พลขับผู้นั้นอายุยี่สิบกว่าๆ รูปร่างหน้าตาอ่อนโยน แต่ตัวเขากลับมีความสูงส่งเฉยเมย เมื่อเขาเอ่ยประโยคนั้น สายตาจ้องมองไปยังประตูสำนักฝึกหลวงที่พังทลายลงมา ราวกับว่าเดิมทีไม่ได้มองเห็นเฉินฉางเซิงกับพวกทั้งสามคนที่เพิ่งมา คล้ายกลับว่าทะนงตนจนถึงขีดสุด
เฉินฉางเซิงและพรรคพวกทั้งสามเร่งรุดออกไป ถังซานสือลิ่วใช้มือม้วนผมเป็นมวย จ้องมองไปยังภาพด้านหน้า มิอาจนิ่งดูดาย เมื่อได้ยินพลทหารม้าผู้นั้นเอ่ยประโยคนั้นออกมา เขาหรี่สายตาลง หลังจากปรายตามอง สุดท้ายแล้วก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา หันหลังกลับเดินเข้าไปยังสำนักฝึกหลวง
เซวียนหยวนผ้อไม่ได้มองไปยังพลทหารม้าผู้นั้น มองเพียงแค่ม้าศึกที่ล้มหายใจแขม่วๆ ในน้ำขัง เขาเป็นหนุ่มน้อยเผ่ามาร อาการบาดเจ็บได้ฟื้นคืนรวดเร็วอย่างยิ่ง แม้แขนขวายังต้องการการรักษาจากเฉินฉางเซิง แต่ขาซ้ายดีขึ้นมาก ไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว จึงเดินออกไปเชื่องช้า
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ที่ประตูสำนักฝึกหลวงเพียงลำพัง จ้องมองพลทหารม้าผู้นั้น และยังมีหนุ่มน้อยที่หยิ่งทะนงตนราวกับมาจากตระกูลสูงศักดิ์
การทำลายหม้อทำลายประตูเป็นวิธีการที่รุนแรง ถ้าหากไม่มีความเกลียดชังเคียดแค้นที่ยากจะขจัดไปได้แล้ว ได้ใช้น้อยอย่างยิ่ง เขาไม่รู้จักหนุ่มน้อยผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ ทว่าคาดการณ์ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาเพราะเหตุใด เขากำหมัดทั้งสองแน่นขนัดเชื่องช้า หลังจากนั้นถึงคิดขึ้นได้ว่าลืมกระบี่สั้น วางเอาไว้ที่อาคารหลังเล็ก
เซวียนหยวนผ้อเดินไปนั่งยองๆ ด้านหน้าของม้าศึกจ้องมองม้าตัวนี้ เดิมทีคงเป็นม้าที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง แต่กลับล้มหายใจแขม่วในแอ่งน้ำ มองเห็นริมฝีปากของม้าศึกมีฟองโลหิตพุ่งออกมา ดวงตาของหนุ่มน้อยเผ่ามารค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นมา
เช้าตรู่มีฝนตกลงมาเล็กน้อยอีกครา สายฝนร่วงหล่นในน้ำ ก่อเกิดเป็นน้ำกระเซ็น แล้วกระเซ็นลงยังร่างกายของม้าศึกตัวนั้น คล้ายกับว่าหนาวเหน็บอย่างยิ่ง เซวียนหยวนผ้อก้มหน้าลง ลูบไล้ไปยังร่างกายที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บของม้าศึก ยื่นมือขวาไปจับที่ลำคอของม้า ออกแรงเล็กน้อย
มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น สายฝนตกต่อเนื่อง ม้าศึกตัวนั้นปิดตาลง ได้รับการปลดปล่อยแล้ว
เซวียนหยวนผ้อยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองไปยังหนุ่มน้อยสูงศักดิ์ที่อยู่บนหลังม้า “อยากจะทำลายประตูของสำนักพวกเรา ใช้ก้อนหินทุบ ใช้ท่อนไม้กระแทกได้ เพราะเหตุใดจะต้องให้มันลากรถม้ามาชนด้วยเล่า เพราะทำให้รู้สึกเจ้าว่าองอาจห้าวหาญรึ ไม่ นี่เป็นเพียงการกระทำที่ไร้ยางอายต่างหากเล่า”
หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นไม่ได้ใส่ใจเขา เพราะว่าหนุ่มน้อยเผ่ามารถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ทว่าก็มิใช่เป้าหมายสำคัญที่เขามาในวันนี้ เขามองเฉินฉางเซิงดังคนที่อยู่สูงมองมาที่ต่ำกว่า ท่าทางเยือกเย็นเอ่ยถาม “เจ้าก็คือเฉินฉางเซิงรึ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถาม เพราะว่ามีสายลมพัดผ่านข้างกายเขาไป
สายลมระลอกนั้นแหวกทำลายเม็ดฝนที่ลดต่ำลงมายังสำนักฝึกหลวงยามรุ่งอรุณ หมุนตัวออกไปยังคนที่ขี่ม้าสิบกว่าคนด้านนอกประตูสำนัก!
คนผู้นั้นก็คือถังซานสือลิ่ว ก่อนหน้านี้เขาก็เหมือนเฉินฉางเซิง นำกระบี่วางไว้ในอาคารหลังเล็ก เมื่อเห็นภาพที่อยู่ด้านนอกประตูสำนัก เขามิได้เอ่ยสิ่งใด พลันกลับเข้าไปในสำนักฝึกหลวง ทว่ามิใช่เพราะเกรงกลัว และก็มิใช่เพราะไปหาทัพเสริม แต่เพราะกลับไปเอากระบี่
ต้องมีกระบี่อยู่ในมือ ถึงจะสามารถสังหารศัตรูได้
ไร้วาจาใดๆ ทั้งสิ้น ถังซานสือลิ่วกุมกระบี่ถลาออกไปจากสำนักฝึกหลวง มุ่งไปยังหนุ่มน้อยผู้สูงศักดิ์และคนที่ขี่ม้าสิบกว่าคนเพื่อไปสังหารโดยมิได้หยุดชะงัก!
กระบี่เวิ่นสุ่ยหลอมรวมแสงแห่งความหนาวเหน็บและสายฝนยามรุ่งอรุณในความมืดสลัวๆ ปรากฏเป็นดวงอาทิตย์ดวงหนึ่ง ลำแสงสีแดงแผ่กระจายไปรอบๆ ทว่ามิได้อบอุ่น แต่กลับรู้สึกถึงแรงอาฆาตสังหาร!
แขวนดวงสุริยัน!
ประตูสำนักถูกทำลายอย่างจงใจ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนโกรธแค้นระดับไหนกัน
ถังซานสือลิ่วโมโหจัด เมื่อลงมือก็ใช้เพลงกระบี่เวิ่นสุ่ยทั้งสามที่มีพลังร้ายแรงที่สุด!
สายฝนท่ามกลางความมืดสลัวด้านนอกของประตูสำนัก ก่อเกิดเป็นแสงสว่างราวกับตอนเที่ยงวัน
หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย บังคับม้าให้ถอยไปข้างหลังหลายก้าวก่อนหน้านี้แล้ว
พลทหารม้าทั้งสองตอนนี้ปรากฏอยู่ด้านหน้าเขา ข้อมือหมุนพลิกหนึ่งที เหล็กเนื้อดีถูกตีด้วยความชำนาญหล่อหลอมเป็นทวนยาว พลันปรากฏอยู่ท่ามกลางสายลมสายฝน กำลังรอต้อนรับกระบี่ของถังซานสือลิ่ว
มีเพียงขุนพลเหนือที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าโจว ถึงจะคู่ควรทวนชนิดนี้
มองเห็นทวนเหล็กทะลวงออกไปกลางสายลมสายฝน ถังซานสือลิ่วทราบดีว่าคนที่ขี่ม้าสิบกว่าคนมีอาภรณ์ดีเลิศม้ายอดเยี่ยม ราวกับจอมยุทธ์พเนจรในจิงตู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพลทหารมือดีที่กลับมาจากทิศเหนือ ทว่าเขาจะสนใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร กระบี่เวิ่นสุ่ยยังคงนำแรงอาฆาตสังหารสีโลหิตหมุนตัวไปด้านหน้า
ปลายกระบี่แทงไปด้านนั้น น้ำฝนระเหยเป็นหมอกควันสีขาว!
เสียงวังวานเสียดแทงเข้ามาในหู เสียงร้ายแรงดังอยู่ท่ามกลางสายฝนยามรุ่งอรุณ!
โครม! โครม!
ทวนทั้งสองเปลี่ยนเป็นสี่ท่อน ปลิวว่อนไปด้านในของสายฝน ตกลงมาสู่พื้นดินพร้อมเพรียงกัน แตกกระเด็นในน้ำฝน แผ่นหินแยกเป็นร่องรอย กระทบเข้ากับสิ่งก่อสร้างข้างหนทางที่อยู่ด้านนอกกำแพง ทวนเหล็กมีสีแดงเลือนราง น้ำฝนร่วงหล่นบนนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ระเหยเป็นไอ!
พลทหารม้าทั้งสองร้องเสียงอู้อี้ ถูกจู่โจมจนร่วงหล่นจากหลังม้า ล้มคะมำลงกลางสายฝน หน้าอกปรากฏแผลฉีกขาดจากรอยกระบี่ มีโลหิตสดๆ ไหลทะลักออกมา!
นี่ก็คือพลังที่แท้จริงของกระบวนท่าแขวนดวงสุริยันของกระบี่เวิ่นสุ่ย!
การต่อสู้คืนก่อนกับชีเจียนด้านหน้าตำหนักเว่ยหยาง การประลองก็คือแพ้ชนะมิใช่มีชีวิตหรือเสียชีวิต อีกทั้งยังมีเฉินฉางเซิงแนะนำอยู่ข้างๆ ถังซานสือลิ่วรู้สึกว่าถูกมัดมือมัดเท้า ไม่สามารถทำสิ่งใดตามอำเภอใจ จะเหมือนกับเช้าตรู่วันนี้ได้อย่างไร ความโกรธแค้นที่อยู่ด้านในได้ปะทุออกมา สามารถนำพลังความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลปล่อยออกมาได้อย่างแท้จริง
แน่นอนว่าพลทหารม้าทั้งสองเป็นผู้แกร่งกล้าของกองทัพเหนือแห่งต้าโจว ถังซานสือลิ่วโจมตีด้วยความโกรธแค้นรุนแรง ฟาดฟันเพียงครั้งเดียวอาวุธของคู่ต่อสู้ขาดเป็นสองท่อน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามร่วงหล่นท่ามกลางสายฝน แต่ก็ต้องทุ่มเทสิ่งที่แลกเปลี่ยนออกไป ผมที่เพิ่งจะใช้มือม้วนให้เป็นมวยลวกๆ ทว่าตอนนี้เส้นผมสีดำขลับสยายลงมาประบ่า สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
เขากุมกระบี่เวิ่นสุ่ย ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน จ้องมองไปยังผู้คนเหล่านั้น ท่าทางเย่อหยิ่ง ไม่มีที่ใดได้รับบาดเจ็บ
ก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตา เขาขับพลังปราณแท้มาถึงจุดสูงสุด ในชีพจรราวกับมีหินหนืดหมุนเวียน กระบี่เวิ่นสุ่ยเพิ่งจะปรากฏพระอาทิตย์ เวลานี้สายฝนโปรยลงมายังผมสีดำ บนร่างกายของเขา และบนปลายกระบี่ ทั้งหมดทั้งมวลแปรเปลี่ยนเป็นควันสีขาว
ราวกับว่าเขายืนอยู่ท่ามกลางควันสีขาว
หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นจ้องมองถังซานสือลิ่ว คาดเดาได้ว่าเขาคือผู้ใด ค่อยๆ หรี่ตาเล็กลงจนคล้ายกับใบหลิวมิปาน สายตาเปล่งประกายเฉียบคม คำพูดที่หนาวเหน็บ เค้นออกมาจากริมฝีปากบางไร้ความรู้สึก เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมาก “ใจกล้าอย่างยิ่ง นึกไม่ถึงว่าจะกล้า…”
เขายังกล่าวไม่จบ ถังซานสือลิ่วตะโกนลั่น “ยังจะรออะไรอยู่เล่า อย่าให้เขาพูดจบ!”
เมื่อเขาเอ่ยว่ายังจะรออะไรอยู่เล่า เซวียนหยวนผ้อพลันออกมาจากกลางสายฝนพลิกมุมหนึ่งของกระดานไม้
ประตูของสำนักฝึกหลวงสร้างมาเป็นระยะเวลานานหลายปี ก่อนหน้านี้ที่สำนักการศึกษากลางได้ซ่อมแซมก็ไม่ได้เปลี่ยนแต่อย่างใด เพราะว่ายังเพียงพอที่จะใช้การได้ ประตูของสำนักฝึกหลวงพอเหมาะพอเจาะสูงเท่ากับสองคนยืน มีความหนาประมาณสองฝ่ามือ ก่อนหน้านี้ถ้าหากมิใช่เพราะว่าม้าศึกตัวนั้นนำชีวิตมาแลกเปลี่ยนลากรถม้าเข้าพุ่งชนก็ยากยิ่งที่จะถูกทำลาย
ประตูสำนักตอนนี้ชำรุดแล้ว ตอนนี้ที่เซวียนหยวนผ้อพลิกก็คือแผ่นไม้จากประตูสำนักที่แตกหัก ยังคงสูงเท่าสองคน หนาประมาณสองฝ่ามือ หากเป็นต้นไม้คงจะประหนึ่งเทือกเขาปลอมลูกหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ชำระล้างกระดูกอย่างลึกซึ้ง ก็ยากยิ่งที่จะยกแผ่นไม้ที่ชำรุดของประตูสำนักขึ้นมาได้
เซวียนหยวนผ้อมือขวาบาดเจ็บ มือซ้ายกลับสามารถออกแรงได้ อาศัยพรสวรรค์สายเลือดของเผ่ามารฝืนยกแผ่นไม้ขึ้นมา
มีพลทหารม้าจำนวนมากสังเกตเห็นการกระทำของเขา เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของหนุ่มน้อยผู้สูงศักดิ์คนนั้น พวกเขาจึงเข้าไปใกล้ทางนั้น
ตอนนี้เองถังซานสือลิ่วเอ่ยประโยคนี้จบ
เซวียนหยวนผ้อตะเบ็งเสียงโกรธแค้นขึ้นมา อาศัยมือเพียงข้างเดียวยกแผ่นประตูของสำนักที่ดุจภูเขาก้อนเล็กๆ โยนกระแทกไปยังหนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้น!
โครม! เสียงน่าหวาดกลัวดังขึ้น ดังท่ามกลางสายฝน มีฝุ่นละอองจำนวนไม่ถ้วนจางหายไปกับสายฝน
พื้นด้านหน้าของสำนักฝึกหลวงสั่นสะเทือนเล็กน้อย แอ่งน้ำฝนขังอยู่บนพื้นราวกับว่ากำลังกระโดดออกมาก็ไม่ปาน!
มีเสียงหอบแฮ่กๆ ดังขึ้นสองเสียง!
พลทหารม้าทั้งสองนายแปรเปลี่ยนเป็นเงาสีดำ ร่วงหล่นไปยังด้านลึกของสายฝนยามเช้าไกลออกไป ร่วงหล่นยังพื้นพร้อมเพรียงกัน
พวกเขายังคงกุมทวนเหล็กไว้ ทว่าทวนเหล็กโค้งงอเสียแล้ว!
หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นมองเหตุการณ์รวดเร็วอย่างยิ่ง เคลื่อนไหวไปด้านข้างหลายก้าว เขามิได้ถูกเซวียนหยวนผ้อกระแทก เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่ากลับถูกน้ำคร่ำและฝุ่นละอองสาดกระเซ็นเข้าใส่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้า รูปร่างหน้าตาที่เยือกเย็นก่อนหน้านี้ ยากที่จะรักษาอาการสูงศักดิ์สงบเสงี่ยมได้ต่อไป
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขาวซีด มือขวากำลังกุมบังเหียนสั่นเทาเล็กน้อย
มิใช่หวาดกลัว แต่เพราะโกรธแค้น
สายตาของเขาตกไปยังร่างกายของหนุ่มน้อยทั้งสามที่อยู่ด้านนอกประตูสำนักเทียนเต้า
ถังซานสือลิ่วถือกระบี่ยืนอยู่ท่ามกลางควันหมอก
เซวียนหยวนผ้อถือกระดานไม้ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ชายคาของประตูที่ชำรุด เขาไม่ได้ลงมือ แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่เปียกชื้น
เขาโกรธแค้นจริงๆ
เขาใช้ม้าศึกตัวหนึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน เพื่อพุ่งชนประตูของสำนักที่ทรุดโทรม สอดคล้องกับฐานะและนิสัยของเขายิ่งนัก รอคอยให้คนของสำนักแห่งนี้ออกมา เขาเตรียมที่จะด่าทอ สร้างบารมี หลังจากนั้นค่อยแผลงฤทธิ์
ผลสุดท้าย ไม่ต้องเอ่ยถึงการแผลงฤทธิ์ระบายโทสะ แม้แต่กล่าวให้จบประโยคเขาก็ไม่ได้กล่าว คนของเขาทั้งสี่คนก็ถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว
เขาทำลายประตูสำนักฝึกหลวง ผลสุดท้ายฝ่ายตรงข้ามแบกประตูที่ชำรุดบานนั้นไว้ ทำให้ตนรู้สึกจนมุมเช่นนี้!
อำนาจของประตูชำรุดตอนรุ่งอรุณยามฝนตก จนกระทั่งเวลานี้ได้พบกับอุปสรรคที่หนักหนา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายยิ่งนัก โมโหจัด!
ผู้คนทั่วทั้งจิงตูต่างทราบดี หากเขาโกรธโมโหขึ้นมา จะก่อให้เกิดผลที่น่าหวาดกลัวอย่างไร
เมื่อเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงแม้จะเป็นโจวทง ก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ!
เขาจ้องมองหนุ่มน้อยที่อยู่ท่ามกลางสายฝน ราวกับจ้องมองคนที่เสียชีวิตแล้ว
“เยี่ยม เยี่ยม…”
หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นี้โกรธจัดจนหัวเราะออกมา ข้างแก้มที่ขาวซีดปรากฏเป็นสีแดงก่ำขึ้น คล้ายกับว่าไม่แข็งแรงอย่างยิ่ง และยังรู้สึกน่าสะพรึงกลัว
ก่อนที่หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นจะอ้าปากกล่าวต่อ ถังซานสือลิ่วเอ่ยกับเฉินฉางเซิง “อีกเดี๋ยวถ้าหากเขาจะเอ่ยสิ่งใด ไม่ต้องให้เขาได้เอ่ยจนจบ”
เซวียนหยวนผ้อก็จ้องมองมายังเฉินฉางเซิง พวกเขาทั้งสองก่อนหน้านี้ได้ลงมือไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตาของเจ้าเด็กคนนี้
เฉินฉางเซิงจ้องมองเขา เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใด”
“ไม่ต้องให้โอกาสเขาได้แผลงฤทธิ์ ให้กระอักตายเสีย!”
“ก็เหมือนกับที่ค่ำคืนวันก่อนที่เจ้าจัดการหรือ”
“ใช่แล้ว”
“นี่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าข้าไม่ยินดี ด้วยเหตุนี้เขาก็อย่าหวังว่าจะยินดี”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองประตูของสำนักฝึกหลวงที่เปลี่ยนเป็นซากปรักหักพัง ใบหน้าไร้ความรู้สึกพลางเอ่ยออกไป
เฉินฉางเซิงจ้องมองประตูสำนักที่ชำรุดทรุดโทรม เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด พบว่าตนเองก็ไม่ยินดีอย่างยิ่ง
มาถึงตอนนี้ เสียงของหนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นดังขึ้นท่ามกลางสายฝน “เยี่ยม เยี่ยม…”
เฉินฉางเซิงตัดสินใจ เงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามกล่าวหนึ่งประโยคออกมา
เมื่อเขาเอ่ยออกไปรู้สึกลังเล ไม่เคยชินอย่างยิ่ง รู้สึกขัดแย้ง เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเอ่ยประโยคทำนองนี้ ทว่านอกจากเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้จะตัดคำพูดของฝ่ายตรงข้ามอย่างไร อีกทั้งก็เหมือนดังที่ถังซานสือลิ่วกล่าว ประตูชำรุดที่อยู่ท่ามกลางสายฝนของสำนักฝึกหลวงทำให้เขาโกรธจัด
“เยี่ยม…”
เขาจ้องมองหนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้น ตั้งใจตะโกนออกไป “…น้องสาวปู่เจ้าสิ”
ตั้งแต่จากซีหนิงมาถึงจิงตู เขาด่าทอผู้คนน้อยมาก คำหยาบน้อยมากที่จะเอ่ย ด้วยเหตุนี้เขาที่เอ่ยออกไปตอนนี้จึงไม่ชำนาญอย่างยิ่ง จนถึงขนาดรู้สึกแข็งกระด้าง ตรงกลางหยุดเว้นวรรคไปหลายต่อหลายครั้ง ก็เหมือนกับเด็กเยาว์วัยเพิ่งเริ่มหัดพูด พูดออกมาทีละคำๆ
กล่าวตามเหตุผล ฝ่ายตรงข้ามมีเวลาพอที่จะตัดบทสนทนาของเขา ทว่ามิได้ทำ
เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดสุดท้ายตนเองก็ทำได้แล้ว ถึงแม้จะคล้ายกับว่างุ่มง่ามก็ตาม
เขามองไปยังถังซานสือลิ่ว ปรารถนาจะได้รับการชื่นชม กลับพบว่ามีบรรยากาศแปลกประหลาดอยู่ในระหว่างนั้น
สายฝนยามรุ่งอรุณทั่วทั้งผืน ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวงเงียบเชียบ ฝุ่นละอองในซากปรักหักพังล้วนแต่ถูกน้ำฝนทำให้เปียกชุ่มลงสู่พื้นด้านล่าง ไม่กล้ากระจายตัวขึ้นไป