ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 89 ม่านสายฝนถูกทำลาย

กล่าว ‘คำหยาบ’ ประโยคนั้นจบไปแล้ว เฉินฉางเซิงคล้ายกับปลดปล่อยสิ่งที่หนักหน่วง กลับพบว่าบรรยากาศที่ประตูสำนักยิ่งเพิ่มความหนักอึ้ง อีกทั้งความหนักอึ้งนี้มาจากถังซานสือลิ่วและเซวียนหยวนผ้อ ท่าทางของคนทั้งสองแปลกประหลาด โดยเฉพาะเมื่อจ้องมองนัยน์ตาที่ตกตะลึงอย่างยิ่งของถังซานสือลิ่ว ราวกับมองเขาเป็นคนโง่เขลาเสียจริงๆ

หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นก็ตกตะลึงถึงขีดสุด ในใจครุ่นคิดว่าแม้ผู้คนในเมืองจิงตูมีคนกล้าด่าทอตน ทว่าผู้ใดกล้าทำให้น้องสาวปู่เสียหน้ารึ บรรดาทหารม้าเหล่านั้นไม่มีผู้ใดคิดว่าจะเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น สุดท้ายแล้วตกตะลึงจนลืมความโกรธแค้น และก็มิได้ก่นด่า ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ตกอยู่สภาวะเงียบนิ่งแปลกประหลาด

“เจ้ารู้ว่าคือผู้ใดหรือไม่” ถังซานสือลิ่วเดินไปอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม

เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “จะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า คงจะเป็นคนของตระกูลเทียนไห่”

“เจ้ารู้ว่าเขาเป็นคนของตระกูลเทียนไห่ ยังกล้าด่าอีกหรือ” ถังซานสือลิ่วถอนหายใจลมเย็นออกมา

เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “เจ้ามิใช่ว่าไม่เกรงกลัวตระกูลเทียนไห่หรอกหรือ อีกทั้งเจ้าก็เคยกล่าวไว้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และตระกูลเทียนไห่มิใช่เรื่องเดียวกัน”

ถังซานสือลิ่วตะลึงงันจ้องมองเขา มองเป็นเวลานาน มั่นใจว่าเขาไม่รู้จริงๆ

“แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร” เฉินฉางเซิงกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

ถังซานสือลิ่วตบบ่าของเขา ใช้น้ำเสียงปลอบประโลมเอ่ยว่า “ตระกูลเทียนไห่แท้จริงแล้วมิใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่น้องสาวปู่ของบุคคลนี้…ก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด เขารู้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนตระกูลเทียนไห่ แต่กลับคิดไม่ถึง ตนด่าทอคนหนึ่ง หากกล่าวให้ถูกต้อง ในชีวิตตนเป็นครั้งแรกที่ด่าคน เป็นครั้งแรกที่เอ่ยคำว่าน้องสาวปู่สามคำนี้ เป็นการด่าทอถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

ท่าทางของเขาแปลกประหลาดเล็กน้อย ราวกับว่าปรารถนาให้กาลเวลาย้อนกลับมาทันทีทันใด ทว่านั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คำพูดที่เปล่งออกไปแล้วก็หมดหนทางที่จะนำกลับมา ด้วยเหตุนี้เขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าจ้องมองน้ำฝนที่แตกกระจายอยู่ด้านข้างรองเท้า คล้ายแสร้งว่าเรื่องราวก่อนหน้ามิได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด

หนุ่มน้อยสูงศักดิ์ผู้นั้นในที่สุดจึงตื่นจากภวังค์ ใช้สายตาที่แปลกประหลาดที่สุดจ้องมองเฉินฉางเซิง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธแค้นถึงที่สุดหรือไม่ มุมปากของเขาเปื้อนด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกมากกว่าสายฝนฤดูใบไม้ร่วงลงมายามกลางวัน ตะโกนชื่นชมออกไป “เป็นหนุ่มน้อยที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

กล้าลบหลู่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในเมืองจิงตู คงจะยอดเยี่ยมแน่ๆ เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นธรรมดาที่จะง่ายต่อการสิ้นชีวิต

หนุ่มน้อยผู้สูงศักดิ์นามว่าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ท่านปู่ของเขานามว่าเทียนไห่โย่วกั๋ว บิดาของเขานามว่าเทียนไห่เฉิงอู่

