เวลานี้เอง เงาของคนเคลื่อนไหวเล็กน้อย รองขุนพลทหารหนุ่มผู้นั้นถือโอกาสไปยังบนกำแพง ยื่นมือเข้าไปขัดขวางเขา กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “พอประมาณก็คงจะพอแล้ว! ถ้าหากก่อเกิดถึงชีวิตคนจริงๆ เมื่อตรวจสอบแล้วผู้ใดล้วนไม่จบได้ เจ้าเด็กคนนั้นรูปร่างใหญ่โตขนาดนั้น เจ้าคิดว่าจะไม่มีผู้ใดจำได้จริงๆ หรือ”
ถังซานสือลิ่วแผ่มือออก จึงนำแผ่นหินโยนกลับไปหย่อมต้นเหมยในสำนัก กล่าวว่า “ขอบคุณแล้ว”
วันนี้ถ้าหากไม่มีรองขุนพลทหารและกองพลทหารรักษาพระราชวัง เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ให้สำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิงถูกเหยียดหยามต่อไปได้ เพียงแค่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจสบายใจอย่างเช่นตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สนใจปัญหาใดๆ หลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไป
รองขุนพลทหารหนุ่มใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวว่า “การขอบคุณนั้นไม่จำเป็น เพียงคาดหวังว่าเจ้าจะสามารถจดจำประโยคนั้นที่ตนเคยกล่าวเอาไว้”
ท่าทางของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “วันนี้ข้ากล่าวประโยคไปแล้วมากมาย”
รองขุนพลทหารตบบ่าของเขา กล่าวด้วยคำพูดที่มาจากใจจริง “ประโยคนั้นของเจ้ากล่าวถึงน้องสาวของข้า เป็นความอัปยศอดสูต่อตระกูล ถึงอย่างไรก็ต้องอธิบายเถิด”
ถังซานสือลิ่วกล่าวโดยไม่ได้ลังเล “ข้ามุ่งมั่นในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรเพื่อทะลุทะลวงลำดับขั้น ตัดสินใจก่อนอายุห้าสิบปี ไม่คิดใคร่ครวญถึงเรื่องระหว่างบุรุษสตรี”
รองขุนพลทหารได้ยินประโยคนี้สีหน้าแปรเปลี่ยน โกรธจัดกล่าวออกมา “ไปหาย่าเจ้าเถอะ เช่นนั้นน้องสาวข้าจะทำอย่างไร”
ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้มออกมา “ย่าของข้าไม่ใช่ยายของเจ้าหรือ นี่ไม่เหมาะสมกระมัง พี่ชาย”
ด้านหน้าประตูสำนักฝึกหลวงว่างเปล่าไร้ผู้คน เหลือเพียงก้อนหินเต็มพื้นและร่องรอยของโลหิตไม่มากนัก และยังมีกิ่งต้นเหมยไม่กี่กิ่ง คงจะเป็นเมื่อเฉินฉางเซิงเคลื่อนย้ายก้อนหินแล้วรีบเร่งเกินไป นำกิ่งไม้และก้อนหินส่งไปยังบนกำแพงสำนักไปพร้อมกันด้วย
เขาจ้องมองพลทหารรักษาพระราชวังทั้งขบวนเตรียมที่จะออกจากตรอก กล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ถังซานสือลิ่วกล่าวจนปัญญา “เจ้าไม่รู้หรือ น้องสาวของข้าน่ากลัวอย่างยิ่ง”
เวลานี้เอง เซวียสิ่งชวนเดินออกมาจากหอสุรา ขี่กิเลนเมฆแดง เตรียมที่จะจากไป จ้องมองท่าทางของเขา คงจะพึงพอใจต่อผลลัพธ์อย่างยิ่ง
เป็นขุนพลเทพอยู่อันดับที่สองของต้าลู่ เซวียสิ่งชวนเข้มงวดให้ความสำคัญต่อรองขุนพลทหารเช่นนี้ จะไม่รู้ฐานะความเป็นมาของเขาได้อย่างไร เป็นธรรมดาที่จะล่วงรู้ความสัมพันธ์ญาติพี่น้องระหว่างเขากับถังซานสือลิ่ว ทว่าเขายังคงให้รองขุนพลทหารหนุ่มจัดการเรื่องนี้ ลักษณะท่าทางชัดเจนอย่างยิ่ง
ผู้คนมุ่งไปตรงกลางตรอก เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าแอบหนีกลับมาเมื่อไหร่ หนุ่มน้อยทั้งสามหลังจากกล่าวขอบคุณจินอวี้ลวี่แล้ว เดินกลับมายังสำนักฝึกหลวง
เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “ท่านขุนพลเทพเซวียเพราะเหตุใดจะต้องช่วยเหลือสำนักฝึกหลวงด้วยเล่า”
ถังซานสือลิ่ว กล่าวว่า “เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านี้ มีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันทำเรื่องวุ่นวาย ถึงแม้จะมีเจ้าที่เป็นสาเหตุของแรงดึงดูดความโกรธแค้นอันแข็งแกร่งนี้ ทว่าจะต้องมีคนที่ปลุกปั่นเป็นแน่”
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถาม “เป็นผู้ใด”
ถังซานสือลิ่ว เอ่ยว่า “แล้วจะเป็นใครได้อีก”
แม้เซวียนหยวนผ้อก็ล้วนล่วงรู้ จะต้องเป็นตระกูลเทียนไห่ที่ยามรุ่งอรุณคิดวางแผนบดขยี้สำนักฝึกหลวงแต่ว่าไม่สำเร็จเป็นแน่
เฉินฉางเซิงยิ่งไม่เข้าใจ พลางเอ่ยถาม “ขุนพลเทพเซวียเป็นหนึ่งในขุนพลที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้วางใจ มิเช่นนั้นคงจะไม่สามารถควบคุมกองพลทหารรักษาพระราชวังได้”
“ครั้งก่อนก็เคยเอ่ยกับเจ้าแล้ว จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับตระกูลเทียนไห่มิใช่เรื่องเดียวกัน”
“เพราะเหตุใดเล่า”
“หากกล่าวง่ายอีกนิด นางเป็นสะใภ้ของตระกูลเฉิน ถึงแม้นางจะแซ่เทียนไห่ ทว่าบุตรชายของนางแซ่เฉิน หลานของก็แซ่เฉิน ลูกหลานพันรุ่นก็ล้วนแต่แซ่เฉิน ในเรื่องเล่าขานที่ใต้เท้าสังฆราชเคยกล่าวถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินว่ามีหลานชายไปเซ่นไหว้ที่หลุมฝังศพอาหญิง”
“แต่ในตำนานเล่าขาน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีญาติ…”
“เงียบเสีย” ถังซานสือจ้องมองฝ่ายที่อยู่ตรงหน้า พลางเอ่ยต่อ “เรื่องบางเรื่องไม่สามารถเอ่ยได้ก็ไม่ต้องเอ่ย”
เฉินฉางเซิงครุ่นคิด ไม่ได้คิดไปถึงปัญหานี้อีกต่อไป กล่าวว่า “ขอบคุณ”
เขาขอบคุณก็คือเรื่องก่อนหน้านี้
ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “ไม่เป็นไร”
นอกจากคนสองสามคนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวง ยังมีเผ่ามารที่โน้มเอียงซึ่งเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับลั่วลั่ว ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนไม่ยินยอมเห็นการสมรสระหว่างสวีโหย่วหรงกับเฉินฉางเซิง มีขุนนางจำนวนมากที่แสดงความทุกข์ใจและคัดค้านต่อเรื่องนี้ ความคิดเห็นของพวกเขามิได้มาจากปัจจัยการอิจฉาริษยาโกรธแค้นอะไร เพียงแค่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนต่อต้านกับเผ่ามาร พลังที่เกิดจากการรวมกันระหว่างทิศเหนือทิศใต้ จากจักรพรรดิไท่ซงจนถึงการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทุกวันนี้ การหล่อรวมกันของทิศเหนือทิศใต้ เผ่ามนุษย์รวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างแท้จริง ตั้งแต่แรกเริ่มถึงสุดท้ายต้าโจวสำคัญที่สุด อยู่อันดับต้นของนโยบายของอาณาจักร
การประชุมราชสำนักในวันนี้ เหตุเพราะหนังสือสมรสฉบับนั้นระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง เกิดการโต้เถียงที่ดุเดือดรุนแรง คล้ายกับว่าขุนนางของเชื้อราชวงศ์เก่า ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ปีติน่ายินดี ทว่าสำหรับการอยู่ต่อหน้าขุนนางกลุ่มใหม่เกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของอาณาจักร จึงจำใจที่จะต้องยอมพ่ายแพ้ สุดท้ายในที่ประชุมราชสำนักจึงได้มีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่า หนังสือสมรสฉบับนี้จะต้องพิจารณาตัดสินอย่างรอบคอบ
แน่นอนว่า ความคิดเห็นของพวกเขาไม่สำคัญ เพราะว่าการสมรสเป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัว เกรงว่าอำนาจของบรรดาขุนนางจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่อาจแทรกแซงได้ ทำได้เพียงแสดงความคิดเห็นเล็กน้อย เพียงเพราะตราประทับของใต้เท้าสังฆราชยังอยู่บนหนังสือสมรสฉบับนั้น จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ด้านหลังม่านไข่มุกไม่เอ่ยสิ่งใด ผู้ใดก็ล้วนแต่หมดหนทางจะตัดสินการสมรสครั้งนี้
เวลาต่อมา เรื่องราวการเกิดเหตุจลาจลที่ด้านหน้าของสำนักฝึกหลวง ระยะเวลาอันรวดเร็วก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองจิงตู มีความโกรธแค้นของอาจารย์ที่ตบโต๊ะหลายฉาด มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ใช้ให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมของเซวียสิ่งชวน จนถึงขนาดที่ว่ามีประชาชนเดินขบวนประท้วง รวมตัวกันที่ด้านหน้าของสำนักการศึกษากลาง ขอร้องให้ใต้เท้ามุขนายกยกเลิกทะเบียนนักเรียนของเฉินฉางเซิง และขับไล่เขาออกจากจิงตูเสีย
เพียงชั่วเวลาหนึ่ง สายตาของผู้คนทั่วทั้งจิงตูก็มารวมกันที่ด้านหน้าของสำนักการศึกษากลาง ผู้คนอยากรู้อย่างยิ่ง ใต้เท้ามุขนายกที่ราวกับว่านอนไม่ตื่นผู้นั้น เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่แก้ยากเช่นนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชมีจิตใจที่ยากจะคาดเดา เขาจะแก้ไขอย่างไร
ก่อเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายของผู้คนทั้งหมด ใต้เท้ามุขนายกเดิมทีมิได้สนใจอากัปกิริยาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราช มิได้เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ผู้คนได้คาดการณ์ไว้ เขาใช้วิธีป่าเถื่อนง่ายดาย ไล่กลุ่มฝูงชนด้านหน้าสำนักศึกษากลางแตกกระจัดกระจายหายไป
ใต้เท้ามุขนายกมีคำสั่งให้บรรดาองค์รักของนิกายหลวงบังคับม้าโจมตีออกไป ฝุ่นละอองตลบอบอวลอยู่ด้านหน้าสำนักการศึกษากลาง เสียงร้องทุกขเวทนาดังระงมก้องอยู่ในหู ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าใดที่กระดูกหักเลือดไหลออกมา วิ่งกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง เหมือนกับภาพที่เกิดขึ้นด้านหน้าสำนักฝึกหลวงก็มิปาน เพียงแค่มีกลิ่นคาวโลหิตน่าหวาดกลัวมากกว่าเล็กน้อย
ผู้คนที่ให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของสำนักการศึกษากลางตะลึงงันไร้คำเอื้อนเอ่ย จนกระทั่งถึงตอนนี้เพิ่งจะพบว่าใต้เท้ามุขนายกแท้จริงแล้วเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเพียงนี้ มีบางคนมองบางสิ่งบางอย่างในเรื่องราวนี้ทะลุปรุโปร่งมากกว่า มิได้เสนอขอคำแนะนำจากใต้เท้าสังฆราช กลับสามารถใช้องครักษ์ของนิกายหลวงได้มากมายเพียงนี้ ใต้เท้ามุขนายกแข็งแกร่งมากกว่าที่ผู้คนคาดคิดไว้ไปไกลโข
ตามสถิติหลังจากเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว เหตุจลาจลที่เกิดต่อเนื่องของสำนักฝึกหลวงกับสำนักการศึกษากลางทั้งสองแห่ง มีผู้เสียชีวิตสามคน ได้รับบาดเจ็บสามร้อยกว่าคน ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเจ็ดสิบกว่าคน เมื่อเห็นจำนวนการเปรียบเทียบระหว่างผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ ทำให้ตระหนักได้ว่าเหตุการณ์การครั้งนี้เป็นการจลาจลที่ดุเดือดรุนแรง ส่งผลกระทบที่ลึกซึ้งและยาวไกลหรืออาจจะกล่าวว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย
วันนั้นสายฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมา ด้วยเหตุนี้ในการบันทึกภายหลัง เรื่องราวนี้จึงถูกเรียกขานว่าเหตุจลาจลของสำนักในสายฝนฤดูใบไม้ร่วง
เบื้องหลังเหตุจลาจลของสำนักในสายฝนฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนจำนวนมากเห็นเงาวูบวาบของตระกูลเทียนไห่
ทางทิศตะวันตกของเมืองจิงตูมีที่ดินสันโดษแห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นตระกูลดั้งเดิมของเทียนไห่
มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง นั่งเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านข้างป่า จ้องมองทิศทางสำนักการศึกษากลางที่ไกลออกไป พลางกล่าวว่า “ดูเถิด มีผู้อาวุโสบางคนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้จนลงมือเสียแล้ว”
สวีซื่อจียืนอยู่ข้างกายเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด