ฝูงชนได้ยินประโยคนี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่เฉินฉางเซิงกลับตกตะลึงเล็กน้อย สี่กับเก้าในประโยคนี้ชี้ไปถึงลำดับของประกาศชิงอวิ๋นเป็นแน่ กวนเฟยไป๋อยู่ในอันดับสี่ของการประกาศ หรือว่าลั่วลั่วจะอยู่อันดับที่เก้าของการประกาศชิงอวิ๋น ตอนเขาอยู่ด้านนอกของหอจงซื่อเห็นลำดับของประกาศชิงอวิ๋นบนแผ่นหินครั้งหนึ่ง ทว่าจำไม่ได้ว่าชื่อของลำดับที่เก้าคือผู้ใด
“ในโรงเตี๊ยมด้านนอกสุสานเทียนซู ข้าเคยเอ่ยกับเจ้าแล้ว นอกจากสวีโหย่วหรง บนประกาศชิงอวิ๋นยังมีอีกสองคนที่ข้าไม่ปรารถนาจะต่อกร”
ถังซานสือลิ่วอยู่ข้างกายเขา เอ่ยขึ้นมา “คนหนึ่งคือลูกสุนัขป่าทางทิศเหนือ ยังมีอีกคน…เป็นหญิงสาวลึกลับ แน่นอนว่าสำหรับเจ้า นางเดิมทีไม่ได้ลึกลับแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้…เรื่องนี้คิดดูแล้วไร้รสชาติอย่างยิ่ง กล่าวถึงเรื่องนี้ เมื่อไหร่เจ้าจะให้ข้าอยู่ด้านหน้าเจ้าหาความมั่นอกมั่นใจบ้างเล่า”
เฉินฉางเซิงเพิ่งจะคิดได้ ถังซานสือลิ่วเคยเอ่ยไว้ มีหญิงสาวลึกลับเผ่าปีศาจผู้หนึ่ง อยู่อันดับในประกาศชิงอวิ๋นก่อนจวงห้วนอวี่ มีผู้คนจำนวนมากเดาได้ว่าหญิงสาวผู้นั้นคงจะเป็นองค์หญิงของเผ่าปีศาจ หลังจากนั้นเขาจึงนึกขึ้นมาได้ เมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรก เขาเคยถามลั่วลั่วเพราะเหตุใดถึงรู้จักจวงห้วนอวี่ ลั่วลั่วจึงตอบกลับว่า นั่นเป็นเพราะตำแหน่งของนางกับจวงห้วนอวี่ใกล้กันยิ่ง อยากจะไม่รู้จักเห็นทีจะยากยิ่ง
ตำแหน่งอะไร ตอนนี้คิดดูแล้ว มิได้กล่าวถึงเพื่อนบ้านแน่ๆ เพราะข้างสวนร้อยหญ้าคือสำนักฝึกหลวง มิใช่สำนักเทียนเต้า
ตำแหน่งที่ว่านั่น เป็นตำแหน่งบนประกาศชิงอวิ๋น
ลั่วลั่วถึงแม้ไม่ได้ใส่ใจเรื่องในใต้หล้า สำหรับคนผู้นั้นที่อยู่ด้านล่างประกาศชิงอวิ๋นของตน ถึงอย่างไรก็รู้ชื่อแซ่ของฝ่ายตรงข้าม
เฉินฉางเซิงเพิ่งเข้าใจ เพราะเหตุใดคนถือดีดังเช่นถังซานสือลิ่ว ถึงเหลือกวนเฟยไป๋ให้ลั่วลั่ว
ท่าทางของลั่วลั่วมิได้เปลี่ยนแปลง มือขวาจับด้ามแส้วิรุณโปรยแน่นขนัด จ้องมองกวนเฟยไป๋พลางเอ่ย “ถ้าหากมองเพียงแค่ลำดับ การชุมนุมไม้เลื้อยเหตุใดจะต้องจัดด้วยเล่า แล้วการสอบใหญ่จะมีความหมายอะไร ผู้ใดแข็งแกร่งผู้ใดอ่อนแอ สุดท้ายแล้วยังคงต้องต่อสู้ มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้ถังซานสือลิ่วเพราะเหตุใดถึงชนะศิษย์น้องเจ้าเล่า”
กวนเฟยไป๋เอ่ยอย่างเมินเฉย “นั่นเป็นเพราะมีคนช่วยชี้แนะ”
เมื่อถังซานสือลิ่วได้ฟัง โมโหจัดเอ่ยออกมา “พูดราวกับว่าศิษย์พี่เจ้าไม่ได้อ้าปาก!”
โก่วหานสือยกมือปรามกวนเฟยไป๋ มองลั่วลั่วเอ่ยด้วยความสงบนิ่ง “องค์หญิงเอ่ยมีเหตุผล”
หลังจากนั้นเขาหันกายไปเอ่ยกับกวนเฟยไป๋ “ศิษย์น้อง การประลองฝีมือครานี้จักต้องพยายามอย่างสุดกำลัง ความน่าเกรงขามของสำนักอย่าได้บกพร่องแม้แต่น้อย”
กวนเฟยไป๋ไม่ได้เอ่ยมากไปกว่านี้ หลังจากครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ชักกระบี่ออกมา จ้องมองไปยังลั่วลั่วพลางเอ่ย “องค์หญิงโปรดชี้แนะ”
ต้าโจวถึงแม้แข็งแกร่ง จิงตูถึงแม้กว้างใหญ่ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นยุคของคนหนุ่มสาว นอกจากสวีโหย่วหรง เดิมทีไม่มีผู้ใดจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ ถ้าหากเพียงแค่เย่อหยิ่งทะนงตน ตลอดวันจิตใจถูกเพลิงแห่งความโกรธแผดเผา แล้วเขาจะมีคุณสมบัติเป็นลูกศิษย์ของสำนักในเขาหลีซานและเป็นหนึ่งในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพได้อย่างไร
เมื่อเขากุมกระบี่อยู่ในมือ ชั่วพริบตาท่าทางเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง ความเย่อหยิ่งทั้งหมดทั้งมวลพลันหายไปสิ้น
ความเย่อหยิ่งเหล่านั้น กลับไปอยู่บนกระบี่ยาวในมือเขา
นั่นคือกระบี่ที่ธรรมดาเล่มหนึ่ง
พรรคกระบี่เขาหลีซานเป็นธรรมดาที่จะเห็นความสำคัญของลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์น่าทึ่งดังเช่นกวนเฟยไป๋ ถึงแม้จะไม่เหมือนกับชีเจียนที่สั่งสอนเคล็ดวิชาเพลงกระบี่ แต่จะต้องมอบกระบี่ล้ำค่าอันแหลมคมให้เป็นแน่ เพียงแต่ว่าเขาไม่ยอมรับ เขายังคงใช้กระบี่ธรรมดาเล่มนี้ เพราะว่าเขาเคยลั่นวาจาไว้ หากยังไม่อยู่เหนือศิษย์พี่ชิวซานจวินจะไม่เปลี่ยนกระบี่เป็นอันขาด
ผู้คนต่างทราบดีว่ากระบี่ที่ชิวซานจวินใช้ชื่อว่าเกล็ดมัจฉาทวนแสง มีเพียงแค่บรรดาศิษย์น้องที่ใกล้ชิดกับเขาถึงจะล่วงรู้ กระบี่ที่ศิษย์พี่ใช้อยู่เป็นประจำเป็นกระบี่ธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นฝีมือของช่างฝีมือที่อยู่ในหมู่บ้านธรรมดาในเมืองที่อยู่ตีนเขาหลีซานตีกระบี่ขึ้นมา มีราคาค่างวดเพียงสองสามตำลึง
เขามองศิษย์พี่ชิวซานจวินเป็นดังวีรบุรุษ เป็นเป้าหมายที่จะต้องเหนือกว่า ด้วยเหตุนี้เขาจำต้องใช้กระบี่ธรรมดาเฉกเช่นเดียวกัน
กระบี่ธรรมดา ทว่าคนไม่ธรรมดา ผู้คนที่อยู่บนบันไดหินหน้าตำหนัก จ้องมองกวนเฟยไป๋ที่ย่างก้าวเชื่องช้ามีท่าทางแปลกประหลาดมุ่งไปตรงกลางสนาม
ตามย่างก้าวที่มุ่งไปยังด้านหน้า หนุ่มน้อยแข็งแกร่งผู้เย่อหยิ่งเมินเฉย พลังลมปราณค่อยๆ สงบค่อยๆ เบาบาง แต่กระบี่ในมือเขา กลับยิ่งนานยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่ง
เขานำจิตใจของตนเองทั้งหมดส่งถ่ายไปบนกระบี่
“เจ้าไม่เป็นห่วงหรือ”
ถังซานสือลิ่วมองใบหน้าด้านข้างเฉินฉางเซิง พบว่าตอนนี้ท่าทางของเขาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย จึงรู้สึกตกตะลึง เพียงเห็นกวนเฟยไป๋ย่างก้าวเข้ามาในสนามเพียงสิบกว่าก้าว เพียงเห็นความสามารถที่รวมพลังลมปราณไว้บนกระบี่ เขาตระหนักดีว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม องค์หญิงลั่วลั่วถึงแม้ในประกาศชิงอวิ๋นจะอยู่อันดับที่แข็งแกร่งกว่าตน แล้วจะชนะคนเช่นนี้ได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงจ้องมองสนาม พลางเอ่ยออกมา “ลั่วลั่วจะต้องชนะแน่นอน จะมีอะไรให้เป็นห่วงเล่า”
ถังซานสือลิ่วไร้วาจาใดๆ ในใจครุ่นคิดเพียงเพราะว่านางเรียกเจ้าว่าอาจารย์คำเดียวหรือ เจ้าเด็กคนนี้มองแล้วเป็นคนสุขุมพูดน้อย อาการมั่นอกมั่นใจหลงตนเองเช่นนี้แท้จริงแล้วเอามาจากไหนกัน
ผู้คนทั้งหมดก็เหมือนกับถังซานสือลิ่ว เห็นพลังลมปราณที่แกร่งกล้าของกวนเฟยไป๋ปรากฏออกมาและระดับวิทยายุทธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ คิดว่าองค์หญิงลั่วลั่วคงไม่มีโอกาสใดๆ เป็นแน่
มีเพียงเฉินฉางเซิงที่ทราบดี หลายเดือนที่ลั่วลั่วอยู่ในสำนักฝึกหลวงได้เรียนสิ่งใดไปบ้าง
ประกาศชิงอวิ๋นลำดับที่เก้ารึ นั่นเป็นเรื่องของเมื่อก่อน ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าลั่วลั่วแท้จริงแล้วแข็งแกร่งจนถึงระดับไหน
จ้องมองลั่วลั่วย่างก้าวไปตรงกลางของสนาม จ้องมองกระโปรงที่ถูกสายลมพัดโชยเบาๆ ของหญิงสาว อยู่ๆ เขาก็ก่อเกิดความหวังอย่างรุนแรง
ในหลายวันมานี้ สำนักฝึกหลวงมีเพียงเขากับลั่วลั่วสองคน ลั่วลั่วเรียนรู้สิ่งใดไปบ้าง พัฒนาสิ่งใดล้วนแต่มาจากเขา ถึงแม้เขาจะอยากถ่อมตน ถึงแม้ไม่ปรารถนาจะรับความดีความชอบ และก็หมดหนทางจะทำได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือลั่วลั่วเป็นนักเรียนที่เขาสอนมากับมืออย่างแท้จริง
เขาอยากจะรู้อย่างยิ่ง ตอนนี้ลั่วลั่วกับสวีโหย่วหรงหากประลองฝีมือกันแล้ว ใครจะเป็นฝ่ายชนะ
เขาชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จจึงหมดหนทางที่จะบำเพ็ญเพียร หากมองด้วยสายตาคล้ายกับว่าเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะสนทนากับหญิงสาวผู้นั้นตลอดไป
แต่ลั่วลั่วเป็นนักเรียนของเขา
หากลั่วลั่วสามารถชนะนางได้ นี่สามารถแสดงถึงเรื่องอะไรบางอย่างใช่หรือไม่
ความคิดเช่นนี้อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา และยากที่จะสลัดออกจากหัวสมอง
เอ่ยไปเอ่ยมา เขาก็เป็นเพียงหนุ่มน้อย ประจวบเหมาะกับเป็นวัยหนุ่มสาว แล้วจะไม่มีความรู้สึกที่อยากจะเอาชนะได้อย่างไรกันเล่า
ผู้คนต่างคิดว่าการประลองระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซานสนามที่สองคงจะเริ่มต้นเช่นนี้ ทันใดมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากความมืดยามราตรี
แม่นางม่ออวี่จ้องมองสนามการแข่งขันพลางเอ่ยออกมา “องค์หญิงมีฐานะระดับใด เกรงว่าอันตรายแม้เพียงสักครึ่งหนึ่งก็ไม่อาจรับได้”
ผู้คนเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด นี่เป็นปัญหาก่อนหน้านี้ที่ผู้คนล้วนแต่เป็นกังวล ทางด้านพรรคกระบี่เขาหลีซานได้เอ่ยขึ้นมาแล้ว ทว่าเป็นลั่วลั่วเองที่ไม่ได้ใส่ใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าราชสำนักต้าโจวจะไม่ต้องใส่ใจ เช่นนั้นการประลองครั้งนี้จะทำอย่างไร
โก่วหานสือรับรู้ถึงสายตาที่ส่งทอดมาเหล่านั้น เข้าใจความหมายของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้นมา “ประลองเพียงกระบวนท่าเพลงกระบี่ ไม่ใช้พลังปราณแท้”
กวนเฟยไป๋ได้ยินจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
ผู้คนล้วนแต่ตระหนักดีว่า เผ่าปีศาจเหนือกว่าทางด้านสติปัญญา องค์หญิงลั่วลั่วเป็นบุตรีคนเดียวของจักรพรรดิขาว มีพรสวรรค์เป็นเลิศโดยธรรมชาติ ถ้าหากไม่เป็นเพราะว่าเผ่าปีศาจไม่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ของเผ่ามนุษย์ พรสวรรค์ทางด้านสายเลือดของนางก็ไม่ต่างกับสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวิน จะอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นเพียงแค่ลำดับที่เก้าได้อย่างไรกัน
ถ้าหากหลังจากนางเติบใหญ่ฝึกฝนเคล็ดลับวิชาของตระกูลสำเร็จ ระดับฝีมือนั่นคงจะไม่ต้องกล่าวถึง ทว่ากลับมองเห็นว่านางยังไม่เติบใหญ่ หมดหนทางที่จะใช้การบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์ขับเคลื่อนพลังปราณแท้ เช่นนั้นพลังปราณแท้รวมถึงระดับความชำนาญ คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลูกศิษย์ที่ฝึกบำเพ็ญเพียรทุกข์ทรมานของพรรคกระบี่เขาหลีซานเป็นแน่
เวลานี้โก่วหานสือเสนอให้ใช้เพียงกระบวนท่าในการประลอง ก็เท่ากับละทิ้งข้อได้เปรียบของกวนเฟยไป๋
ประโยคนั้นของม่ออวี่รวมถึงสายตาของผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าตำหนัก กล่าวตามความหมายที่อยู่ในนั้นก็คือ ไม่เป็นธรรม
ทว่าโก่วหานสือเป็นฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ก่อน กวนเฟยไป๋ใช้ความเงียบงันแสดงว่าเห็นด้วย พรรคกระบี่เขาหลีซานแท้จริงแล้วมั่นใจ เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพแท้จริงแล้วภาคภูมิใจ
ลั่วลั่วคิดไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หันกายไปมองเฉินฉางเซิงตามความเคยชิน
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด เขารู้ว่าข้อเสนอของโก่วหานสือถูกแรงกดดันของบรรดาผู้แกร่งกล้าเผ่ามนุษย์เหล่านั้นทำให้ต้องเลือก วิธีการประลองเช่นนี้ดูเหมือนจะโน้มเอียงไปทางลั่วลั่ว แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบดี นี่ไม่เป็นผลดีต่อลั่วลั่ว เพราะว่าปัญหาการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของชีพจรเผ่าปีศาจของลั่วลั่ว ได้ถูกเขาแก้ไขนานแล้ว
ด้วยสายเลือดเปี่ยมพรสวรรค์ของจักรพรรดิขาว เพียงแค่ระยะเวลาไม่กี่เดือน จำนวนพลังปราณแท้ภายในร่างกายลั่วลั่วสะสมจนถึงระดับที่น่าเกรงกลัว กล่าวโดยสรุป ตอนนี้เกรงว่านางเหนือกว่ากวนเฟยไป๋ อย่างน้องก็ไม่ด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม เพราะว่าเหตุนี้ เขาถึงมั่นใจว่าค่ำคืนนี้ลั่วลั่วจะไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน
ตอนนี้การประลองใช้เพียงกระบวนท่า ไม่ใช้พลังปราณแท้ คนที่สูญเสียข้อได้เปรียบมิใช่กวนเฟยไป๋ แต่คือนาง
ลั่วลั่วกำลังมองเฉินฉางเซิงอยู่
ผู้คนต่างก็จ้องมองเฉินฉางเซิง รู้สึกไม่เข้าใจ ชัดเจนยิ่งนักว่าข้อเสนอนี้เป็นผลดีต่อสำนักฝึกหลวง ทว่าเพราะเหตุใดถึงชักช้าไม่ยินยอมตกลง
โก่วหานสือคิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้เพราะว่าถือดีถึงไม่ยินยอมรับข้อเสนอเช่นนี้ เอ่ยว่า “เจ้าชัดเจนยิ่งนักข้อเสนอนี้ยังมีอีกความหมายหนึ่ง”
ที่เขาเอ่ยมิใช่เพื่อการแพ้ชนะ ไม่ใช่เพื่อการได้เปรียบเสียเปรียบ แต่คือเพื่อเขากับเฉินฉางเซิง
เพียงแค่ประลองกระบวนท่า ไม่ใช้พลังปราณแท้ ถ้าหากตามความเป็นไปในประลองในสนามแรก เขากับเฉินฉางเซิงจำต้องเอ่ยปากออกมา
การประลองสองครั้งสุดท้ายของสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซาน ราวกับรวมกันเป็นสนามเดียว
โก่วหานสือจะใช้การประลองครั้งนี้ ทำให้สำนักฝึกหลวงกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง
เฉินฉางเซิงมองลั่วลั่ว พยักหน้าเบาๆ
ลั่วลั่วทำความเคารพสงบนิ่ง หลังจากนั้นหันกายกลับไป
ขณะนี้เมื่อจ้องมองภาพนี้ ผู้คนไม่ได้ตกตะลึงดังเช่นที่อยู่ห้องโถงก่อนหน้านี้ คาดไม่ถึงว่านางจะเคารพเชื่อฟังหนุ่มน้อยธรรมดาเช่นนี้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าความรู้สึกนั้นมีบางอย่างขาดหายไป เพราะว่าการประลองระหว่างถังซานสือลิ่วกับชีเจียนก่อนหน้านี้ เฉินฉางเซิงได้พิสูจน์ไปมากมายแล้ว
ลั่วลั่วเดินไปถึงสนามการประลอง
ท่าทางของกวนเฟยไป๋ยกกระบี่ยาวในมืออย่างไม่ใส่ใจ ชูออกไปด้านหน้าหน้าอก
จิตใจของเขาเงียบนิ่งราวกับน้ำแข็งที่เยือกเย็น ในสายตาไม่ได้เห็นเป็นหญิงสาวที่น่ารักอ่อนแอ และก็ไม่ได้คิดว่ามีความเกี่ยวพันกับองค์หญิงเผ่าปีศาจ มีเพียงคู่ต่อสู้คนหนึ่งเท่านั้น
ลั่วลั่วสะบัดแส้วิรุณโปรยในมือ ปลายของแส้แผดเสียงร้องคำรามไปยังกลางอากาศ หลังจากนั้นก็หยุดนิ่งในความมืดยามราตรี
ระยะห่างของคนทั้งสองสิบกว่าจั้ง นอกเสียจากการขับพลังปราณแท้รวมถึงการจู่โจมด้วยพลังกระบี่ เช่นนั้นก็ไม่มีอันตรายใดๆ
มองเห็นภาพนี้ ม่ออวี่พยักหน้าพึงพอใจ ผู้ยิ่งใหญ่ด้านหน้าตำหนักที่เหลือในที่สุดก็สบายใจไปมาก
เพียงแค่องค์หญิงลั่วลั่วไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ การแพ้ชนะระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซานก็ไม่มีผู้ใดใส่ใจ
ไม่ เหล่าใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่จ้องมองโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่ความมืดยามราตรีที่แบ่งแยกอย่างชัดเจนในสนาม อยากจะรู้ยิ่งว่าระหว่างพวกเขาใครจะเป็นฝ่ายแพ้ชนะ
ลั่วลั่วยกแส้วิรุณโปรยขึ้นมา คนที่เริ่มกลับมิใช่ตัวนาง แต่เป็นเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่ไกลออกไป
ถ้าหากเป็นหนุ่มสาวที่ถือดีเหล่านั้น ดังเช่นถังซานสือลิ่วหรือกวนเฟยไป๋ อาจจะรู้สึกไม่ยินดี หรืออย่างน้อยก็ขัดแย้งในใจ แต่ลั่วลั่วไม่เป็นเช่นนั้น หลายเดือนที่ใช้ชีวิตในสำนักฝึกหลวงทำให้นางรู้จักความลึกซึ้งมั่นคงในจิตใจ ไม่ว่าอาจารย์ทำสิ่งใดล้วนแต่ถูกต้อง ทำสิ่งใดล้วนแต่เป็นผลดีต่อนาง
ด้วยเหตุนี้หลังจากได้ยินเสียงของเฉินฉางเซิงจึงไม่ลังเลให้แส้วิรุณโปรยแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ แทงไปยังกวนเฟยไป๋ที่อยู่ห่างสิบกว่าจั้ง
“ยกบุษราคราม”
นี่เป็นกระบวนท่าแรกในกระบี่ลมฝนจงซาน และก็เป็นท่าเริ่มต้น
การเปิดการประลองด้วยกระบวนท่าเช่นนี้ ทำให้ผู้คนเหนือความคาดหมายเพราะว่าไม่เหนือความคาดหมายยิ่ง
ผู้คนต่างคาดคิดว่าเฉินฉางเซิงจะให้ลั่วลั่วออกกระบวนท่าแรก จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง หรืออาจจะเป็นกระบวนท่าใหญ่ที่เรียกลมเรียกฝนในระดับนั้น
ใครจะคาดคิด เขาจะออกกระบวนท่าที่ธรรมดาเช่นนี้
กระบี่ลมฝนจงซานออกคือยกบุษราคราม พลังของลมฝนออกมา แล้วจะหวาดกลัวที่ไหนกันเล่า แล้วจะได้ยินเสียงสะอื้นของฝนที่ไหนกันเล่า
ก็เหมือนกับการวางหมากรุก เขาวางหมากเม็ดแรกที่ตำแหน่งจุดตัด ไม่ประหลาด แต่แปลกอย่างธรรมดา
มีคนถึงขนาดที่ว่าผิดหวัง
แส้วิรุณโปรยทะลุทะลวงไปยังกลางอากาศ แผดเสียงคำราม คล้ายกับว่าอานุภาพทำให้ตื่นตะลึง ในความเป็นจริงพลังปราณแท้ของลั่วลั่วไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย กระบวนท่ากระบี่นี้มีเพียงแค่ท่าทาง กลับไม่มีพลัง ระยะห่างสิบกว่าจั้ง หมดหนทางที่จะทำร้ายกวนเฟยไป๋ แต่ในเมื่อเป็นการประลอง เขาจำเป็นต้องรับกระบวนท่า ผู้แกร่งกล้าอาวุโสที่อยู่ด้านหน้าตำหนักจำนวนมากจ้องมองในสนามประลอง การแพ้ชนะจะอยู่ในสายตาของพวกเขา
ในเวลาปกติหากเผชิญหน้ากับกระบวนท่าพื้นๆ ธรรมดาเช่นนี้ กวนเฟยไป๋คงจะต้องตอบโต้ทันที แต่ค่ำคืนนี้มิใช่การประลองส่วนตัว แต่เป็นการประลองระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซาน พรรคกระบี่เขาหลีซานอยู่ต้าลู่มีอำนาจแข็งแกร่งคาดไม่ถึงว่าจะประลองกับสำนักฝึกหลวงที่ตกอับอยู่ในความทุกข์ทรมานมาสิบกว่าปี เรื่องนี้เดิมทีก็เพียงพอให้ลูกศิษย์เขาหลีซานรู้สึกอัปยศอดสู ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสนามแรกพวกเขาไว้วางใจศิษย์น้องเล็กหาสิ่งใดเปรียบได้ หลังจากพ่ายแพ้แก่นักเรียนของสำนักฝึกหลวง นี่ยิ่งทำให้พวกเขารับรู้ถึงแรงกดดันอันใหญ่ยิ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงระมัดระวัง เขารอคอยความคิดเห็นจากศิษย์พี่
น้ำเสียงของโก่วหานสือพลันเอ่ยออกมา ดังกึกก้องในความมืดยามราตรี
“กระบี่เจ็ดดาราตงหลินท่าที่สาม”
ทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง
ผู้คนจ้องมองกระบี่ยาวในมือของกวนเฟยไป๋ตวัดกวัดแกว่งเป็นรูปร่างของกระบี่ในความมืดยามราตรี ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ควรเอ่ยสิ่งใดออกมา
เฉินฉางเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามั่นใจว่าตนไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ชุดนี้มาก่อน
คลังคัมภีร์เต๋าดุจมหาสมุทร บันทึกหรือว่ากล่าวถึงเพลงกระบี่ดุจมหาสมุทรสีคราม ในรายชื่อของเพลงกระบี่มีคำว่าดวงดาวหรือหมู่ดาวจำนวนนับไม่ถ้วน แต่เพลงกระบี่ที่มีคำว่าเจ็ดดาราสองคำนี้มีประมาณสิบกว่าชนิด
แต่เพลงกระบี่เจ็ดดาราชุดนี้ เขาไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยินจริงๆ
เขาเอ่ยว่า “กระบวนท่าสุดท้าย”
ไม่เอ่ยถึงชื่อของเพลงกระบี่ เอ่ยคำว่ากระบวนท่าสุดท้ายออกมาโดยตรง ธรรมดายังคงเป็นเพลงกระบี่ลมฝนจงซาน
เพลงกระบี่สุดท้ายนามว่า ‘โอบฝนในอ้อมอก’
เป็นการรับพลังพลางตั้งรับไปด้วย เป็นกระบวนท่าป้องกันที่มิดชิดที่สุดในชุดของเพลงกระบี่ลมฝนจงซาน
เฉินฉางซิงไม่เคยเห็นเพลงกระบี่เจ็ดดาราตงหลินที่โก่วหานสือกล่าวออกมา เพียงแค่คาดหวังว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ
“ล้ำเลิศอย่างยิ่ง”
เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้าลูบคลำหนวดยาวเบาๆ จ้องมองในสนามกล่าวชื่นชม
เป็นผู้แกร่งกล้าในจิงตู การวิพากษ์วิจารณ์ของเขาเป็นธรรมดาที่ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก
สวีซื่อจีเอ่ยถาม “เจ้าสำนักเคยเห็นเพลงกระบี่ชุดนี้หรือไม่”
“ไม่เคย”
เหมาชิวอวี่ส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “ด้วยเหตุนี้จึงล้ำเลิศยิ่งนัก”
ในกลุ่มผู้คนอยู่ๆ มีเสียงดังขึ้นมา “นั่นเป็นเพลงกระบี่ของนิกายชิงเจียงอำเภอตงหลิน”
กลุ่มผู้คนมองไปยังเสียงที่ธรรมดา พบว่าคนที่เอ่ยออกมาก็คือนักเรียนหนุ่มน้อยที่ไม่สะดุดตาของคณะเจรจาทางทิศใต้ผู้หนึ่ง
มีคนเอ่ยถาม “นิกายชิงเจียง เพราะเหตุใดพวกเราถึงไม่เคยได้ยิน”
นักเรียนหนุ่มน้อยคนนั้นถูกคนมากมายจ้องมอง รู้สึกตึงเครียด เอ่ยช้าๆ อธิบาย “นั่นเป็นสำนักเล็กๆ นักเรียนก็เป็นคนชิงเจียง จึงรู้”
เหมาชิวอวี่เอ่ยมาจากใจ “แท้จริงแล้วล้ำเลิศอย่างยิ่ง”