เทียนไห่โย่วกั๋วเป็นพี่ใหญ่ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นน้องสาวปู่ของเขา

ตระกูลเทียนไห่รุ่นที่สามมีทั้งหมดสิบกว่าคน ที่โด่งดังที่สุดคือศิษย์พี่ศิษย์น้องจากฮูหยินใหญ่ จึงเรียกขานว่าบุตรทั้งสี่ของเทียนไห่ หนึ่งในบุตรทั้งสี่เป็นขุนนาง อีกหนึ่งเป็นขุนพล อีกหนึ่งเป็นพ่อค้า คนสุดท้าย…เที่ยวเตร็ดเตร่ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นขุนพลที่ถวายตัวรับใช้อย่างสุดชีวิต ระดับขั้นการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขาสำหรับรุ่นที่สามของตระกูลเทียนไห่นับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด เคยอยู่ในอันดับที่สิบสองของประกาศชิงอวิ๋น ขณะนี้เป็นผู้แกร่งกล้าที่มีอันดับอยู่ในประกาศเตี่ยนจิน และยังเป็นผู้แกร่งกล้าที่ได้รับคัดเลือกว่าจะเป็นผู้อยู่ในอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ในต้นปีหน้า

เมื่อคืนวานเขาเพิ่งกลับมาจากการเป็นแนวหน้าของทางทิศใต้ ล่วงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองจิงตู โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากข่าวคราวที่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ถูกจัดการ จึงรอคอยค่ำคืนนี้เงียบๆ เมื่อมั่นใจว่าองค์หญิงลั่วลั่วได้ออกจากสำนักฝึกหลวง หลังจากมุ่งไปยังสำนักจวนราชวังหลี หลังจากที่เขาตื่นนอนเรื่องแรกที่จะทำก็คือมายังสำนักฝึกหลวง

เขาทำลายประตูของสำนักฝึกหลวง อันดับต่อไปอยากจะให้สำนักฝึกหลวงปิดตัวลง วันนี้เขามาเพื่อแสดงความโมโห

มิได้คาดคิด แม้แต่ความโมโหที่ปรารถนาจะแสดงหลายต่อหลายครั้ง กลับถูกหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงยับยั้งไว้ ฝ่ายตรงข้ามออกไพ่วุ่นวายไม่เป็นไปตามลำดับ ไม่ได้เอ่ยออกมาสักประโยค ยังมิได้ล้างหน้าก็หยิบกระบี่ แบกกระดานประตูพุ่งชนไปข้างหน้า ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งสุดท้ายแล้วหนุ่มน้อยผู้นี้…อยู่ต่อหน้าเขา ก่นด่าน้องสาวปู่ของเขา

ใบหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยงดงาม สีผิวขาวผ่องอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าทำให้สตรีแห่งจิงตูและทุ่งกว้างของทิศเหนือลุ่มหลงมากน้อยเพียงใด เวลานี้สายฝนยามอรุณโปรยลงมาเล็กน้อย ร่วงกระทบบนใบหน้าของเขา คล้ายกับว่ายิ่งเพิ่มความขาว ประหนึ่งหยกขาวก็มิปาน ทว่ามีเพียงแค่คนที่สนิทสนมใกล้ชิดจริงๆ ถึงรู้ว่า นี่หมายความว่าความโกรธของเขาถึงขีดสุดแล้ว

ลั่วลั่วไปยังสำนักจวนราชวังหลี เดิมทีนี่เป็นก้าวแรกของอำนาจบางอย่างในจิงตูที่ได้จู่โจมสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิงและคนอื่นมั่นใจอย่างยิ่ง ตนจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากที่ยิ่งใหญ่ เมื่อวานยืนอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ จ้องมองสายลมสายฝนที่ปะทะเข้ามายังถนนหนทางของจิงตู พวกเขาตระเตรียมใจได้ตั้งนานแล้ว ทว่าคิดไม่ถึง สายลมสายฝนห่าแรกที่พัดผ่านมาจะร้ายแรงถึงเพียงนี้

เรื่องราวในนวนิยายเหล่านั้นบ่อยครั้งก็มิได้พัฒนาไปเสียเท่าไหร่ ในเรื่องราวเหล่านั้น เมื่อเริ่มดำเนินเรื่องมักจะเป็นขาที่ไม่สะดุดตาของสุนัข แต่หลังจากถูกพระเอกไล่ตะเพิดไป ถึงจะดึงดูดเจ้าของที่แข็งแกร่งของมัน และในเรื่องราวของพวกเขา ผู้ช่วยคนสำคัญของฝ่ายศัตรูเพียงแค่แรกเริ่มก็ปรากฏออกมาแล้ว

“ตอนที่เด่นที่สุดออกมาเร็วไปเสียหน่อย…ทว่า เช่นนี้ก็ยิ่งเร้าใจ”

ถังซานสือลิ่วถือกระบี่เวิ่นสุ่ย ยืนอยู่ด้านหน้าบันไดท่ามกลางสายฝน อยู่ๆ ก็เอ่ยกับเฉินฉางเซิงที่อยู่ข้างกายคำหนึ่ง

“วิ่ง”

เมื่อแรกเริ่มก็เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง ไม่เหมือนกับการชุมนุมไม้เลื้อยในพระราชวังคืนก่อนอย่างสิ้นเชิง เฉินฉางเซิงยังอยู่ที่สนามการประลองเพราะไม่มีความหมายใดๆ หรือว่าเขาจะยังสามารถชี้แนะได้เหมือนคืนก่อนเล่า การต่อสู้สนามนี้ไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นการนำชีวิตมาเล่น อีกทั้งจะต้องได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสเป็นแน่ แล้วกระดูกในร่างกายเฉินฉางเซิงจะรับได้อย่างไร

สำหรับความเป็นไปได้ที่จะมีชัยชนะ…ถังซานสือลิ่วสงบนิ่ง รู้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่ง ตามระดับความสามารถของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย สามารถต่อสู้ชนะพวกเขาทั้งสามได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นถึงแม้เฉินฉางเซิงจะไม่จากไป พวกเขาทั้งสามรวมกัน ก็คงไม่อาจชนะฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่มือข้างเดียว

ไม่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ไม่มีเสียงรองเท้าเหยียบย่ำน้ำฝน เขาหันกายไปมอง พบเพียงแค่เฉินฉางเซิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยเสียงต่ำ “สถานการณ์เช่นนี้ ยังจะเสแสร้งอะไรอีก เจ้าอยู่ที่นี่ก็เป็นได้เพียงแค่กล่องที่ห่อผ้า ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยพวกข้า ยังจะเป็นภาระพวกข้าเสียเปล่า”

เซวียนหยวนผ้อพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

“พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า…ข้ารู้ว่าเวลานี้การวิ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ที่จริงแล้วขามิอาจก้าวเท้าได้”

เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “อีกทั้งพวกเจ้าก็วิ่งหนีไม่ได้ เช่นนั้นก็มิได้เป็นภาระ”

ถังซานสือลิ่วไตร่ตรอง รู้ว่าหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อมเจ้าเด็กคนนี้ จึงมิได้พูดไปมากกว่านี้ ถือกระบี่เวิ่นสุ่ยเดินออกไปด้านนอกประตูสำนัก เหยียบย่ำน้ำฝนบนบันได ก่อเกิดเสียงเท้ากับน้ำสัมผัสกันดังขึ้น เขาถือกระบี่เวิ่นสุ่ยแนบอยู่ด้านข้างขาจึงตีเข้ากับขาหลายที เวลาเดียวกันจึงเกิดเสียงพั่บๆ ดังขึ้น เสียงไพเราะอย่างยิ่ง

ตามจังหวัดการตี น้ำฝนกลิ้งออกห่างจากกระบี่ราวกับไข่มุก กลิ้งลงบริเวณรอบๆ

กระบี่เวิ่นสุ่ยถูกน้ำฝนชำระล้างแวววาวราวกับเป็นกระบี่ใหม่เอี่ยม แสงอาทิตย์ที่จะปรากฏขึ้นมาในอีกชั่วครู่ จะต้องสวยวิจิตรตระการตาอย่างยิ่ง

หากถอยกลับไปข้างหลัง แน่นอนว่าเท้ามิอาจก้าวย่างได้ ทว่ามุ่งไปข้างหน้า ย่างก้าวนั้นช่างเบาสบายอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงเดินตามถังซานสือลิ่วออกไปยังประตูของสำนักฝึกหลวง

