสือจะเอ่ยประโยคเหล่านี้ออกมา แท้จริงแล้วผู้คนกลับมิได้คาดคิดเรื่องนี้ว่าคืนนี้คือการชุมนุมไม้เลื้อยสำหรับคณะทูตทางใต้ ข้อเสนอของโก่วหานสือนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ถ้าหากเขาประลองกับเฉินฉางเซิงโดยตรงคงจะถูกผู้คนในใต้หล้าคิดว่าเขาหลีซานไม่พึงพอใจที่ชิวชานจวินถูกยับยั้งเรื่องการสมรส เขาก็มิได้แบกรับเรื่องราวที่ผ่านมานานหลายปีของการแลกเปลี่ยนหมัดและกระบี่ระหว่างเสี่ยวซงกงกับจินอวี้ลวี่ ไม่เอ่ยถึงฐานะขององค์หญิงลั่วลั่ว ไม่เอ่ยถึงถังซานสือลิ่วและบรรดาอาจารย์ เพียงเอ่ยถึงการชุมนุมไม้เลื้อย
การชุมนุมไม้เลื้อยมีกฎระเบียบ ระหว่างสำนักสามารถประลองกันได้
นี่มิใช่กฎระเบียบที่จักรพรรดิไท่จู่บัญญัติขึ้นและมิได้มีความเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิไท่จง การชุมนุมไม้เลื้อยมิใช่การสอบใหญ่ แต่แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์มีความยาวนานแตกต่างกันไม่มาก ด้วยเหตุนี้กฎระเบียบของการชุมนุมไม้เลื้อยจึงคุ้มค่าที่จะเคารพ หรือว่าคนต้าโจวคิดจะทำลายเสียเอง?
ในตำหนักเงียบเชียบไร้เสียง ผู้คนนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
ตอนนี้เอง สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิด โก่วหานสือเอ่ยขึ้นมาอีกครา
เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ใช่แล้ว ที่ข้าเพิ่งพูดออกไปล้วนแต่เป็นข้ออ้าง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเหตุผล”
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน ลั่วลั่วสั่นสะท้าน ถังซานสือลิ่วตกตะลึง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เขาจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
ผู้คนที่อยู่ในตำหนักล้วนแล้วแต่งงงัน
“คืนนี้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาด สำหรับพวกเราชาวใต้ สำหรับพรรคกระบี่เขาหลีซานล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีนัก ทว่าสิ่งสำคัญก็คือ ศิษย์พี่ของข้าไม่อยู่ สำหรับเรื่องนี้ ยังไม่มีใครได้ฟังความคิดเห็นของเขา ข้าจึงคิดว่าไม่ยุติธรรม”
โก่วหานสือจ้องมองเฉินฉางเซิง กล่าวว่า “เป็นลูกศิษย์ของเขาหลีซาน ข้ามีหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของเขาหลีซาน เป็นศิษย์น้อง ข้าเป็นตัวแทนของศิษย์พี่แสดงความคิดเห็น ด้วยเหตุนี้ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นข้ออ้างของการชุมนุมไม้เลื้อยหรือเป็นเหตุผลที่น่าเบื่อ ข้าเองก็ต้องทำเรื่องบางอย่างด้วยเช่นกัน เพราะว่าพวกเราต้องการออกจากตำหนักไปอย่างสงบ”
สุดท้าย เขายกมือขึ้นประสานพลางหันไปทางเฉินฉางเซิงแล้วกล่าวว่า “กรุณาสั่งสอนด้วย”
ทั่วทั้งตำหนักเงียบกริบ ทุกคนต่างจ้องมองไปยังพวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคน
เฉินฉางเซิงมองโก่วหานสือ เงียบอยู่นาน
เขารู้ความคิดของโก่วหานสือ พรรคกระบี่เขาหลีซานอยากจะใช้การประลองเพื่อกู้หน้าอีกครั้ง อีกทั้งวิธีนี้ ยังสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเหนือชั้นกว่าชิวชานจวินมากเพียงใด ที่จริงแล้วโก่วหานสือก็มิได้ปิดบังความคิดของตน นำความคิดออกมาวางไว้ในที่แจ้ง
นี่ก็คือความสง่าผ่าเผยอย่างนั้นหรือ
เขาจ้องโก่วหานสือพลางเอ่ยว่า “ก็แค่ดูเหมือนจะสง่าผ่าเผยเท่านั้นเอง”
โก่วหานสือกล่าวนิ่งเงียบ “ไม่ใช่สง่าผ่าเผย เพียงแค่ตรงไปตรงมา”
ถูกต้องแล้ว ความคิดของพรรคกระบี่เขาหลีซานไม่ได้เปิดเผยตรงไปตรงมา แต่การกระทำของโก่วหานสือวางไว้ที่แจ้ง เสนอที่จะประลองกับสำนักฝึกหลวงโดยตรง กลับเป็นความสง่าผ่าเผย ไม่มีที่ใดให้ประณามได้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ง่ายนักที่จะตอบโต้
ด้วยนิสัยของเฉินฉางเซิง ถ้าหากคืนนี้ไม่ได้ถูกจวนขุนพลเทพตงอวี้และคนใหญ่คนโตในพระราชวังวางแผนไว้ การสมรสครั้งนี้ เขาก็คงจะไม่แสดงออกอย่างรุนแรงเช่นนี้ ถ้าหากมีเพียงเขาที่เผชิญหน้าประลองกับโก่วหานสือ เขาจะต้องหันหลังหนีไปแน่นอน
แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียว เขาเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวง
สำนักศึกษาที่มีต้นไทรใหญ่ มีทะเลสาบ มีตำราอยู่เต็มหอตำราและสวนที่ผุพังแห่งนั้น เขารู้สึกผูกพันกับมันเสียแล้ว
ผู้ที่พรรคกระบี่เขาหลีซานท้าประลองนั้นมิใช่เขา แต่เป็นสำนักฝึกหลวง
เช่นนั้น เขาจึงไม่สามารถกระทำได้ตามความคิดของตนลำพัง
เขามองไปยังลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่ว อยากจะรู้ความคิดเห็นของพวกเขา กลับพบเจอสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ในสายตาของลั่วลั่วกับถังซานสือลิ่วกระหายอย่างรุนแรง ดูสดใสแวววาวเป็นพิเศษ ถึงขั้นแผดเผาผู้คนให้มอดไหม้ ไม่อาจสบมองโดยตรงได้
ความปรารถนาในการต่อสู้และจิตใจที่ไม่หวั่นเกรงของเด็กสองคนนี้ ทำให้ผู้คนไม่อาจจ้องมองตรงๆ ได้
“เอ่อ…จะสู้หรือไม่” เฉินฉางเซิงกล่าวถาม
สำนักฝึกหลวงไม่มีเจ้าสำนักอาจารย์ มีเพียงพวกเขาที่เป็นนักเรียนแค่ไม่กี่คน เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ จึงทำได้เพียงปรึกษาหารือก่อนจะตัดสินใจ
ลั่วลั่วยังคงเชื่อฟัง กล่าวออกมาอย่างไร้เดียงสา “ถ้าอาจารย์บอกว่าสู้ก็จะสู้”
ถังซานสือลิ่วมองเขาราวกับว่ามองคนโง่เขลา เอ่ยว่า “คนอื่นเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังกล้าไม่สู้อีกหรือ”
แม้ดูเหมือนจะไม่มีคำตอบที่แน่ชัด ลั่วลั่วแสดงออกว่าฟังคำพูดของเขา ถังซานสือลิ่วใช้ประโยคย้อนถาม แต่ในความเป็นจริง ผู้คนต่างเข้าใจความหมายของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน
สู้