ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 90 เร็วกว่า แข็งกว่า มีพลังกว่า

มือซูบผอมข้างนั้นเพียงชั่วพริบตาก็พาร่างกายของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยออกจากหลังม้า มุ่งไปยังส่วนลึกของตรอกไป่ฮวาอย่างรวดเร็ว ความรวดเร็วและกำลังดุจลูกธนู น้ำฝนถูกพุ่งชนพัดปลิว บนพื้นหินปรากฏร่องรอยชัดเจนรอยหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาเมื่อออกไปถึงด้านนอกสิบกว่าจั้ง จึงปรากฏร่างกายออกมา

คนผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสผอมสูงผู้หนึ่ง สวมใส่เสื้อผ้าที่ชาวบ้านสวมใส่ธรรมดา บ่าทั้งสองข้างสูงมากทีเดียว มองแล้วให้ความรู้สึกโบราณ อีกทั้งมีจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยอยู่ใต้ฝ่ามือที่ซูบผอมของเขา คล้ายกับว่าเป็นเด็กเยาว์วัยคนหนึ่ง

ช่องว่างในม่านสายฝนเหล่านั้นแตกสลายไปยังด้านหน้า สุดท้ายแล้วจึงหยุดลงด้านหน้าของม้าศึกตัวนั้น มีเงาร่างหนึ่งปรากฏออกมา จนกระทั่งถึงเวลานี้ สายฝนที่อยู่บนท้องฟ้าถึงจะโปรยตกลงมาอีกครา สายฝนที่ถูกตัดขาดจึงเริ่มเชื่อมต่อกันอีกครา ม่านสายฝนที่เป็นชั้นๆ เหล่านั้นถึงจะเริ่มแน่นขนัดอีกครา

จากภาพเหล่านี้ สามารถคำนวณได้ว่าระดับความเร็วของรูปร่างนั้นรวดเร็วเพียงใด

นั่นเป็นบุรุษวัยกลางคนธรรมดาผู้หนึ่ง เสื้อผ้าไหมบนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรูปของเหรียญกษาปณ์ทองแดง บนนิ้วมือสวมใส่แหวนทองคำหลายวง ร่างกายเต็มไปด้วยแสงแวววาวของทองคำและกลิ่นสาบของเหรียญกษาปณ์ทองแดง มองแล้วเหมือนเศรษฐีที่พบเจอบ่อยๆ ตามหมู่บ้านชนบทหรือเป็นคนที่เพิ่งจะร่ำรวย เพียงแค่มองภายนอก ใครจะคาดคิดว่าจะเป็นเจ้าของหมัดนั้น อยู่ๆ ก็ปรากฏท่ามกลางสายฝนยามรุ่งอรุณ เพียงแค่ชั่วพริบตาก็สั่นคลอนพลทหารม้าสิบกว่าคน หมัดธรรมดาหนึ่งหมัดก็ทำลายทวนเหล็กของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยได้ บีบบังคับให้ผู้อาวุโสผอมสูงผู้นั้นแสดงตนออกมา

เขาก็คือเสนาธิการจินแห่งสวนร้อยหญ้า ค่ำคืนก่อนเพิ่งแสดงฐานะของตนในวังเว่ยยาง…จินอวี้ลวี่

ผู้อาวุโสผอมสูงผู้นั้นจ้องมองจินอวี้ลวี่ คิ้วสีขาวยกสูงขึ้นเล็กน้อย เม็ดฝนที่ติดอยู่ได้ร่วงหล่นลงมาแตกกระจาย ราวกับว่าแน่นหนายิ่งนัก ริมฝีปากเผยอออกคล้ายกับว่าจะเอ่ยสิ่งใด

จินอวี้ลวี่ปรากฏตัวออกมา ถังซานสือลิ่วมั่นใจว่าวันนี้สำนักฝึกหลวงจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ขณะกำลังปีติยินดี พลันเห็นผู้อาวุโสผอมสูงผู้นั้นเตรียมจะเอ่ยสิ่งใดออกมา จึงตะโกนเสียงดังออกไป “สู้กันแล้วค่อยพูด”

ประโยคนี้กล่าวกับจินอวี้ลวี่ หากกล่าวตามอายุของถังซานสือลิ่ว ตะโกนโหวกเหวกไปมาต่อบุคคลในตำนานผู้นี้ เป็นเรื่องที่ไร้มารยาทอย่างยิ่ง ทว่าจินอวี้ลวี่กลับมิได้ใส่ใจ เอ่ยว่า “กล่าวได้มีเหตุผล”

คำพูดได้ออกไป ร่างกายของจินอวี้ลวี่ก็หายไปท่ามกลางสายฝนอีกครา

น้ำขังบนแผ่นหินพลันสั่นกระเพื่อม ฝาผนังของตรอกไป่ฮวาปรากฏรอยเท้า ม่านสายฝนเป็นชั้นๆ ปรากฏช่องว่างหลายสิบแห่ง ระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา เขาก็ไปถึงด้านนอกหลายสิบจั้งแล้ว!

คนที่มองเห็นภาพนี้สั่นสะเทือนไร้คำพูด ในใจครุ่นคิดบนโลกใบนี้มีท่าร่างที่รวดเร็วเช่นนี้อยู่อีกหรือ

สายตาทั้งคู่ของผู้อาวุโสสูงผอมหรี่ลงเล็กน้อย ประหนึ่งกระบี่ที่ออกมาจากฝักก็มิปาน ท่าทางแสดงถึงความเคร่งขรึม เป็นผู้อาวุโสที่เข้าร่วมการต่อสู้ในปีนั้น เป็นธรรมดาที่เขาทราบดีว่าจินอวี้ลวี่น่าหวาดกลัวเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรวดเร็วของฝ่ายตรงข้าม ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้กระบวนท่าแข็งแกร่งที่สุดออกไป

เขายื่นหมัดของมือซูบผอมออกไป พลังปราณที่แข็งแกร่งและเหน็บหนาวปกคลุมตรอกไป่ฮวาทันทีทันใด สายฝนยามฤดูใบไม้ร่วงที่โปรยลงมาจากฟากฟ้าแปรเปลี่ยนเชื่องช้าเล็กน้อย ขณะกำลังร่วงโปรยลงมา มิคาดคิดว่าผิวภายนอกของเม็ดฝนเหล่านั้นจะรวมกันเป็นเกล็ดน้ำค้าง ร่วงหล่นมายังพื้นหินก่อเกิดเป็นเสียงดังเปาะแปะ ราวกับเม็ดไข่มุกร่วงแตกก็มิปาน!

ม่านสายฝนกลายเป็นม่านน้ำแข็ง ม่านสายฝนเป็นชั้นๆ ก็คือการป้องกัน! ร่างกายของจินอวี้ลวี่ปรากฏอยู่ด้านหน้าของผู้อาวุโสผอมสูงผู้นั้นไม่กี่จั้ง เม็ดฝนหลายสิบเม็ดที่ถูกแช่แข็งถูกเขาใช้แรงปะทะทำให้แตกกระจายออกไป บนกำแพงด้านข้างตรอกปรากฏรูสีดำที่ลึกจนยากจะวัดได้!

เวลาเดียวกันก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งออกมา มือทั้งคู่ของจินอวี้ลวี่ออกมาจากแขนเสื้อ เขาจ้องเขม็งผู้อาวุโสผอมสูงด้านหลังม่านสายฝนที่ถูกน้ำค้างแข็งปิดกั้นไว้ ตาทั้งคู่หรี่ลงเล็กน้อย นัยน์ตาก็หรี่เล็กลง แสงสีดำกำลังเปล่งความหนาวเย็นรางๆ น่ากลัวสุดขีด

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง! เป็นเสียงเสียดสีดังขึ้น ระหว่างม่านสายฝนในตรอกไป่ฮวา ไม่อาจรู้ได้ว่าปรากฏแสงวูบวาบจำนวนนับไม่ถ้วนเท่าใด เส้นแสงเหล่านั้นทำเป็นรัศมีรอบวงกลม เฉียบแหลมถึงขีดสุด ถ้าหากมีคนมองเห็นได้ชัดเจน คงจะคิดไปถึงว่าเป็นรอยขีดข่วนของสัตว์ป่า

ผู้อาวุโสผอมสูงผู้นั้นใช้พลังปราณแท้ที่ลึกซึ้งกระจายการป้องกันที่แข็งแกร่ง ม่านสายฝนถูกทำให้เกาะตัวรวมกันเป็นน้ำแข็ง แท้จริงแล้วอย่างมากที่สุดสามารถทำให้ขีดจำกัดความเร็วที่น่าหวาดกลัวของจินอวี้ลวี่ลดลง ทว่าเขาไร้หนทางที่จะทำให้ความเร็วในการยื่นมือของจินอวี้ลวี่อออกช้าลงได้ และการป้องกันจะแข็งแกร่งมีพลังอีกเพียงใดก็ไม่อาจยับยั้งการโจมตีที่เข้ามาต่อเนื่อง

เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ หยดน้ำในม่านสายฝนมีเพียงแค่ไม่กี่เม็ดที่ร่วงหล่นบนพื้น จินอวี้ลวี่มุ่งไปยังม่านสายฝนกวัดแกว่งมือหลายร้อยครั้ง แน่นอนไม่ว่าจะเป็นถังซานสือลิ่วหรือว่าเฉินฉางเซิงและพลทหารม้าที่ล้มคะมำอยู่บนน้ำฝนเหล่านั้น เดิมทีก็มองไม่เห็นภาพเหล่านี้ นี่ถึงจะเป็นผู้แกร่งกล้าอย่างแท้จริง

เสียงซ่าๆ ดังขึ้น ม่านสายฝนเป็นชั้นๆ ถูกทำลายลง น้ำฝนสั่นสะเทือนเล็กน้อย รูปร่างของจินอวี้ลวี่เลือนรางจางหายและพลันมาโผล่ด้านหน้าของผู้อาวุโสผอมสูง เมื่อออกหมัดไปด้านหน้า ผู้อาวุโสผอมสูงร้องตะโกนรุนแรงหนึ่งเสียง ฝ่ามือที่ซูบผอมทั้งคู่ประหนึ่งมีดยื่นออกไป ทัดทานด้วยความแข็งแกร่ง!

เสียงทุกข์ใจดังขึ้น พลังภายในที่โดนผลักดันออกมา สั่นสะเทือนทั่วทั้งท้องฟ้าสายฝนตกกระหน่ำ ผนังที่อยู่ด้านข้างปรากฏรอยแตกแยกจำนวนนับไม่ถ้วน เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยถูกผู้อาวุโสผอมสูงปกป้องอยู่ด้านหลัง ไม่ถูกโจมตีโดยตรง ทว่าสภาพจิตใจกลับได้รับความสั่นคลอน เปล่งเสียงอึดอัดขึ้นมา สีหน้ากลับขาวซีดยิ่งขึ้น

ผู้อาวุโสผอมสูงเป็นหนังหน้าไฟ หมัดที่น่าหวาดกลัวของจินอวี้ลวี่ล้วนแต่ถูกเขารับเอาไว้ สีหน้ายิ่งเพิ่มความขาวซีด ริมฝีปากมีโลหิตไหลซึมออกมา ขาทั้งสองสั่นเทาเล็กน้อย

สีหน้าของจินอวี้ลวี่ไร้ความรู้สึกจ้องมองเขา ไม่ได้ลงมือต่อไป อีกทั้งยังนำมือทั้งคู่สอดเข้าไปในแขนเสื้อ หันหลังกลับมุ่งไปยังสำนักฝึกหลวง

ลักษณะท่าทางการเดินของเขาและความรู้สึกที่สอดแขนเข้าไปในแขนเสื้อ มองแล้วไม่เหมือนกับเศรษฐีหรือว่าคนที่เพิ่งจะเป็นเศรษฐี แต่เหมือนกับชาวนาชราคนหนึ่ง

การต่อสู้ระหว่างผู้แกร่งกล้าครั้งนี้ดำเนินรวดเร็วอย่างยิ่ง ผลลัพธ์กลับเร็วยิ่งกว่า เร็วมากกว่าที่ผู้คนที่ชมข้างๆ ได้คาดคิดไว้ เพราะว่าจินอวี้ลวี่รวดเร็วเหลือเกิน เกือบจะทำให้ผู้คนตื่นตะลึงสะเทือนไปทั่วใต้หล้า ถึงขนาดที่ว่าระดับความรวดเร็วมากกว่าสิ่งที่เรียกว่าสัตว์ปีกเสียอีก ทั่วทั้งต้าลู่ เกรงว่าจะอยู่อันดับแรกสุด!