เซวียนหยวนผ้อปรายตามองแผ่นกระดานประตูที่อยู่ในอ้อมกอดของตน คิดใคร่ครวญ ไม่ได้วางลง แต่แบกออกไปด้วย

ด้านหน้าของสำนักฝึกหลวง พลทหารม้าสิบกว่านายที่กลับมาจากทิศเหนือเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว

คนหนุ่มทั้งสามมิได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย

“โจมตีพวกเขา”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยออกไป มือขวาถือเชือกบังเหียนเบาๆ

หากต้องการสยบนักเรียนทั้งสามของสำนักฝึกหลวงให้พ่ายแพ้ ลำพังเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว

แต่เขาทราบดีว่าเวลายามรุ่งอรุณตรอกด้านนอกของสำนักฝึกหลวงมีผู้คนเดินควักไขว่จำนวนมาก

ผู้คนเหล่านั้นต่างเฝ้ามองว่าตระกูลเทียนไห่จะจัดการสำนักฝึกหลวงอย่างไร

เขาปรารถนาบดขยี้เข้าไป ทำให้สำนักฝึกหลวงบดละเอียดจนราบเรียบ

เขาต้องการพิสูจน์ให้ทั่วทั้งต้าลู่ได้ล่วงรู้ อำนาจของตระกูลเทียนไห่ไม่ง่ายที่จะยั่วยุได้

สายฝนยามรุ่งอรุณอยู่ๆ พลันตกกระหน่ำรวดเร็ว เม็ดฝนใต้ฟ้าสว่างภายในชั่วพริบตาแปรเปลี่ยนเป็นโหมหนักไปมากกว่าเดิม ร่วงหล่นมายังพื้นของตรอกไป่ฮวา แตกกระเซ็นราวกับดอกสายฝนนับไม่ถ้วนก็มิปาน

ม่านสายฝนค่อยๆ หนาแน่น ปิดบังสายตาของคนจำนวนมาก

เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น หลังจากนั้นพลันดังติดต่อกันราวเสียงฟ้าร้อง เงาของขุนพลม้าสิบกว่านายราวกับหนึ่งลูกธนูที่พุ่งมายังประตูของสำนักฝึกหลวง!

ม้าศึกเหล่านั้นชัดเจนว่าเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ธรรมดา มีสายเลือดของสัตว์อสูร เพียงแค่ระยะทางกระชั้นชิด คาดไม่ถึงจะมีระดับความเร็วที่น่าเกรงกลัวเช่นนี้!

ขณะจ้องมองภาพนี้ ถังซานสือลิ่วกำลังคิดใคร่ครวญ ก่อนหน้านี้เมื่อหวนกลับไปหยิบกระบี่ ยังคงแอบดื่มชาร้อนแก้วหนึ่ง เพราะเหตุใดตอนนี้ถึงรู้สึกเหน็บหนาวเล็กน้อยเล่า

น้ำฝนร่วงหล่นบนใบหน้าของเซวียนหยวนผ้อ ทำให้หนวดเคราของหนุ่มน้อยเปียกชื้น ไหลซึมเข้าไปในปากของเขา เขาคิดในใจเพราะเหตุใดยังรู้สึกแห้งผากในลำคออยู่อีกเล่า

นั่นเป็นเพราะว่าตื่นเต้น และเป็นเพราะว่าหวาดกลัว เกรงว่าหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นที่ทระนงตน หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่องอาจกล้าหาญ แท้จริงแล้วยังมิเคยมีประสบการณ์ในความเป็นความตายจริงๆ

ทว่าท่าทางของเฉินฉางเซิงไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่น้อย หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเคยผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาแล้ว

เวลาเพียงชั่วพริบตา ในตรอกไป่ฮวาก่อเกิดลมฝนโหมกระหน่ำ เส้นฝนถูกพัดกระหน่ำวุ่นวายปั่นป่วน!

ภาพเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วยากที่จะจินตนาการได้ เพียงชั่วพริบตาพัดผ่านเฉินฉางเซิงและพวกเขาไป มุ่งไปยังเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยและพลทหารม้าสิบกว่านาย!

เสียงแตกหักน่าเกรงกลัวดังกังวานหลายเสียง ด้ามทวนยาวสิบกว่าอันหักครึ่ง พลทหารม้าสิบกว่านายร่วงหล่นลงกลางน้ำฝนพร้อมเพรียงกัน

เดิมทีไม่มีผู้ใดมองเห็นถนัดว่าแท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น

จนกระทั่งหลังจากเสียงของทวนหักครึ่งดังขึ้น น้ำที่สะสมอยู่บนแผ่นพื้นหินถึงปรากฏรอยเท้าขึ้นมา กลางม่านสายฝนเป็นชั้นๆ ถึงปรากฏช่องว่างจำนวนหนึ่งขึ้นมา!

ท่าร่างของคนผู้นั้นแท้จริงแล้วรวดเร็วถึงระดับไหนกัน

คิดไม่ถึงว่าใช้เพียงตาเปล่ายากจะมองเห็นได้ เพียงแค่เมื่อทะลุผ่านสายฝนถึงหลงเหลือร่องรอยไว้!

นัยน์ตาของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยหดตัวเล็กน้อย รู้สึกว่าเหตุการณ์อยู่ในระดับร้ายแรง

เขามิได้คาดคิด ในสำนักฝึกหลวงจะมีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ซุกซ่อนอยู่!

เขาไม่ได้ถอยหลัง เพราะว่าตนชัดเจนยิ่งนัก แม้ตนจะรวดเร็วเพียงใดก็มิอาจรวดเร็วกว่าฝ่ายตรงข้าม

เขาตะเบ็งเสียงร้องออกมา มือทั้งสองจับทวนเหล็กฟาดออกไปยังสายฝนด้านหน้ากาย!

ตำแหน่งที่ทวนเหล็กฟาดออกไป เป็นตำแหน่งว่างเปล่าด้านหน้าสุดของม่านสายฝนที่โปรยลงเต็มตรอกแห่งนี้พอดี!

พลังปราณแท้ในร่างกายของเขามีพลังมหาศาล ผนวกกับอานุภาพที่ร้ายแรงของทวน ท้ายที่สุดจึงตวัดทะลุคนที่นั่งอยู่บนม้าตรงช่องว่างสายฝนด้านหน้า!

มีน้ำฝนจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นเส้นละเอียด หมุนรอบๆ ปลายทวนไม่หยุดนิ่ง!

กลางอากาศอยู่ๆ ก็ปรากฏหมัดหนึ่ง อยู่ด้านหน้าของปลายทวนเหล็กพอดี!

เมื่อหมัดนั้นปรากฏขึ้นมา สีสันแวววาวทั้งหมดของทวนเหล็กล้วนแต่ถูกช่วงชิงไป

เส้นสายฝนละเอียดหมุนรอบปลายทวนไม่หยุดนิ่ง ทยอยกันพรั่งพรูออกมา หลังจากนั้นกระจัดกระจายและค่อยๆ หายไป

หมัดนั้นทะลุทะลวงสายฝนออกไป กระทบไปยังปลายด้ามทวน!

ทวนด้ามนี้ของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะปลายทวนเป็นช่างใหญ่ของพระราชสำนักได้หลอมด้วยตนเอง ใช้เหล็กอุกกาบาต แข็งแกร่งและทนทานเป็นพิเศษ เมื่อครั้งสู้รบที่ทุ่งกว้างของทิศเหนือ ไม่รู้ว่าฟาดนักรบเผ่ามารที่มีผิวหนังประหนึ่งเหล็กและก้อนหินเสียชีวิตไปมากเท่าไหร่แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหมัดนี้…ปลายของทวนเหล็กคาดไม่ถึงว่าจะงอเสียแล้ว!

พลังที่ยากจะจินตนาการได้สั่นสะเทือนกลับไปตามทวนเหล็ก

ง่ามมือของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมีโลหิตไหลซึมออกมา ไร้หนทางจะจับกุมตัวทวนได้ ได้ยินเพียงแค่เสียงเปรี้ยงดังขึ้น ทวนเหล็กสั่นสะเทือนรุนแรง ลดต่ำลงมา รวดเร็วมีพลังดุจลูกธนู!

ถ้าหากทวนเหล็กฟาดเข้ามาหน้าอกของเขา ถึงแม้จะไม่สิ้นชีวิต ก็คงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส!

อีกทั้งเวลานี้ กลางอากาศปรากฏมือหนึ่งออกมา

มือข้างนั้นซูบผอมอย่างยิ่ง

มือข้างนั้นร่วงหล่นบนบ่าของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset