เมื่อเดินไปถึงด้านหน้าของสำนัก เสียงด้านนอกถึงชัดเจนขึ้น มีคนกำลังร้องตะโกนอะไร มีคนโหวกเหวกโวยวายอะไร และยังมีคนกำลังทุบประตูสำนัก พอดีว่าเสียงที่ร้องโหวกเหวกโวยวายไม่ได้เกินไป อย่างน้อยคำพูดที่กล่าวออกมาก็มีมารยาท ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามาก่อเรื่องวุ่นวายทุบประตู…แต่ก็ขัดขวางผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านหน้าประตูสำนักไม่ได้ เสียงเหล่านั้นโหวกเหวกอยู่ด้วยกัน ยังคงน่าเกรงกลัวมิใช่น้อย
ถังซานสือลิ่วส่ายหน้ายับยั้งไม่ให้เซวียนหยวนผ้อเปิดประตูสำนัก ไม่รู้ว่าไปเสาะหาบันไดไม้มาจากไหน ยันไว้ที่กำแพงด้านข้าง บอกใบ้ให้เขาปีนขึ้นไปดู เซวียนหยวนผ้อปีนขึ้นไปตามคำพูดอย่างซื่อตรง มองไปยังด้านล่างกำแพง เห็นเพียงกลุ่มผู้คนที่ดำขลับยืนอยู่ นับไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ อดไม่ได้ที่จะตกใจจนสะดุ้งโหยง
เมื่อมองเห็นหัวคนโผล่ออกมาจากกำแพงของสำนักฝึกหลวง กลุ่มฝูงชนด้านนอกตะลึงงัน หลังจากนั้นเงียบลงอย่างรวดเร็ว มองเห็นภาพนี้ เซวียนหยวนผ้อคิดว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์ก่อนหน้านี้ถูกต้อง จ้องมองผู้คนที่อยู่ด้านหน้าพลันตะโกนออกไป “พวกเจ้ามาสมัครสอบสำนักฝึกหลวงหรือ”
ผู้คนด้านหน้าเหล่านั้นจ้องมองกันและกัน ในใจครุ่นคิดเอาที่ไหนมาพูดกันเล่า
ตอนนี้เอง ข้างกายเซวียนหยวนผ้อก็มีอีกศีรษะหนึ่งโผล่ขึ้นมา เดิมทีถังซานสือลิ่วอดรนทนความแปลกใจไม่ไหว จึงปีนไปตามขั้นบันได
มองเห็นเพียงแค่คนเหล่านั้นสวมใส่เสื้อผ้าง่ายๆ แต่ก็มิได้ด้อยราคา ทั้งยังมองแล้วเป็นผู้มีอายุ ชัดเจนว่าเป็นบุคคลระดับผู้ดูแล เมื่อได้ประโยคนี้ของเซวียนหยวนผ้อห้ามมิได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน
“พวกเราอย่าได้หลงตัวเองนัก เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้มองแล้วเหมือนนักเรียนหรือ”
เขาโมโหเบียดเซวียนหยวนผ้อไปอยู่ข้างๆ ใช้มือจับกำแพง ท่าทางเมินเฉยพลางเอ่ยกับผู้คนเหล่านั้น “พวกเจ้าจะทำอะไร”
ผู้คนเหล่านั้นเริ่มแนะนำตนเองพัลวัน แสดงเจตจำนง เวลาต่อมา คนที่เหลือเริ่มตะโกนขึ้นมาเกรียวกราว ทำให้ถังซานสือลิ่วปวดหัว ส่วนใหญ่ที่ได้ยินจะเป็นนามของสมาคมการค้า
เดิมทีผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่มาคารวะ…องค์หญิงลั่วลั่ว
หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อคืน ผู้คนเพิ่งล่วงรู้ว่าบุตรีเพียงคนเดียวของจักรพรรดิขาวพำนักอยู่ที่จิงตู เป็นธรรมดาที่ต้องมาต้อนรับ ต้องการล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ การค้าขายที่ผ่านมาบ่อยครั้งระหว่างทั้งสองเผ่าพันธุ์ ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่พบเห็นใบหน้าขององค์หญิง นั่นนับเป็นเกียรติระดับไหนกันเล่า
ถังซานสือลิ่วเข้าใจว่าเพราะเหตุใดคนเหล่านี้ถึงมีจิตใจแรงกล้าเช่นนี้ เวลาเช้าตรู่ผ่านพ้นไป ก่อนหน้านี้ก็เคยกล่าวแล้ว ความคิดเห็นของเซวียนหยวนผ้อช่างหลงตัวเองเหลือเกิน ทว่าเมื่อเขาพบว่าคนเหล่านี้มาหาองค์หญิงลั่วลั่ว ไม่ได้ใส่ใจใดๆ ต่อตนและสำนักฝึกหลวง จึงยังคงรู้สึกไม่ค่อยยินดี
“มาคารวะองค์หญิงก็ไปสวนร้อยหญ้า จะมาเอะอะโวยวายที่สำนักฝึกหลวงทำไมเล่า” ท่าทางของเขาเย็นชา
“สวนร้อยหญ้าไร้คนเฝ้าประตู กล่าวว่าองค์หญิงออกไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผู้ดูแลจวนชินอ๋องใบหน้าบึ้งตึงกล่าวขึ้นก่อน คนที่เหลือก็ตอบอย่างพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นจึงถาม องค์หญิงเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ในเมื่อไม่อยู่ที่สวนร้อยหญ้าก็จะต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่
“องค์หญิงไม่ได้อยู่สำนักฝึกหลวง”
ได้ยินประโยคของคนพวกนี้ ถังซานสือลิ่วแปลกใจ ในใจครุ่นคิดองค์หญิงไม่อยู่ที่สวนร้อยหญ้า เช่นนั้นไปแห่งใด เขายืนอยู่ขั้นบันไดหันศีรษะมองไปยังด้านในของสำนักฝึกหลวง กลับเห็นเฉินฉางเซิงยืนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ กำลังมองกำแพงทางด้านสวนร้อยหญ้าเงียบนิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เวลานี้เอง มีรถลากคันหนึ่งแล่นมาในตรอกไป่ฮวาอย่างเชื่องช้า ผู้คนที่ล้อมรอบประตูสำนักทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นหลบไปอยู่ด้านข้างทั้งสองฝั่ง
ถังซานสือลิ่วจ้องมองบุรุษวัยกลางคนในรถลาก พบว่าที่จริงคือรองเจ้าสำนักจวนราชวังหลีได้มาถึงแล้ว
รองเจ้าสำนักจวนราชวังหลี ประโยคนี้ค่อนข้างตะกุกตะกัก ทว่าตำแหน่งฐานะของเขาชัดเจนยิ่งนัก ประตูสำนักฝึกหลวงเป็นธรรมดาที่จะต้องเปิดออก
พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนทำความเคารพรองเจ้าสำนัก
รองเจ้าสำนักล้วงจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงรับจดหมายฉบับนั้นมา ในใจเสียงดังตึกตัก ทราบดีว่าก่อนหน้านี้ที่รู้สึกไม่ดี อาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้ เมื่อยกนิ้วมือถูเบาๆ พบว่าครั่งประทับตรงปากซองจดหมายยังอ่อนอยู่ ยังติดไม่แน่น จึงรู้ว่าจดหมายฉบับนี้เพิ่งเขียนได้ไม่นานนี้
ลายมือบนจดหมายงดงามอย่างยิ่ง เป็นลายมือของลั่วลั่ว
เฉินฉางเซิงถึงได้ล่วงรู้ เมื่อคืนลั่วลั่วกับคนของนางได้ย้ายไปจากสวนร้อยหญ้า ออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง ไปยังสำนักจวนราชวังหลี เขามิได้เปิดจดหมายออกอ่าน หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงแหงนหน้ามองรองเจ้าสำนัก เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
“การชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อคืนฐานะขององค์หญิงได้ถูกเปิดเผยออกมา หากยังพำนักอยู่ที่สวนร้อยหญ้าคงจะไม่สะดวก…ถึงแม้จะเป็นสำนักฝึกหลวงก็เช่นกัน”
รองเจ้าสำนักจ้องมองไปยังประตูของสำนักฝึกหลวง เอ่ยต่อ “พวกเจ้าก็เห็นภาพก่อนหน้านี้แล้ว”
“เพียงแค่ไม่เปิดประตู” เฉินฉางเซิงกล่าวออกมา
“ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัย เมื่อคืนวานข้าเพิ่งล่วงรู้ องค์หญิงเคยถูกผู้แกร่งกล้าเผ่ามารลอบสังหารที่สำนักฝึกหลวง…ตอนนี้ทั่วทั้งต้าลู่ต่างล่วงรู้ว่าองค์หญิงพำนักอยู่ที่จิงตู ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารหรือภยันตรายที่กำลังซุกซ่อนอยู่ในความมืดมิด ล้วนแต่จะประดังประเดเข้ามา”
“ทว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า คิดว่าพวกเราสำนักจวนราชวังหลีจะช่วงชิงคนของสำนักฝึกหลวงเชียวรึ”
รองเจ้าสำนักจ้องมองเขาด้วยท่าทางเมินเฉยพลางเอ่ยต่อ “ทุกอย่างจะต้องทำตามสิ่งที่เป็นประโยชน์สำคัญ พวกเราจะรับประกันความปลอดภัยขององค์หญิง องค์หญิงยังคงเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เพียงแค่พำนักอยู่ที่สำนักจวนราชวังหลีชั่วคราว เจ้ามิต้องกังวลให้มาก”
เซวียนหยวนผ้อไม่ยินยอม จึงกล่าวว่า “หรือว่าสำนักจวนราชวังหลีจะปลอดภัยกว่าสำนักฝึกหลวงรึ”
เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วตบบ่าเขาเพื่อปลอบประโลม และเป็นการห้ามปรามมิให้เขาเอ่ยสิ่งใดอีก
สำนักจวนราชวังหลีกับพระราชวังหลีอยู่ติดกัน เดิมทีก็เป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่ด้วยกัน อีกทั้งลั่วลั่วไปศึกษาที่สำนักจวนราชวังหลีคงจะเป็นคำพูดที่เอ่ยต่อใต้หล้า นางจะต้องพำนักอยู่ที่พระราชวังหลีเป็นแน่
ใต้เท้าสังฆราชพำนักอยู่ราชวังหลี ที่นั่นต้องปลอดภัยกว่าสำนักฝึกหลวงปลอดภัยว่าสวนร้อยหญ้าเป็นธรรมดา
นอกจากราชวังต้าโจว ในจิงตูก็หาสถานที่จะปลอดภัยยิ่งกว่าไม่พบ
หากกล่าวตามนี้ ลั่วลั่วออกจากสวนร้อยหญ้ากับสำนักฝึกหลวง เพื่อพำนักที่พระราชวังหลี ก็นับว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง
เดิมทีไร้หนทางโต้แย้ง
รองเจ้าสำนักของสำนักจวนราชวังหลีผู้นี้ สุดท้ายถึงจะกล่าวประโยคที่สำคัญที่สุดออกมา
“นี่เป็นความคิดเห็นของใต้เท้าสังฆราช”
รองเจ้าสำนักจากไปแล้ว เมื่อคืนลั่วลั่วกับคนของนางก็ย้ายไปแล้ว
เฉินฉางเซิงปีนป่ายอยู่บนต้นไทรใหญ่ จ้องมองไปยังสวนร้อยหญ้า เห็นเพียงแค่ทั่วทั้งผืนเงียบสงัด ภาพความคึกคักหลายเดือนก่อนหน้านี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เขาเปิดจดหมายที่ลั่วลั่วให้มา อ่านเงียบๆ หนึ่งรอบ หลังจากนั้นเงียบนิ่งเป็นเวลานาน
‘ตั้งใจเล่าเรียน’ เขาเอ่ยกับนางในใจเงียบๆ
ด้านล่างของจดหมายชื้นเล็กน้อย คงจะเป็นเมื่อลั่วลั่วเขียนจดหมายถึงตรงนี้ ท้ายที่สุดจึงสะกดกลั้นน้ำตาไม่ได้ เพราะว่านางตัดใจไม่ได้
เฉินฉางเซิงก็รู้สึกตัดใจไม่ได้ น้ำตารื้อขึ้นเล็กน้อย
เพราะเหตุใดอยู่ๆ ถึงจากไปเล่า ข้ายังมีคำถามอยากถามเจ้าอีก
เขารู้สึกว่าในจิตใจรู้สึกว่างเปล่า พลางครุ่นคิด หรือว่ามีสิ่งใดขาดหายไปหรือ
เขายืนอยู่บนต้นไทรใหญ่ จ้องมองตรอกรอบๆ สำนักฝึกหลวง พบว่าผู้คนที่ต้องการมาคารวะองค์หญิงลั่วลั่วก็จากไปแล้ว ทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวมากน้อยเพียงใด เพียงแค่นางไม่อยู่ สำนักฝึกหลวงก็ยังคงเป็นสถานที่ที่ถูกผู้คนลืมเลือน
ลั่วลั่วเป็นนักเรียนสตรีเพียงคนเดียวของสำนักฝึกหลวง ทั้งยังเป็นผู้มีภูมิหลังและมีคนคอยสนับสนุนใหญ่ที่สุด
สำนักฝึกหลวงยังคงดำรงอยู่จนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขจนถึงตอนนี้ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะนาง
ก่อนหน้านี้รองเจ้าสำนักแห่งสำนักจวนราชวังหลีบอกให้เขาว่าไม่ต้องกังวลมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไรเล่า
ความปลอดภัยของลั่วลั่วเป็นเรื่องที่เผ่ามนุษย์จะต้องให้ความสำคัญเป็นที่สุด เหตุผลนี้มีพลังอำนาจอย่างยิ่ง ทว่าหลายเดือนก่อนหน้านี้ยอดฝีมือเผ่ามารแห่งเผ่าเยียซื่อลงมือลอบสังหาร ถ้าหากเป็นเพราะว่าความปลอดภัยจริง เพราะเหตุใดตอนนั้นใต้เท้าสังฆราชถึงไม่ให้นางย้ายไปวังหลี
เพราะเหตุใดจงใจให้ลั่วลั่วย้ายออกจากสำนักฝึกหลวงหลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยสิ้นสุดลงแล้วเล่า
เพราะเหตุใดจะต้องรีบเร่ง เรื่องนี้แท้จริงแล้วแอบแฝงไปด้วยสิ่งใด เฉินฉางเซิงเข้าใจดี ถังซานสือลิ่วก็เข้าใจ คงจะมีเพียงเซวียนหยวนผ้อที่ไม่รู้สึกรู้สา ยังคงจมอยู่ในความเจ็บปวดที่มิอาจปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดองค์หญิงได้
ลั่วลั่วเป็นตราและเป็นยันต์คุ้มกันของสำนักฝึกหลวง ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นปรารถนาจะทำลายสำนักฝึกหลวง จะต้องคิดว่าทุกวิถีทางทำให้นางออกห่าง
การจากไปของนางก็คือก้าวแรกของการทำลายสำนัก
ผืนป่าของฤดูใบไม้ร่วงเต็มไปด้วยความเปียกชื้น มีสายลมจะปะทุขึ้นมา
ลมฝนที่พัดกระหน่ำจะมาแล้ว
“เจ้าได้เตรียมใจหรือยัง”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาที่อยู่ต้นไม้ใหญ่แล้วตะโกนออกไป
เฉินฉางเซิงมองไปยังตรอกของเมืองจิงตู ตะโกนตอบ “ยังเลย”
ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน ตะโกนกลับ “ในเมื่อยังไม่ได้เตรียม แล้วจะตะโกนเสียงดังทำไมเล่า โง่เง่า!”
เฉินฉางเซิงยังคงตะโกนไปยังทั่วทั้งจิงตู “ตะโกนเสียงให้ดัง ไม่แน่อาจจะมีคนได้ยิน หลังจากนั้นจะมาช่วยพวกเรา”
ถังซานสือลิ่วตะโกนตอบ “เจ้าคิดได้ดีงามเสียจริง~!”
เมืองจิงตูหลังเวลาเที่ยงวันฝนได้ตกจริงๆ ฝนฤดูใบไม้ร่วงหยดลงติ๋งๆ ไม่ได้ทำให้หนาวเย็น สิ่งก่อสร้างของสำนักฝึกหลวงล้วนแต่ถูกหยดน้ำฝนทำให้เปียกชื้น ต้นหญ้าป่าด้านข้างกำแพงมีหยดน้ำไหล คล้ายกับว่าหน้าม่อยคอตก รูปปั้นที่แตกหักราวกับว่ากำลังสะอื้นไห้ ความมีชีวิตชีวาที่เพิ่งจะฟื้นคืนไม่รู้ว่าไปแห่งใดเสียแล้ว
หลังจากฝนหยุดตก สำนักฝึกหลวงก็มีความยุ่งยากอันดับแรกเข้ามา