“ชาวนาชราเช่นเจ้าไม่ปลูกข้าวทำนาที่เนินทางทิศตะวันออก ไฉนมาอยู่ที่นี่เล่า!”

ผู้อาวุโสผอมสูงจ้องมองภาพด้านหลังที่ค้อมน้อยๆ ของจินอวี้ลวี่ ผรุสวาทเอ่ยถามออกไป

ต่อสู้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พูดคุยได้ และถึงอย่างไรก็เป็นคนที่รู้จักกันมานานหลายปี จินอวี้ลวี่ไม่ได้หันกายกลับมา มือทั้งสองยังคงสอดอยู่ในแขนเสื้อเดินมุ่งไปด้านหน้า กล่าวว่า “เฟ่ยเตี่ยน เจ้าก็มิได้เก็บกวาดหิมะอยู่ที่ทิศเหนือ ไฉนมาอยู่ที่นี่เล่า”

ได้ยินนามว่าเฟ่ยเตี่ยน ใบหน้าของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนสีเล็กน้อย ส่วนลึกด้านในของตรอกเกิดความวุ่นวายรางเลือน

อาวุโสผอมสูงผู้นั้นนามว่าเฟ่ยเตี่ยน!

เฟ่ยเตี่ยนมีลำดับอาวุโสในต้าโจวมากที่สุด และยังเป็นหนึ่งในขุนพลเทพที่มีพลังแกร่งกล้าที่สุด เป็นขุนพลเทพฝ่ายที่พักซึ่งเคยเข้าร่วมการต่อสู้กับเผ่ามารในปีนั้น มีคุณงามความดีนานัปการ ชื่อเสียงเป็นที่โจษจัณฑ์ ถึงแม้ขณะนี้ขุนพลเทพของทัพอวี้เทียนแห่งต้าโจวเซวียนสิ่งชวนจะโดดเด่นที่สุด ทว่าเมื่อพบเจอเขาก็ยังต้องทำความเคารพนอบน้อม

ผู้ใดจะคาดคิด บุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะปรากฏตัวอยู่ด้านนอกสำนักฝึกหลวงยามรุ่งอรุณโดยมิได้คาดหมาย แอบติดตามดูแลเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยอย่างลับๆ

ยิ่งไร้ผู้คนคาดคิด ผู้แกร่งกล้าระดับนี้ จะพ่ายแพ้ราบคาบให้แก่บุรุษวัยกลางคนผู้นั้น

พลทหารของต้าโจวต่างทราบดี เฟ่ยเตี่ยนฝึกบำเพ็ญเพียรเคล็ดลับวิชาเหยี่ยวเหมันต์ การเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับพลัน ทว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นคาดไม่ถึงจะรวดเร็วและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา

ผู้คนที่อยู่ในตรอกไม่รู้ฐานะของบุรุษวัยกลางคนผู้นี้ได้แต่ตกตะลึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในใจครุ่นคิดว่าคนผู้นี้แท้จริงแล้วคือใคร

เฉินฉางเซิงและคนอื่นเป็นธรรมดาที่จะไม่คิดเช่นนี้

“เรื่องราวผ่านมาแล้วหลายปี จินอวี้ลวี่ เจ้ายังอาศัยพละกำลังและความรวดเร็วกินข้าวอยู่อีกหรือ”

เฟ่ยเตี่ยนจ้องมองด้านหลังของเขาเอ่ยถากถางออกมา

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้คนที่อยู่ในตรอกถึงล่วงรู้ฐานะของจินอวี้ลวี่ ตะลึงงันไร้เสียง

หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยคืนก่อนนี้ ผู้คนจำนวนมากเพิ่งรับรู้ เดิมทีจินอวี้ลวี่ติดตามองค์หญิงลั่วลั่วพักอยู่ที่จิงตู บุรุษเผ่ามารทระนงองอาจที่จักรพรรดิไท่จงให้ความสำคัญอย่างยิ่งผู้นี้ หลังจากล่วงเลยผ่านมาหลายร้อยปี จึงกลายเป็นตำนานเล่าขานมานานแล้ว คาดไม่ถึงว่าเป็นเขา เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้นับว่ามิได้เกินความคาดหมาย

เฟ่ยเตี่ยนจะรวดเร็วเพียงใด ก็คงไม่อาจรวดเร็วกว่าเขา

ความรวดเร็วของจินอวี้ลวี่ สามารถอยู่อันดับหนึ่งในห้าของทั่วทั้งต้าลู่

เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเฟ่ยเตี่ยน จินอวี้ลวี่ยังคงไม่หันกาย พลางเอ่ย “เจ็ดร้อยปีก่อน เจ้าก็เอ่ยประโยคนี้ เจ็ดร้อยปีหลัง เจ้าก็ยังคงเอ่ยประโยคนี้….สิ่งที่เจ้าชำนาญที่สุดก็คือพละกำลังและความรวดเร็ว ทว่าทุกอย่างล้วนแต่สู้ข้าไม่ได้ เช่นนี้จะมีวิธีอันใดอีกเล่า”

บรรดาลูกหลานของตระกูลขุนนางที่มีอนาคตแท้จริงแล้วล้วนจะต้องมีผู้แกร่งกล้าคอยดูแล เพื่อรับประกันว่าเขาจะเติบใหญ่สุขสงบปลอดภัย หนุ่มน้อยที่มีพรสวรรค์ก็จะกลายเป็นผู้แกร่งกล้าอย่างแท้จริง ดังเช่นถังซานสือลิ่วจากเวิ่นสุ่ยมาถึงจิงตู รองเจ้าสำนักจ้วงรับผิดชอบในการดูแลเขา ด้วยเหตุนี้ทางครอบครัวเขาจึงมิได้ส่งคนมา เพียงแค่ครอบครัวเขาคงคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าเขาจะออกจากสำนักเทียนเต้า

สามร้อยปีมาแล้วที่เฟ่ยเตี่ยนไปมาหาสู่กับตระกูลเทียนไห่ รับผิดชอบคุ้มกันด่านยงเสวี่ยชายแดนทางทิศเหนือ ตระกูลเทียนไห่ส่งตัวเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยไปฝึกฝนอย่างหนักที่ด่านยงเสวี่ย เฟ่ยเตี่ยนมีบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบดูแล เมื่ออยู่ที่ด่านยงเสวี่ยเป็นอย่างไร หลังจากกลับมาถึงจิงตูก็ยังคงเป็นอย่างนั้น

รุ่งอรุณวันนี้เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมาสำนักฝึกหลวงเพื่อแสดงอานุภาพ เฟ่ยเตี่ยนมิได้เอ่ยสิ่งใด กลับติดตามเขามาเงียบๆ เพราะเขารู้ว่าเรื่องนี้มิได้ง่ายดายดังที่เขาคาดคิดไว้ มิหนำซ้ำ นักเรียนทั้งสามของสำนักฝึกหลวงก็มิได้ธรรมดา ท้ายที่สุดยังมีการปรากฏตัวของจินอวี้ลวี่!

“ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ตอนนี้เจ้าควรจะอยู่ที่สำนักจวนราชวังหลี”

เฟ่ยเตี่ยนรับผ้าเช็ดหน้ามาจากเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย เช็ดโลหิตที่ริมฝีปากเบาๆ

เวลานี้จินอวี้ลวี่เดินไปถึงยังประตูของสำนักฝึกหลวง รับเอาผ้าเช็ดหน้าจากเฉินฉางเซิง เช็ดเม็ดฝนที่เกาะอยู่บนใบหน้าเบาๆ หันกายกลับมา จ้องมองไปทางนั้นพลางเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดข้าจะต้องอยู่ที่สำนักจวนราชวังหลีด้วยเล่า”

“องค์หญิงลั่วลั่วพำนักอยู่ที่สำนักจวนราชวังหลี นี่เป็นความคิดเห็นของใต้เท้าสังฆราช และก็เป็นความคิดเห็นของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”

เฟ่ยเตี่ยนห่างจากม่านสายฝนหลายสิบจั้ง หรี่ดวงตาพลางกล่าวออกไป

จินอวี้ลวี่หัวเราะออกมา “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า”

เฟ่ยเตี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าก็ควรจะเข้าใจอย่างยิ่ง จักรพรรดิขาวทรงมอบองค์หญิงให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ดูแล วาจาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็เท่ากับเป็นวาจาของจักรพรรดิขาว ด้วยเหตุนี้แม้แต่องค์หญิงลั่วลั่วก็จะต้องรับฟัง เจ้าเป็นขุนนาง หรือว่าเจ้าคิดอยากจะขัดความประสงค์ของจักรพรรดิขาวอย่างนั้นหรือ”

“ความประสงค์ของจักรพรรดิขาว…หลายร้อยปีก่อนข้าก็ไม่ฟังมานานแล้ว ข้าจำได้ว่าเจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย หรือว่าจะลืมเสียแล้ว”

จินอวี้ลวี่หุบรอยยิ้มลงฉับพลัน ใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวว่า “จากวันที่ฝ่าบาทออกคำสั่งวุ่นวายครานั้น ข้าก็มิใช่ขุนนาง วาจาของฝ่าบาทก็มิได้มีผลใดๆ สำหรับข้า ฝ่าบาทปรารถนาจะรับฟังวาจาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เป็นเพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้อาวุโส เพราะจักรพรรดิขาวมีคำสั่ง ข้าไม่ต้องฟังคำสั่งของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เหตุเพราะข้ามิใช่คนต้าโจว จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็มิใช่ผู้อาวุโสของข้า อีกทั้งจักรพรรดิขาวขณะนี้ก็มิอาจออกคำสั่งต่อข้าได้”

“ข้าเป็นผู้ช่วยขององค์หญิง ข้าฟังเพียงคำสั่งขององค์หญิง”

“องค์หญิงให้ข้ามาดูสำนักฝึกหลวงเสียหน่อย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมาดู”

“มีปัญหาอันใดหรือไม่”

เฟ่ยเตี่ยนจ้องมองเขา รู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาทราบดีว่าจินอวี้ลวี่กล่าวถึงคำสั่งที่ไร้เหตุผลของจักรพรรดิขาว ชี้ไปยังเรื่องที่ลูกศิษย์แห่งเขาหลีซานทำเรื่องผิดพลาดในครานั้น ปีนั้นเรื่องนี้ในกองทัพรุนแรงอย่างยิ่ง แบ่งเป็นสองกลุ่ม สั่นคลอนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ

เขาถอนหายใจ เอ่ยออกมา “เรื่องราวผ่านมาแล้วหลายร้อยปี นิสัยของเจ้ายังคงแกร่งเช่นนี้ พละกำลังก็ยังคงแข็งแรงเช่นนี้”

จินอวี้ลวี่ใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวว่า “ปีนั้นข้ารับผิดชอบเรื่องกฎระเบียบของทหาร สังหารผู้คนนับไม่ถ้วน วาจาของจักรพรรดิขาวข้ามิได้ฟัง จักรพรรดิไท่จงก็ไร้หนทางทำอันใดข้า เพราะเหตุใด เพราะว่าข้าไม่ผิด เช่นนั้นเพราะเหตุใดข้าจะไม่แข็ง เพราะเหตุใดจะไม่มีพละกำลังเล่า”

ตรอกไป่ฮวาทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ มีเพียงแค่เสียงน้ำฝนที่ร่วงหล่นบนพื้นหิน

ไม่ว่าจะเป็นสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ยังมีผู้คนจำนวนมากที่หลบซ่อนอยู่ด้านในของตรอก ต่างก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset