เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเหมาชิวอวี่ ผู้คนต่างก็คิดไปถึงอายุของคนทั้งสี่ในสนามประลอง
โก่วหานสือที่โตที่สุด อายุก็ไม่ถึงยี่สิบปี
กวนเฟยไป๋อายุสิบแปดปี
เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วยิ่งเด็กกว่า
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่มทั้งสิ้น พวกเขามีขั้นทะลวงอเวจี มีขั้นถอดจิต และยังมีบางคนที่เป็นดั่งเฉินฉางเซิงแม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ กลุ่มฝูงชนที่ชมการต่อสู้บนบันไดหินด้านหน้าตำหนัก เพียงผู้อาวุโสแกร่งกล้าแค่ท่านหนึ่งก็สามารถเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าจะเปรียบเทียบกับโจวตู๋ฟูรวมถึงจักรพรรดิไท่จงในปีนั้น
ทว่าพวกเขายังเยาว์วัยจริงๆ เยาว์วัยเสียจนไม่มีผู้ใดจะยืนยันถึงภายภาคหน้าของพวกเขา ค่ำคืนนี้พวกเขาได้แสดงระดับที่ทำให้ผู้คนในใต้หล้าต่างสั่นสะเทือน แล้วจะมีผู้ใดสามารถชี้ขาดว่าอนาคตของพวกเขาสุดท้ายแล้วจะไปถึงระดับไหนเล่า
ผู้คนต่างจ้องมองลมฝนของกระบี่ในสนามประลองเงียบๆ กำลังฟังชื่อของกระบวนท่าเหล่านั้น เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด อารมณ์สลับซับซ้อน ในมุมมองของพวกเขา ค่ำคืนนี้การประลองระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซาน การแพ้ชนะแท้จริงแล้วหาได้มีสิ่งสำคัญอีกต่อไปไม่ หรืออาจจะกล่าวว่า ค่ำคืนนี้ไม่มีผู้พ่ายแพ้
แต่เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือมิได้คิดเช่นนี้ ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ก็มิได้คาดคิดเช่นนี้ ถังซานสือลิ่วที่ตื่นเต้นกว่าผู้ใดอยู่ด้านข้างสนามประลอง รวมถึงเสี่ยวซงกงที่สีหน้ายิ่งนานยิ่งอาฆาตแค้น และผู้ที่อยู่ในการประลองอย่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคเขาหลีซาน ล้วนคิดเพียงแค่ว่าปรารถนาจะชนะฝ่ายตรงข้าม
ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด
มิอาจรู้ได้จริงๆ
ผู้ชมหลายร้อยคนกับผู้ที่อยู่ในสนามประลองทั้งสองฝ่าย ล้วนแต่ลืมเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป
ระดับความเร็วในการกล่าวของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือมิได้ลดลง แต่น้ำเสียงค่อยๆ แหบแห้ง
ความเร็วในการออกกระบวนท่าของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ก็มิได้ช้าลง ยังคงแม่นยำแน่วแน่ แต่ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้น
ในที่สุดเมื่อมาถึงช่วงเวลาหนึ่ง เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือจึงมิได้ปริปากออกมาพร้อมกัน
วิชากระบวนท่าทั้งหมด วิชาท่าก้าวทั้งหมด กระบวนท่าเพลงกระบี่ทั้งหมดได้ออกไปจนสิ้นแล้ว ความรู้ทั้งหมดได้หมดสิ้นดั่งน้ำลดลงจึงปรากฏเป็นก้อนหินสีขาวมิปาน
ไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าใด ระยะห่างลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋สิบกว่าจั้งได้มลายหายไปภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ผู้คนสนใจ
เมื่อทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากัน แส้วิรุณโปรยกับกระบี่ยาวธรรมดาด้ามนั้น ปะทะกันใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน ไร้เสียงไร้ลมปราณ
การประลองครั้งนี้ดำเนินต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือต่างย่างก้าวไปด้านหน้าสนามการประลองคนละก้าว
ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ใช้เพลงกระบี่หลายร้อยกระบวนท่า ใช้วิชาท่าร่างกับวิชาย่างก้าวนับไม่ถ้วน ข้ามผ่านระยะทางสิบกว่าจั้งนั่น
จนมาถึงช่วงเวลาสุดท้าย ทั้งสองได้พบกัน แส้กับกระบี่ได้สัมผัสกัน
นี่มิใช่สิ่งที่สอดคล้องกัน แต่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มาด้วยกัน ด้วยเหตุนี้จึงสมบูรณ์ยิ่งนัก
การประลองมาถึงตรงนี้ ในที่สุดได้พบกัน มิใช่เพราะน้ำมันตะเกียงเหือดแห้งไฟจึงมอดดับลง แต่เป็นพระอาทิตย์ยามอัสดงลาลับขอบฟ้า คล้ายกับว่าจะถึงเวลาสิ้นสุดลงแล้ว
แส้วิรุณโปรยกับกระบี่ยาวมาพบกัน ในเมื่อไม่สามารถใช้พลังปราณแท้ได้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อาจดำเนินต่อได้
ดุเดือดรุนแรงเช่นนี้ จนกระทั่งเอ่ยได้ว่าเป็นการประลองที่มีสีสันละลานตา จนสุดท้ายคาดไม่ถึงว่าจะเสมอกัน นี่งดงามยิ่งนัก สอดคล้องกับสุนทรียศาสตร์ของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง
ด้านหน้าตำหนักเงียบเชียบไร้เสียง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ยังคงเงียบสนิท
หลังจากนั้นจึงมีเสียงปรบมือดังขึ้น
ผู้ที่ปรบมือก็คือเหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้า
ผู้ที่ปรบมือตามมาก็คือเฉินหลิวอ๋อง มุขนายกสำนักการศึกษากลาง หลังจากนั้นผู้คนทั้งหมด รวมถึงผู้นำตระกูลชิวซานกับสวีซื่อจีที่สีหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอีกครา ทว่าก็เริ่มปรบมือ
เสียงปรบมือรวดเร็วฉับพลัน ประหนึ่งเสียงลมเสียงฝนกู่ร้องก็มิปาน มีเสียงถอดถอนใจและการชื่นชมผสมปนเปในระหว่างนั้น
ผู้คนต่างชื่นชมยินดีความสามารถที่แสดงออกมาในการประลองของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ ยิ่งเลื่อมใสศรัทธาเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือที่แสดงความสามารถและความรู้ที่ลึกซึ้งกว้างไกลเป็นประจักษ์แก่สายตาทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินฉางเซิง ผู้คนจำนวนมากมองเขา คิดด้วยความสั่นสะเทือน คนผู้นี้แท้ที่จริงคู่ควรแล้วที่องค์หญิงลั่วลั่วจะเคารพเช่นนี้ ถ้าหากสามารถฝึกบำเพ็ญเพียร คงจะมิใช่โก่วหานสือคนที่สองหรอกหรือ
มุขนายกสำนักการศึกษากลางเอ่ยเสียงเบากับอาจารย์ซินที่อยู่ด้านหลังสองประโยค อาจารย์ซินได้รับคำสั่งจึงมุ่งไปพร้อมกับคนใต้บัญชา แยกกันไปหาเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือ ส่งเม็ดยาบำรุงจิตเทพจากพระราชวังลี่ให้ ผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่าลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ที่อยู่ในการประลองได้สูญเสียพลังไปมหาศาล มุขนายกสำนักการศึกษากลางเข้าใจยิ่ง จิตใจของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือได้สูญเสียไปอย่างน่าหวาดกลัว โดยเฉพาะเฉินฉางเซิงที่ไม่เป็นวิทยายุทธ์ ไม่สามารถใช้พลังปราณแท้ขับออกมารักษา ถ้าหากไม่ใช้ยารักษาในทันที เกรงว่าจะได้รับอันตรายสาหัสไม่น้อย จนถึงขนาดที่ว่าจะมีอาการต่อเนื่องหลงเหลืออยู่ต่อไปได้
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือไม่ได้ใช้ยา แม้กระทั่งเหลือบมองก็ไม่มีสักนิด
พวกเขายังคงมองในสนามประลอง จ้องมองลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋
ผู้คนที่ชมการต่อสู้ด้านหน้าตำหนักเพิ่งสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในสนาม
ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ไม่ได้ถอนแส้วิรุณโปรยและก็ไม่ได้ถอนกระบี่ออก เดิมทีพวกเขาไม่ได้มีความหมายว่าจะถอยไปจากสนามประลอง
กลุ่มผู้คนนิ่งเงียบอีกครั้ง มองภาพที่เห็นด้วยความแปลกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น
ไม่ยินยอมรับการเสมอกันหรือ
หรือว่าการประลองครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุดลง
ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองมายังตนหลายต่อหลายคู่ เพราะว่าพวกเขากำลังหลับตา
แส้วิรุณโปรยกับกระบี่ยาว เจอกันในความมืดยามราตรี หลังจากนั้นก็ไม่ได้แยกจากกัน
พวกเขาหลับตาแน่น อาศัยแรงสั่นสะเทือนในฝ่ามือที่ส่งกลับมา รับรู้ถึงจิตใจที่แน่วแน่และความคิดของฝ่ายตรงข้าม
เสื้อผ้าของลั่วลั่วถูกเหงื่อทำให้เปียกชุ่ม อากาศที่หนาวเย็นของลมฤดูใบไม้ร่วงทำให้ควันสีขาวกำจายออกมา มองแล้วเหมือนกับเทพธิดาเซียนก็มิปาน
กวนเฟยไป๋ปิดตาทั้งสอง คิ้วทั้งสองราวกระบี่ ระหว่างหัวคิ้วมีเม็ดเหงื่อค่อยๆ ไหลย้อยลงมา ราวกับว่าเป็นการรบในห้วงสุดท้ายของขุนพลผู้กล้าหาญมิเป็นสองรองใคร
เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือจ้องมองการประลองในสนาม สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ทว่ามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา พวกเขาล้วนแต่ทำสิ่งที่สามารถทำได้มาหมดแล้ว ทำให้ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ไม่ได้พ่ายแพ้เมื่ออยู่ในการประลอง ตอนนี้คนที่ตัดสินการแพ้ชนะกลับมิใช่พวกเขาทั้งสอง แต่เป็นคนทั้งสองที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน
ไม่มีสัญญาณใดๆ ทั้งสิ้น ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋หลับตาในเวลาเดียวกัน
กระบี่ยาว พุ่งออกไปตามแรง!
ความมืดยามราตรีมีเส้นใยฝ้ายสีขาวปรากฏนับไม่ถ้วน ปลายแหลมคมของกระบี่เหล่านั้นฟาดฟันแยกอากาศออก!
สายตาของโก่วหานสือเป็นประกายขึ้นมา
เขารู้จัก เพลงกระบี่นี้ไม่ใช่ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน และยังมิได้เป็นของสำนักใดๆ แต่เป็นของกวนเฟยไป๋
นี่เป็นเพลงกระบี่ที่กวนเฟยไป๋คิดขึ้นมาเอง เขายังใช้ชื่อของตัวเองเป็นชื่อของมันด้วย เฟยไป๋!
เฟยไป๋เป็นการเขียนพู่กันจีนประเภทหนึ่งในศิลปะการเขียน พลังราวกับการโบยบิน (เฟย) เส้นผสมผสานติดต่อกัน ตรงกลางมีสีขาว (ไป๋) ปรากฏออกมา!
การเขียนพู่กันชนิดนี้ปลายพู่กันจะต้องแห้ง เป็นพู่กันแห้ง ต้องการความรู้สึกที่แห้ง!
กระบวนท่านี้มิใช่กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของกวนเฟยไป๋ กลับเป็นกระบวนท่าที่ตัวเขาเองเข้าใจลึกซึ้งที่สุด!
จากด้านในตำหนักจนถึงด้านนอกตำหนัก กวนเฟยไป๋ที่ทะนงตนไม่เป็นสองรองใครมาโดยตลอด ค่ำคืนนี้ได้รับความอัปยศอดสูมากเหลือเกิน อดทนเป็นเวลายาวนานเหลือเกิน เกรงว่าการประลองกับลั่วลั่วที่ยาวนานสนามนี้ เขาอดกลั้นโทสะของตนตั้งแต่แรกเริ่มจนสิ้นสุด เขาทำตามการชี้แนะจากศิษย์พี่ในการออกเพลงกระบี่อย่างเยือกเย็นจนขนาดกล่าวได้ว่าไร้ความรู้สึก จนกระทั่งมาถึงเวลานี้…
ค่ำคืนนี้เขาอดกลั้นเป็นเวลายาวนาน
ใช่แล้ว เขายังไม่ถึงจุดสุดท้ายที่เปลวเพลิงในน้ำมันตะเกียงมอดดับลง เพราะว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสิ้นสุดยังไม่ได้ใช้พลังปราณแท้ ทว่าความโกรธแค้นและทระนงตนในจิตใจเบื้องลึกของเขา กลับถูกระยะเวลาเคี่ยวจนใกล้จะเหือดแห้งเห็นก้นหม้ออยู่แล้ว
เมื่อมาถึงเวลาช่วงสุดท้าย ใสที่สุดเขาก็สามารถปลดปล่อยพลังที่อดกลั้นทั้งหมดออกมา พลังชนิดนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงบินทะยานไปได้ และยังรู้สึกแห้งผาก!
ไม่แตะต้องพลังปราณแท้ อาศัยเพียงพลังกระบี่ที่แข็งแกร่ง เขาก็สามารถซัดคู่ต่อสู้คนใดก็ตามจนพ่ายแพ้ย่อยยับ
ชั่วพริบตาที่กวนเฟยไป๋ขยับกระบี่ ลั่วลั่วก็ขยับตามไปด้วย
นางจะใช้กระบวนท่าอย่างไรถึงจะสามารถทัดทานกระบวนท่าเฟยไป๋ได้เล่า
แส้วิรุณโปรยตึงแน่น เป็นเส้นตรงหาสิ่งใดเปรียบได้ ก็เหมือนกับกิ่งไม้ที่ถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน
นางจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของกวนเฟยไป๋ ไม่ได้มอง ไม่ได้สนใจกระบี่ของเขาแม้แต่น้อย กุมด้ามแส้ในมือแน่น มิได้ลังเลแทงออกไปข้างหน้า!
ถูกต้องแล้ว ไม่มีกระบวนท่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีพลังกระบี่และพลังเก็บสะสมใดๆ
นางกุมแส้ประหนึ่งกระบี่ แทงออกไปง่ายดายเช่นนี้
แส้วิรุณโปรยประหนึ่งกิ่งไม้ ไม่ต้องใช้กระบวนท่า มุ่งออกไปตรงๆ หลังจากนั้นพลันร่อนลง
ก็เหมือนกับแรกเริ่มที่เฉินฉางเซิงอยู่ในสำนักฝึกหลวง หยิบท่อนไม้ทิ่มแทงไปยังร่างกายของนาง
การแทงครั้งนี้ นางมิได้ใช้พลังปราณแท้เป็นแน่ กลางท้องฟ้ายามราตรีกลับมีเสียงดังในท้องฟ้าถูกเสียงเปรี้ยงปร้างตัดขาดจากกัน
สามารถจินตนาการถึงระดับความเร็วของนางมากเท่าใด
สามารถจินตนาการได้ว่า การทะลุทะลวงครั้งนี้นางฝึกฝนกี่ครั้ง
ก่อนหน้านี้ผู้คนต่างไม่เข้าใจ ลูกศิษย์พรรคกระบี่เขาหลีซานส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ด้วยเหตุนี้จึงฝึกบำเพ็ญเพียรด้วยความเพียรทุกข์ยาก มุมานะบากบั่นเหนือคนทั่วไป ทรหดอดทนไม่ธรรมดา องค์หญิงลั่วลั่วมีฐานะเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของจักรพรรดิขาว เพราะเหตุใดถึงทนทุกข์ทรมานได้มากมายเช่นนี้เล่า
เมื่ออยู่เมืองไป๋ตี้ ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าอบรมสั่งสอนนาง เป็นธรรมดาที่จะไม่ใช่เพราะการสั่งสอน
ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะกล้าอบรมสั่งสอนนาง แต่นางเชื่อฟังรู้จักคิดเช่นนี้ แล้วยังจะต้องควบคุมอีกหรือ
ในสำนักฝึกมีไม้เรียวอยู่จริงๆ แต่นอกจากใช้มาชี้แนะขับเคลื่อนพลังปราณแท้ของนาง เดิมทีก็มิได้ใช้ในทางอื่น
ลั่วลั่วฝึกฝนด้วยตนเอง
เพราะสาเหตุที่ไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ ตั้งแต่นางเริ่มเข้าใจเรื่องราว ก็มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้แข็งแกร่ง
ด้วยเหตุนี้นางจึงมุมานะบากบั่นฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง ฝึกฝนเพลงกระบี่ด้วยความทุกข์ยาก
เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือจ้องมองในลานประลอง เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด
กระบี่ที่ออกครั้งสุดท้ายของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ คล้ายกับว่าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ทว่าในความเป็นจริงยังคงเกี่ยวข้องกับพวกเขา
ในเวลาปกติพวกเขาอยู่สำนักฝึกหลวง อยู่พรรคกระบี่เขาหลีซาน สิ่งที่คอยชี้แนะลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ ล้วนจะปรากฏออกมาในกระบี่ครั้งสุดท้ายนี้
ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋มีโอกาสที่จะแสดงกระบี่ครั้งสุดท้ายออกมา ในความเป็นจริง ก็เป็นผลแห่งความทุ่มเทแรงกายแรงใจของพวกเขาด้วย
ในเมื่อไม่ยอมรับการเสมอกันในสนาม เช่นนั้นจะต้องมีผู้ชนะผู้พ่ายแพ้
แล้วผู้ใดจะเป็นผู้แพ้ผู้ชนะเล่า กระบี่จะแข็งแกร่งกว่าหรือว่าแส้จะรวดเร็วกว่า
ผู้คนที่กำลังจ้องมองในสนาม ท่าทางตึงเครียด
กระบี่ของกวนเฟยไป๋ เหมือนกับลายเส้นตวัดพู่กันที่กวัดแกว่งทะลุทะลวงในอากาศ และก็เหมือนกับมือที่ถือแส้ของเทพเซียน
แส้ของลั่วลั่ว เหมือนกิ่งไม้ที่แทงทะลุไปในอากาศ และก็เหมือนกับมือที่ถือกระบี่ของเทพเซียน
กระบี่สะบัดฟันออกไป
แส้แทงทะลุออกไป
กระบี่ร่วงหล่น
แส้ยังคงอยู่
ดวงตาของกวนเฟยไป๋ ปรากฏความเจ็บปวดรวดร้าว หลังจากนั้นพลันถูกความรู้สึกที่ยากจะคาดคิดมาแทนที่
เขาก้มนางมองหน้าอกของตนเอง เสื้อบริเวณนั้นถูกทำลายจนฉีกขาด แส้วิรุณโปรยราวกับกระบี่ฟาดฟันลงตรงนั้น โลหิตค่อยๆ ซึมออกมา
เขาเงยหน้ามองลั่วลั่ว ตกตะลึงและโกรธเคือง ปรารถนาจะถามสิ่งใด แต่กลับไม่รู้จะถามอันใด
โลหิตสดไหลรินออกจากริมฝีปากของเขา
แส้วิรุณโปรยไม่ได้มุ่งไปด้านหน้า ลั่วลั่วได้ยั้งมือไว้
เขาบาดเจ็บไม่มาก โลหิตสดๆ ที่ไหลออกมาจากริมฝีปาก ไม่ใช่เพราะว่าแส้วิรุณโปรยของลั่วลั่ว แต่เป็นเพราะความโกรธแค้นไม่ยินดีที่ล้นทะลักออกมาในพริบตา ได้ทำร้ายชีพจรของเขา
“น้อมรับ”
ลั่วลั่วเก็บแส้วิรุณโปรย ประสานมือทำความเคารพ ท่าทางสงบนิ่ง หมุนกายมุ่งไปยังเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงจ้องมองโก่วหานสือที่อยู่ตรงข้ามในความมืด ก้มตัวเล็กน้อย ประสานมือทำความเคารพ
โก่วหานสือนิ่งเงียบชั่วครู่ ประสานมือทำความเคารพตอบกลับ
เฉินฉางเซิงจ้องมองลั่วลั่ว บนใบหน้าขาวซีดเล็กน้อยพลันปรากฏรอยยิ้ม
จ้องมองเขายิ้มแย้ม ลั่วลั่วก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
การประลองครั้งนี้ ในที่สุดก็สิ้นสุดลง
ผลแพ้ชนะได้ปรากฏออกมาแล้ว
ลั่วลั่วชนะกวนเฟยไป๋ผู้อยู่อันดับที่สี่
สำนักฝึกหลวงชนะพรรคกระบี่เขาหลีซาน
ก่อนเรื่องนี้จะเกิดขึ้นผู้คนจะคาดคิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้อย่างไร
ทั่วทั้งลานประลองเงียบเชียบเป็นเป่าสาก
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมา
“ถ้าหากสามารถใช้พลังปราณแท้ เดิมทีกระบวนท่าสุดท้ายเจ้าก็ไม่สามารถแทงทะลวงได้เป็นแน่”
กวนเฟยไป๋จ้องมองภาพด้านหลังของลั่วลั่ว ใบหน้าขาวซีดเอ่ยออกมา มิได้ยอมรับอย่างยิ่ง
ลั่วลั่วชะงักฝีเท้า