ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – บทนำ ลงเขา

ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน

บนโลกใบนี้มักจะมีความตรงกันข้าม

ผืนแผ่นดินจงถู่อยู่ห่างจากมหาสมุทรที่อยู่ตรงกันข้ามกับมหาสมุทรต้าซี (แอตแลนติก) อันไกลโพ้น ลักษณะภูมิประเทศด้านตะวันตกค่อนข้างสูง จึงดูเหมือนว่าท้องฟ้าของที่นั่นก็สูงไปด้วย เมฆหมอกจากมหาสมุทรลอยสูง ไม่หยุดที่จะล่องลอยไปยังทิศทางนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็รวมตัวอยู่ด้วยกัน ตลอดทั้งปีมิได้กระจายออกไปไหน

ที่นี่ก็คือสุสานเมฆา

สุสานของหมู่มวลเมฆาทั้งหมดบนโลกใบนี้

ในที่ที่ลึกที่สุดของสุสานเมฆามีเทือกเขาที่โดดเดี่ยวลูกหนึ่ง ยอดเขาสูงตรงเสียดฟ้า ไม่รู้จะทะลุไปที่แห่งไหน

ตามตำนานเล่าขาน โลกของเรานี้ประกอบไปด้วยแผ่นพิภพห้าผืน ทุกๆ ผืนพิภพล้วนมีทิวทัศน์แตกต่างกันออกไป มีเพียงทวยเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์และผู้มีพลังชีวิตแกร่งกล้า ถึงจะสามารถเห็นทิวทัศน์ทั้งหมด แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดานั้น ตำนานก็คือตำนาน พวกเขามิรู้ว่าผืนพิภพที่เหลืออยู่แห่งใด มิรู้ว่าจะไปเช่นไรและมิรู้ว่าเทือกเขาโดดเดี่ยวที่อยู่ในสุสานเมฆาคือหนทางไปสู่ผืนพิภพผืนอื่น

เป็นธรรมดา ที่ยังไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นส่วนลึกสุดของทิวทัศน์ ก้อนเมฆที่เรียงตัวเป็นชั้นๆ เงียบสงบราวกับผ้าไหมสีขาวที่แผ่กระจายไปทั่วสารทิศ ประหนึ่งไม่มีจุดหมายปลายทาง เหนือขึ้นไปคือห้วงสีดำว่างเปล่าอันไม่มีที่สิ้นสุด ในนั้นมีดวงดาวนับไม่ถ้วน

ทันใดนั้น มีดวงดาวสองดวงที่เปล่งแสงสว่างสุกใสขึ้นมา สว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีนั้นมุ่งเข้าไปใกล้กับห้วงว่างเปล่าด้วยความรวดเร็ว แต่พอดวงดาวสองดวงนั้นมาอยู่ด้านหน้าของห้วงว่างเปล่าแล้ว ถึงมองเห็นได้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วดวงดาวสองดวงนี้คือดวงไฟบริสุทธิ์ของทวยเทพผู้ศักดิ์สิทธิ์

ห้วงว่างเปล่าระหว่างโลกที่แท้จริงที่ถูกตัดขาดและห้วงราตรีกระจายตัวออกคล้ายกับใยแมงมุม แต่ชั่วพริบตาก็กลับมาเป็นดังเดิม

ดวงไฟบริสุทธิ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองดวง คือการแสดงปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง โลกที่แท้จริงปรากฏออกมาจากห้วงว่างเปล่า อากาศที่เบาบางลง ถูกเผาไหม้ไม่หยุดจนเปลี่ยนรูปร่างไปต่างๆ นานา

นั่นมิใช่ดวงไฟแห่งทวยเทพ แต่เป็นเพียงดวงตาของมันเท่านั้น

เพราะว่าโลกบังเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หลวงไม่สงบสุข ลำแสงจึงมิหยุดส่องสว่าง เหนือเมฆปรากฏเงาดำดั่งเทือกเขาเส้นหนึ่ง ช่องว่างอากาศเริ่มดันตัวแปรเปลี่ยนเป็นรูปโค้ง

มังกรยักษ์ทองคำตัวหนึ่งปรากฏตัวระหว่างห้วงว่างเปล่าและชั้นเมฆ

ดวงอาทิตย์สีแดงที่อยู่ไกลออกไปดวงนั้น ถูกร่างกายอันใหญ่โตของมันบดบังจนมิด โลกที่อยู่ด้านบนของชั้นเมฆซึ่งห่างออกไปหลายหมื่นลี้มืดสลัวลงเพราะเหตุนี้ อุณหภูมิลดลงฉับพลัน น้ำค้างในก้อนเมฆเริ่มเกาะตัวเป็นผลึก สะท้อนเป็นลำแสงละเอียดนับไม่ถ้วน แปรเปลี่ยนเป็นผลึกแก้วมีแสงแปลกประหลาดระยิบระยับ สาเหตุของการเปลี่ยนสีของฟ้าดิน ก็เพราะความน่าเกรงขามนั่น

มังกรยักษ์ทองคำมองลงมายังโลกใบนี้ด้วยแววตาเฉยเมย

ทิวทัศน์เหนือก้อนเมฆ มันเคยเห็นมาแล้วหลายต่อหลายครา

มังกรยักษ์ทองคำบินอยู่บนขอบฟ้ามุ่งไปยังเทือกเขาโดดเดี่ยว เมื่อตอนใกล้จะถึง เกรงว่าร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารของมัน คงจะจมอยู่ในส่วนลึกของเมฆหมอก ยากจะมองเห็นเป็นแน่ หมอกมากมายจนไม่มีที่สิ้นสุดถูกร่างกายที่ใหญ่โตของมันทำให้แตกกระจายออกไป ขอบของเทือกเขาโดดเดี่ยวมีก้อนหินวางซ้อนกันสูงและชันอย่างยิ่ง ไม่มีพืชพรรณใดๆ แม้แต่ตะไคร้น้ำก็ไม่มี เงียบสงัดทั่วทั้งผืน ประหนึ่งสุสานก็มิปาน

มันจึงบินผ่านหมอกหนาลึกไปเช่นนี้ ผ่านค่ำคืนที่ยาวเนิ่นนาน มิรู้ว่าแท้ที่จริงบินมาไกลเท่าไหร่ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ก็ยังคงอยู่กลางหมอก ไม่พบเจอสรรพสิ่งใดๆ หวังลึกๆ ว่าขอบเทือกเขาจะมีตะไคร้น้ำปรากฏให้เห็น เมฆหมอกหนาทึบกว่าข้างบนอย่างยิ่ง บางทีสาเหตุอาจจะเป็นเพราะมันดันออกไปจึงทำให้เมฆหมอกเกาะเป็นก้อนผลึก เปลี่ยนเป็นหยดน้ำ ด้วยเหตุนี้อากาศจึงชุ่มชื่นขึ้นมา

มังกรยักษ์ทองคำมิได้ให้ความสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใด มุ่งบินไปข้างล่างต่อ

พืชพรรณในเทือกเขาโดดเดี่ยวเปลี่ยนเป็นมีมากยิ่งขึ้น เมฆหมอกก็ชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น หยดน้ำหยดลงบนเทือกเขา ค่อยๆ แปรเปลี่ยนสายน้ำสายเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน สายน้ำสายเล็กเหล่านั้นไหลรินลงระหว่างเทือกเขา ร่วงหล่นลงไปในหมอก

มังกรยักษ์ทองคำมองไปยังแม่น้ำระหว่างเทือกเขาโดดเดี่ยวที่ไหลรินไม่ขาดสาย แววตาเปลี่ยนเป็นจริงจังและหนักแน่นยิ่งขึ้น ดวงไฟเทพทั้งสองดวงนั้นก็เงียบสงบยิ่งขึ้น

นี่คือสุสานของเมฆทั้งมวล

และก็คือแหล่งกำเนิดของน้ำทั้งหมดอีกด้วย

สายน้ำไหลรินนับไม่ถ้วน ไหลลงไปจากเทือกเขาโดดเดี่ยว มันจ้องมองมองเพียงแค่สายหนึ่งในนั้น

มังกรยักษ์ทองคำอยู่กลางม่านหมอก บินลงอย่างเงียบเชียบไปยังแม่น้ำ ผ่านวันและคืนมาแล้วนับไม่ถ้วน ราวกับว่าเป็นความซ้ำซากไร้สิ้นสุดตลอดกาล ทว่า ณ เวลานี้…หมอกที่อยู่ตรงหน้าของมันได้กระจายออกไปแล้ว

ข้างหน้าของหมอก ก็คือพื้นผิวโลก

ด้านล่างของเมฆหมอกราบเรียบและเกลี้ยงเกลา ทั้งหมดนี้อาศัยเพียงการขยับขึ้นลงของเปลือกโลก ซึ่งรับประกันได้อย่างสมบูรณ์ระหว่างเมฆหมอกกับพื้นโลก มีระยะห่างห้าฟุต ช่างพอดีกับความสูงของคนหนึ่งคน ราวกับว่ามาจากการรังสรรค์ของเจ้าของ พื้นโลกกับเมฆหมอกมีช่องว่างห่างกันห้าฟุต ซึ่งทะลุไปถึงดินแดนอันไกลโพ้น ดินแดนที่ไกลออกไปมีลำแสงซ่อนเร้นอยู่ แม้จะมองไม่เห็นพระอาทิตย์ แต่พื้นผิวโลก มีลำธารไหลรินนับไม่ถ้วน

หมอกที่อยู่ด้านหน้าของศีรษะมังกรยักษ์ทองคำพลันหายไป ปรากฏพื้นดินและลำธารเล็กสายนั้น

ลำธารที่ไหลมาจากเมฆชื้นในเทือกเขาโดดเดี่ยว น้ำใสสะอาดสงบเยือกเย็น ในลำธารมีอ่างไม้ใบหนึ่งกำลังล่องลอยอยู่ ในอ่างมีผ้าป่านอยู่หลายชั้น บนผ้าป่านมีเด็กทารกอยู่หนึ่งคน

ใบหน้าของเด็กทารกมีสีคล้ำเล็กน้อย

หลับตาพริ้ม ชัดเจนว่าเพิ่งคลอดออกมา

ม่านหมอกที่อยู่เหนือลำธารประหนึ่งดอกไม้ผลิบาน กลีบดอกไม้ที่ผลิบานมีจำนวนนับไม่ถ้วน เบียดเสียด พรั่งพรู กระจัดกระจาย ส่งเสียงดังซี่ๆ ศีรษะมังกรยักษ์ทองคำมีขนาดใหญ่โตกว่าพระราชวังค่อยๆ ยื่นออกจากเมฆหมอกมายังลำธารสายเล็กด้านหน้า

ผิวน้ำกับเมฆหมอกมีระยะห่างห้าฉื่อ สำหรับมันแล้วช่างแคบอย่างยิ่ง

ร่างกายของมังกรยักษ์ทองคำซุกซ่อนอยู่ในหมอก

บางส่วนของศีรษะมังกรก็ซุกซ่อนอยู่ด้วย มันปรากฏกายอย่างน่าเกรงขาม ลึกลับ และน่าหวาดกลัว

มังกรยักษ์ทองคำจ้องมองที่ผิวน้ำอย่างเงียบๆ

อ่างไม้ยังคงลอยขยับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในสายน้ำ

กลางอ่างไม้มีสิ่งเล็กๆ สิ่งที่ถูกทอดทิ้ง สิ่งที่กำลังหลับตา คือทารกแรกเกิดที่ใบหน้ามีสีคล้ำ

หมอกค่อยๆ กระจายหายไป ทุกสิ่งกลับมาเงียบสงบดังเดิม

ทว่าเงียบสงบเพียงชั่วคราว…หมอกที่อยู่ลึกเข้าไป แม้กระทั่งที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาโดดเดี่ยว เกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน พลันเกิดเสียงแหลมเศร้าทุกข์ทรมานเหลือคณาดังขึ้น เป็นเสียงกู่ร้องและเสียงคำรามอันน่าหวาดกลัว!

เดิมคิดว่ามีแต่ความเงียบเหงาและไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในโลกนี้ แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนไปด้วยวิหคและสรรพสัตว์มากมาย เสียงกระพือปีกเต็มอยู่ในหมอกทุกหนทุกแห่ง เสียงอาชาเขาเดี่ยววิ่งสับสนอลหม่านชนต้นไม้ใหญ่อายุนับหมื่นปีหักสะบั้น จนกระทั่งมีเสียงกังวานใสของหงส์เสียงหนึ่งดังขึ้น

เส้นอัคคีไร้รูปร่างที่เป็นดั่งสัมผัสเทพสายหนึ่ง แผ่ขยายจากริมแม่น้ำไปยังขอบฟ้า ทุ่งหญ้าอันเปียกชุ่ม แปรเปลี่ยนเป็นแห้งผากอย่างยิ่งในทันใด แม้แต่วัชพืชในน้ำที่อยู่รอบๆ ยังม้วนขดตัวขึ้นมา

นัยน์ตาของมังกรยักษ์ทองคำยังคงไม่มีความรู้สึกๆ ใด สูงส่ง เย็นชา ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า

ข้างล่างเมฆหมอกมีสัตว์โลกกำลังวิ่งพลุกพล่าน แต่มันก็มิได้สนใจ ถึงแม้จะเป็นลูกหงส์ตัวนั้น มันก็มิได้สนใจ มันจ้องเขม็งไปยังลำธารเล็กสายนี้ จ้องไปยังอ่างไม้ที่อยู่บนน้ำ เทือกเขาโดดเดี่ยวมีสายธารไหลรินลงมานับไม่ถ้วน แต่มันจ้องมองเพียงแค่ลำธารสายนี้เท่านั้น ผ่านไปสามหมื่นปี มันมายังโลกนี้อีกครั้ง เพื่อจะมาดูเด็กทารกในอ่างคนนี้ จะให้ละสายตาไปได้อย่างไร

ลำแสงเส้นเล็กเส้นหนึ่งร่วงลงอย่างช้าๆ เส้นแสงรูปร่างภายนอกเป็นสีทอง ภายในคือสีขาวสะอาดศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับสามารถเปล่งแสงเองได้ ด้านหน้าปลายเส้นแสงตรงและเล็ก ท่อนหลังนั้นหนาขรุขระเล็กน้อยประหนึ่งต้นแขน ภายนอกเกลี้ยงเกลาสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงมันวาวค่อยๆ กระจ่างออกมาจากด้านใน ยิ่งเพิ่มความงดงามยิ่งขึ้น

ส่วนประกอบของเส้นแสงคล้ายกับทองและหยก ทำให้ผู้คนคิดว่าคงจะหนักเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่จริงแล้วเบามาก แกว่งไหวพร้อมกับสายลมบนผิวน้ำ คล้ายกับกำลังเต้นระบำมิปาน ปรารถนาอยากจะสัมผัสอ่างไม้เพียงเบาๆ แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวก็เอาคืนกลับมา

นั่นคือหนวดของมังกรยักษ์ทองคำ

ณ เวลานี้ ดวงไฟเทพในนัยน์ตาของมังกรยักษ์ทองคำ แปรเปลี่ยนเป็นไม่มั่นคงดั่งเดิม ความเฉยเมยถูกการไตร่ตรองเข้ามาแทนที่ คล้ายกับว่ากำลังลังเลสิ่งใดอยู่ หนวดที่ตรงทั้งสองเส้นของมังกร เหมือนนิ้วมือที่อ่อนนุ่ม ขอบอ่างไม้ที่อยู่เหนือแม่น้ำถูกสัมผัสเบาๆ คล้ายกับกำลังลูบคลำ ทว่าที่จริงแล้วยังมิได้สัมผัสใดๆ

มังกรยักษ์ทองคำตัวนี้ใช้ชีวิตข้ามผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดยากที่จะจินตนาการ ทว่าอ่างไม้ตอนนี้ ดูเหมือนเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้สำหรับมัน

ความรู้สึกสับสนในนัยน์ตายิ่งทวีเพิ่มขึ้น

มีความกระหาย มีความระวัง และมีความลังเล สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นดิ้นรน บางทีไม่เจตนา บางทีตั้งใจ แรงลมที่อยู่เหนือแม่น้ำเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในที่สุดก็เป็นครั้งแรกที่สัมผัสถูกอ่างไม้ จนกระทั่งเฉียดผ่านใบหูของทารกน้อยในอ่าง!

การสัมผัสแผ่วเบาเช่นนี้ ยิ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงกับดวงไฟเทพสองดวงในนัยน์ตาของมังกรยักษ์ทองคำ เสียงดังตูมกระจายออกไป แปรเปลี่ยนเป็นดวงดาวต่างๆ นานา ดวงดาวในมหาสมุทรผืนนั้น ความรู้สึกเย็นชาพรั่งพรูออกมามิปิดบัง หรือก็คือความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความละโมบ!

ความชื่นชมยินดี คือความประทับใจที่แสดงออกมา

คือความชื่นชมยินดีต่อชีวิต เพราะชีวิตคือความประทับใจที่แสดงออกมา

เป็นความปรารถนาดั้งเดิมที่สุดของชีวิต

มังกรยักษ์ทองคำจ้องมองยังอ่างไม้บนผิวน้ำ เปิดปาก ลมหายใจของมังกรประหนึ่งหยกแหลกละเอียดที่พ่นออกมา

ทารกในอ่างแม้ยังคงหลับตา แท้จริงแล้วคงไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดสิ่งใดขึ้น

แม่น้ำถูกเงามืดของมังกรปกคลุม

ลมหายใจของมังกรรดลงมารอบๆ อ่างไม้

ทันใดนั้น อ่างไม้และทารกในอ่าง ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นอาหารของมังกรยักษ์ทองคำ

ณ เวลานี้เอง

มีมือหนึ่งข้างร่วงลงมาด้านข้างอ่างไม้ ลากอ่างไม้ไปยังริมแม่น้ำ!

เป็นมือที่เต็มไปด้วยรอยแผล บางส่วนอ่อนแรงและเรียวเล็ก

เสียงน้ำดังซ่าๆ น้ำในแม่น้ำกระเซ็น มือนั้นกำลังลากอ่างไม้ไปยังริมแม่น้ำอย่างสุดชีวิต

เจ้าของมือนั้นคือ นักพรตเต๋าเด็กอายุสามสี่ขวบคนหนึ่ง

นักพรตเต๋าเด็กลากอ่างไม้ไปยังริมแม่น้ำ

นี่คือนักพรตเต๋าเด็กที่แปลกประหลาดคนหนึ่ง

ตาข้างหนึ่งของเขามองไม่เห็น หูขาดไปหนึ่งข้าง ก่อนหน้านี้วิ่งอย่างสุดชีวิตในแม่น้ำ มองออกว่าขาก็เป๋ไปข้างหนึ่ง มองไปยังแขนเสื้อที่สั่นปลิวสะบัด แม้แต่มือก็มีเพียงข้างเดียว

มิน่าเล่า เขาต้องเอาอ่างไม้ซ่อนหลังกาย ถึงจะสามารถชักกระบี่ออกมาได้

จ้องมองมังกรยักษ์ทองคำบนผิวน้ำ นักพรตเต๋าเด็กใบหน้าซีดขาว คงไม่ใช่ถูกความเย็นยะเยือกของแม่น้ำแช่แข็ง แต่เพราะความหวาดกลัวในใจต่างหาก

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมังกรตัวเป็นๆ เขาไม่รู้แม้กระทั่งมังกรคืออะไร เขารู้เพียงแค่ความหวาดกลัว แต่เขากลับไม่เคยหลีกหนี ทว่าหยิบเอากระบี่ไม้ที่เปราะบางออกมา บังอ่างชิดหลังกายไว้แน่นขนัด

มังกรยักษ์ทองคำจ้องมองนักพรตเต๋าเด็กด้วยอารมณ์เฉยเมย มนุษย์ธรรมดาที่มีเพียงความสามารถประหนึ่งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือผู้แกร่งกล้าเท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นถึงความโกรธแค้นและเย็นชาในนัยน์ตาลึกๆ ของมันได้

นักพรตเต๋าเด็กกำลังตะโกนร้องเรียก สีหน้าขาวซีด

ความโกรธของมังกรยักษ์ทองคำปะทุขึ้นมา ลมหายใจของมังกรแผ่คลุมแม่น้ำทั้งสองฝั่ง ความตายกำลังจะมาถึง

กระบี่ไม้ในมือของนักพรตเต๋าเด็กร่วงหล่นลงกลางแม่น้ำ เขาหันกลับนำอ่างไม้มาโอบในอ้อมกอด

เกล็ดบนตัวของมังกรยักษ์ทองคำเสียดสีกับหมอก กระเซ็นออกเป็นไฟนับไม่ถ้วน ลำธารเริ่มลุกไหม้

ณ เวลานี้ มีนักพรตเต๋าวัยกลางคนปรากฏขึ้นริมลำธาร

นักพรตเต๋าวัยกลางคนจ้องมังกรยักษ์ทองคำบนผิวน้ำ อารมณ์สงบนิ่ง

เพลิงสวรรค์ที่อยู่เหนือแม่น้ำพลันดับไป

มังกรยักษ์ทองคำจ้องมองที่นักพรตเต๋าวัยกลางคนคนนั้น ส่งเสียงคำรามคราหนึ่ง!

มังกรคำรามยาวนาน คล้ายกับจะไม่หยุดพักเสียง ช่างเป็นเสียงที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ครั้นได้ฟังก็เหมือนดนตรีที่วุ่นวายสับสน ราวกับเสียงธรรมชาติของลมพายุที่น่ากลัว ยากที่จะจินตนาการถึงอานุภาพของพลังที่ออกมา!

นักพรตเต๋าวัยกลางคนจ้องมองมังกรยักษ์ทองคำ แล้วพูดหนึ่งคำ

มันคือเสียงหนึ่งพยางค์ เปล่งเสียงแปลกประหลาดเข้าใจยาก แท้ที่จริงแล้วฟังไม่เหมือนภาษาของมนุษย์ธรรมดา ในช่วงหนึ่งคล้ายกับมีข่าวสารแฝงไว้อยู่ในที เต็มไปด้วยความดึกดำบรรพ์!

มังกรยักษ์ทองคำฟังแล้ว แต่มันไม่เห็นด้วย

ด้วยเหตุนี้หมอกบนผิวน้ำจึงเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง

ลมหายใจของมันพ่นออกไปทุกหนทุกแห่ง ป่าไม้และทุ่งหญ้าริมแม่น้ำเปียกชุ่ม ชั่วพริบตาแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งไฟที่น่าหวาดกลัว

นักพรตเต๋าเด็กผู้นั้นอยู่ด้านหลังแม่น้ำ แท้ที่จริงแล้วไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ก้มศีรษะลงอย่างหวาดกลัว หลับตาและกอดอ่างไม้ในอ้อมกอดแน่น

มิรู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ริมแม่น้ำก็เงียบสงบลง

นักพรตเต๋าเด็กปลุกความกล้าหาญ หันหลังกลับไปมอง ไฟที่ริมฝั่งลำธารก็มอดสนิท มีเพียงแค่ต้นไม้และก้อนหินที่แตกกระจายเพราะไฟแผดเผา ซึ่งกำลังบรรยายความน่ากลัวของการต่อสู้ก่อนหน้านั้นไว้

เมฆหมอกส่วนลึกมีเสียงคำรามของมังกรดังแว่วเข้ามา ในเสียงคำรามเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ไม่ยินยอมและผิดหวังเสียใจ มันกำลังประกาศก้องโลกทั่วผืนพิภพทั้งห้า เพราะความลังเลของตนก่อนหน้านี้ จึงนำพาความเศร้าโศกเสียใจเช่นนี้มา

นักพรตเต๋าเด็กตกใจคราหนึ่ง ใช้มือเพียงข้างเดียวโอบอุ้มอ่างไม้ ปีนป่ายอย่างกะเผลกๆ จากแม่น้ำขึ้นสู่ฝั่ง เดินไปข้างกายนักพรตเต๋าวัยกลางคน กล้าๆ กลัวๆ ที่จะมองไปยังส่วนลึกของเมฆหมอก นักพรตเต๋าวัยกลางคนยื่นมือปัดเปลวไฟที่หัวไหล่ให้ดับลง

นักพรตเต๋าเด็กคิดอะไรบางอย่างออก เกี่ยวกับความลำบากที่จะยกอ่างไม้ขึ้น

นักพรตเต๋าวัยกลางคนรับเอาอ่างไม้มา และโอบอุ้มเด็กทารกในอ่างอย่างเบามือ ปลายนิ้วมือข้างขวาแยกผ้าป่านออก ผ้าหล่นลงบนร่างกายของทารก ชั่วครู่ หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้น

“โชคชะตาของเจ้า…ช่างไม่ดีจริงๆ” เขาจ้องมองทารกที่ถูกผ้าป่านห่อไว้ กล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจ

ผืนพิภพตงถู่ทางด้านทิศตะวันออก มีเมืองเล็กๆ เรียกว่าซีหนิง ภายนอกเมืองมีแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่ง ริมแม่น้ำมีเทือกเขาลูกหนึ่ง ในเทือกเขามีวัดแห่งหนึ่ง ในวัดกลับไม่มีพระ ที่แห่งนี้มีเพียงนักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นำลูกศิษย์สองคนฝึกบำเพ็ญเพียรศึกษาสัจธรรม

เทือกเขาคือเทือกเขาสีเขียวที่ไม่มีชื่อ วัดที่มิใช่วัดทางพุทธศาสนา ศิษย์ทั้งสอง คนโตนามว่าอวี๋เหริน คนเล็กนามว่าเฉินฉางเซิง

เมืองซีหนิงตั้งอยู่ในเขตแดนแคว้นโจว เมื่อแปดร้อยปีก่อนราชวงศ์ต้าโจวบัญญัติให้ศาสนาเต๋าเป็นศาสนาประจำชาติ จนถึงปีเจิ้งถ่ง ทั่วหล้ามีศาสนาเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นคือการเลื่อมใสศรัทธา พูดตามเหตุผล อาจารย์และลูกศิษย์สามคนควรข้ามผ่านวันคืนไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม มีหยกและอาหารเพียบพร้อม แต่ช่วยมิได้ เมืองซีหนิงค่อนข้างห่างไกล วัดทรุดโทรมแห่งนั้นยิ่งไกลไปอีก วันๆ แทบไม่พบเห็นผู้คน ดังนั้นจึงใช้ชีวิตด้วยชาหยาบๆ และข้าวจืดๆ

นักพรตเต๋า ธรรมดาต้องบำเพ็ญเพียร โลกขณะนี้มีหนทางการบำเพ็ญตบะนับไม่ถ้วน นักพรตเต๋าวัยกลางคนผู้นั้นถ่ายทอดวิชาเต๋าไม่เหมือนกับสำนักอื่น ไม่สอนเกี่ยวกับการบำเพ็ญหยั่งรู้ ไม่สนใจการปฏิบัติฌานชะตาดวงดาว ไม่ใส่ใจการชุบชีวิตดวงจิตวิญญาณ เพียงแค่หนึ่งคำพูดที่ต้องจดจำ” ท่องจำ”

อวี๋เหรินเมื่อครั้นเยาว์วัยเริ่มท่องจำตำราเต๋า เฉินฉางเซิงเพิ่งจะลืมตาขึ้นก็ถูกบีบบังคับให้นอนกับตำราสีเหลืองเก่าๆ เมื่อแรกเริ่มที่เขารู้จักสิ่งของก็คือคัมภีร์เต๋าเต็มห้อง หลังจากเรียนรู้การพูด เขาก็เริ่มเรียนจำตัวอักษร หลังจากนั้นเขาเริ่มท่องจำตัวอักษรที่อยู่บนคัมภีร์เต๋า ท่องจำและศึกษาบ่อยๆ จนสามารถท่องจำได้ชำนาญคล่องแคล่ว นี่คือชีวิตของเด็กน้อยสองคนที่อยู่ในวัดทรุดโทรม

ตื่นนอนยามเช้าตรู่ พวกเขาก็ท่องหนังสือ พระอาทิตย์ดุเดือดไฟร้อนอบอ้าว พวกเขาก็ท่องหนังสือ ระฆังยามเย็นชำรุด พวกเขาก็ท่องหนังสือ ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นดอกไม้บานสะพรั่ง ฤดูร้อนเสียงฟ้าร้องสั่นสะท้าน ฤดูใบไม้ร่วงเสียงลมพัดผ่าน ฤดูหนาวหิมะเย็นยะเยือก พวกเขาอยู่บนคันนา อยู่ริมลำธาร อยู่ใต้ต้นไม้ อยู่ข้างต้นเหมย ถือคัมภีร์เต๋าไม่หยุดอ่าน ไม่หยุดท่อง ไม่รู้วันเวลาที่ค่อยๆ ผ่านไป

ในวัดทรุดโทรมมีห้องหนึ่งเต็มไปด้วยกองตำราคัมภีร์เต๋า ครานั้นอวี๋เหรินอายุเจ็ดขวบรู้สึกเบื่อหน่ายจึงลองนับดู มีทั้งหมดสามหมื่นม้วน ธรรมะมีสามพันม้วน หนึ่งม้วนมีหลายร้อยตัวอักษรหรือหลายพันตัวอักษร คัมภีร์ที่สั้นที่สุดคือคัมภีร์เทพศักดิ์สิทธิ์มีไม่เกินสามร้อยสิบสี่อักษร คัมภีร์ที่ยาวที่สุดคือคัมภีร์อมตะมีสองหมื่นอักษรพอดี นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาต้องท่องจำทั้งหมด

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองไม่หยุดท่องจำ เพียงต้องการแค่จดจำ ไม่ต้องเข้าใจ พวกเขาชัดเจนมานานแล้ว อาจารย์ไม่มีวันตอบคำถามหรือข้อสงสัยใดๆ ที่ตนถามเป็นแน่ เพียงแค่กล่าวว่า ‘จงจดจำ แล้วก็จะเข้าใจเอง’

สำหรับเด็กน้อยเยาว์วัยบนโลกที่มีต้องการในการเล่นสนุกสนาน การใช้ชีวิตเช่นนี้คงยากต่อการคาดคิดของพวกเขา เทือกเขาสีเขียวเปล่าเปลี่ยวที่น่าอยู่ น้อยนักที่จะเจอผู้คน ไม่มีสิ่งใดให้พะวักพะวนจึงทำให้มีสมาธิอย่างยิ่ง เด็กน้อยทั้งสองมีนิสัยแปลกประหลาด มิได้รู้สึกเบื่อหน่าย วันทั้งวันท่องจำอย่างนี้ วันแล้ววันเล่า จนมิรู้สึกตัวว่าผ่านมาแล้วหลายปี

วันหนึ่งวัน ในหลายปีที่ผ่านมาเสียงท่องตำรามิได้หยุดหย่อน เด็กน้อยสองคนนั่งอยู่บนก้อนหิน ไหล่ชนไหล่ ตำราหนึ่งเล่มกางอยู่บนเข่าของเด็กทั้งสอง ประเดี๋ยวอ่านหนังสือ ประเดี๋ยวจ้องมองกัน ทว่าบางคราก็รู้สึกงงงวย

ขณะนี้พวกเขาทั้งสองสามารถท่องจำจนถึงม้วนสุดท้าย แต่กลับไม่สามารถท่องต่อไปได้ เหตุเพราะว่าพวกเขาอ่านไม่เป็น อักษรบนคัมภีร์ม้วนนี้แปลก ถ้าจะพูดให้ถูกคงประหลาด อักษรส่วนหน้าและเส้นตัวอักษรก็พอรู้จัก แต่พอรวมกันแล้วกลับเป็นสิ่งแปลกประหลาด อ่านอย่างไร ความหมายคืออะไร

ทั้งสองกลับเข้าไปในวัด ตามหานักพรตเต๋าวัยกลางคน

นักพรตเต๋าวัยกลางคนเอ่ยว่า” สามพันธรรมะ พวกเจ้าศึกษาเป็นม้วนสุดท้ายแล้ว ม้วนนี้มีทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยตัวอักษร ในระหว่างนั้นได้ถ่ายทอดความลับสัจธรรมของกฎสวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมายังไม่มีคนที่สามารถเข้าใจอย่างซาบซึ้งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้า

เฉินฉางเซิงถามกลับ “อาจารย์ ท่านก็ไม่เข้าใจรึ”

นักพรตเต๋าวัยกลางคนพยักหน้าเอ่ยว่า” ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าตนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ข้าก็เช่นกัน”

ศิษย์พี่ศิษย์น้องจ้องมองกัน รู้สึกเสียใจเล็กๆ แม้เป็นแค่เด็ก แต่ท่องจำคัมภีร์ที่เก็บสะสมไว้สามพันม้วนมาจนถึงวันนี้ ขาดเพียงแค่หนึ่งม้วนที่ไม่สำเร็จ ย่อมรู้สึกไม่ยินดีเป็นธรรมดา ถึงจะมิใช่เด็กน้อยธรรมดา แต่ตอนแรกเริ่มก็เป็นเพียงเด็กน้อยโง่เขลาที่มีคัมภีร์เต๋าเป็นเพื่อน อุปนิสัยบางส่วนก็ยังใส่ซื่อ ทั้งสองเตรียมตัวหันหลังจากไป

แต่เวลานั้น นักพรตเต๋าวัยกลางคนได้เอ่ยต่อว่า” …แต่ข้าสามารถอ่านได้”

ตั้งแต่วันนั้น นักพรตเต๋าวัยกลางคนเริ่มสอนเกี่ยวกับวิธีการอ่านคัมภีร์เต๋าม้วนสุดท้ายม้วนนั้น สอนอ่านทีละตัวอักษร ออกเสียงคำเหล่านั้น คำเหล่านั้นออกเสียงแปลกประหลาดอย่างยิ่ง พยางค์เสียงเดี่ยวออกเสียงง่ายมาก แต่กลับต้องใช้กล้ามเนื้อคอหอย ส่วนเส้นเสียงก็ต้องมีความพิเศษ โดยสรุปแล้ว คนธรรมดาราวกับไม่สามารถออกเสียงได้

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายอย่างสิ้นเชิง เลียนแบบเสียงที่อาจารย์สอนอย่างตรงไปตรงมา เปรียบดังเป็ดน้อยมิปาน อวี๋เหรินบางครั้งบางคราคิดออกเกี่ยวกับเรื่องริมแม่น้ำเมื่อหลายปีก่อน อาจารย์พูดตัวอักษรเหล่านั้นกับสัตว์ที่น่ากลัวตัวนั้น

อวี๋เหรินและเฉินฉางเซิงใช้เวลานานมากถึงเรียนรู้การอ่านตัวอักษรหนึ่งพันหกร้อยตัว แต่ยังคงไม่เข้าใจความหมายเช่นเดิม ถามนักพรตเต๋าวัยกลางคนก็ไม่ได้คำตอบ พวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีเต็มกับคัมภีร์ม้วนสุดท้าย หลังจากนั้นพวกเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม กางคัมภีร์ม้วนสุดท้ายท่องจำต่อไป จนกระทั่งสามารถท่องได้

เวลานั้นพวกเขาคิดว่าชีวิตตนสามารถหลุดพ้นจากการท่องจำคัมภีร์เต๋า ทว่านักพรตเต๋าวัยกลางคนก็ให้พวกเขาอ่านเป็นครั้งที่สอง เด็กน้อยถูกบังคับให้เริ่มท่องใหม่อีกครั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะการอ่านซ้ำใหม่นี่เอง พวกเขารู้สึกลำบากกับการท่องตำรารอบนี้มากขึ้น จนกระทั่งบางทีรู้สึกลำบากจนพูดไม่ออก

เพราะเช่นนี้ พวกเขาจึงเริ่มไม่เข้าใจ ทำไมอาจารย์ต้องให้ตนทั้งสองอ่านคัมภีร์เต๋า เพราะเหตุใดไม่สอนบำเพ็ญเพียร นักพรตเต๋าควรฝึกฌาน ควรแสวงหาชีวิตอมตะถึงจะถูก

ในเวลานั้น อวี๋เหรินอายุสิบปี เฉินฉางเซิงอายุหกปี ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ มีนกกระเรียนสีขาวมาจากก้อนเมฆที่แตกกระจาย มาพร้อมกับการทักทายจากเพื่อนเก่าและจดหมายผ้าหนึ่งฉบับ บนจดหมายได้เขียนวันเกิดแปดตัวอักษรและหนังสือสมรสหนึ่งฉบับพร้อมหลักฐานยืนยัน

นักพรตเต๋าวัยกลางเคยช่วยเหลือขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่ง

จึงปรารถนาจะทำตามคำมั่นสัญญาในปีนั้น

นักพรตเต๋าวัยกลางคนมองหนังสือสมรสแต่มิเอ่ยคำใด หลังจากนั้นจ้องมองไปยังลูกศิษย์ทั้งสอง อวี๋เหรินโบกมือ ชี้ไปยังดวงตาที่ไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ ดวงนั้น ยิ้มพลางปฏิเสธ เฉินฉางเซิงอารมณ์ผิดหวังและห่อเหี่ยว ไม่เข้าใจว่ามีความหมายเป็นเช่นไร รับเอาหนังสือสมรสอย่างงุนงง ตั้งแต่นั้นมาก็มีว่าที่ภรรยาหนึ่งคน

หลายปีต่อมา นกกระเรียนตัวนั้นก็มาจากม่านเมฆาที่แตกกระจาย นำการทักทายจากจิงตูของขุนนางชั้นสูงผู้นั้นมาส่ง อีกทั้งยังฝากของขวัญเล็กๆ ที่มีความหมายให้กับเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงค่อยๆ กระจ่าง เข้าใจความหมายของการหมั้นหมายว่าเป็นเช่นไร ทุกวันตอนกลางคืน หยิบยืมแสงจากดวงดาวจ้องมองจดหมายสมรสที่วางเอนอยู่ในลิ้นอย่างเงียบๆ เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก กำลังคิดไปถึงว่าที่ภรรยาที่ได้ยินว่าอายุราวๆ กับตน มีบางส่วนที่ดีใจเงียบๆ มีบางส่วนเขินอาย และรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยวอย่างยิ่ง

อ่านบันทึกเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของตนอย่างเงียบๆ ครานั้นเฉินฉางเซิงอายุสิบปี ได้เกิดเรื่องที่แปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง เขากำลังท่องคัมภีร์ม้วนสุดท้ายหนึ่งพันหกร้อยตัวอักษรเป็นรอบที่เจ็ดสิบสอง พลันรู้สึกว่าจิตลอยออกจากร่างกาย เริ่มลอยไปในป่าของเทือกเขาสีเขียว ตั้งแต่นั้นเขาก็หลับสลบไสล ร่างกายเริ่มมีกลิ่นหอมกรุ่นกระจายออกมา

มิใช่กลิ่นหอมดอกไม้ มิใช่กลิ่นหอมใบไม้ และมิใช่กลิ่นหอมอิสตรี กล่าวว่าหอมอ่อนๆ ยามลมดึกพัดโชยกลับส่งกลิ่นยาวนาน กล่าวว่ากลิ่นหอมฉุนๆ ยามปลิวเข้าจมูกกลับมีกลิ่นเลือนราง ไม่เหมือนกลิ่นหอมที่โลกมนุษย์จะสามารถปรากฏได้ ไม่สามารถคาดเดา ช่างดึงดูดคนยิ่งนัก

ก่อนที่เฉินฉางเซิงจะเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ อวี๋เหรินสูดดมกลิ่นหอมกรุ่นนั้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

ใบไม้บดบังในเทือกเขาสีเขียวมืดครึ้มเล็กน้อย มีราชสีห์คำราม พยัคฆ์แผดเสียงก้อง มีนกกระเรียนเต้นระบำ มังกรน้ำบุกทะลวง คืนฤดูร้อนถึงจะปรากฏเสียงกบร้องประหนึ่งฟ้าผ่า เทือกเขาเขียวทางด้านทิศตะวันออกผืนนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปยังส่วนลึกของเมฆหมอก ปรากฏเงามืดขนาดใหญ่เบาบาง ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร สายตาละโมบน่ายำเกรงกำลังจ้องมองเขานับไม่ถ้วน เฉินฉางเซิงส่งกลิ่นหอมกรุ่น ดวงตาปิดสนิท ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะตื่น

อวี๋เหรินนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังพัดอย่างสุดชีวิต อยากจะให้กลิ่นหอมที่อยู่ข้างกายของเฉินฉางเซิงพัดหายไป เหตุเพราะกลิ่นหอมนั้นทำให้ริมฝีปากเขามีน้ำลาย รู้สึกแปลกและเกิดความคิดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เขาจำเป็นต้องพัดเพื่อที่จะพัดความคิดให้หายไปด้วย

นักพรตเต๋าวัยกลางคนไม่รู้ว่ามาถึงในห้องนี้เมื่อไหร่ เขายืนริมเตียง จ้องมองเฉินฉางเซิงที่กำลังหลับตาแน่นทั้งสองข้าง พูดมาประโยคหนึ่งที่มีเพียงเขาเข้าใจได้ “สาเหตุอยู่ที่ไหนล่ะ”

ผ่านไปหนึ่งคืน

แสงรุ่งอรุณสาดส่องมายังเทือกเขา กลิ่นหอมกรุ่นที่อยู่บนตัวของเฉินฉางเซิงเพียงชั่วพริบตาก็หายไป แม้สูดดมก็คงไม่ได้กลิ่นแม้แต่น้อย เขากลับเป็นเหมือนเดิม สัตว์ประหลาดต่างๆ นานาในเทือกเขาสีเขียวและยังมีเงาที่น่ากลัวหลังเมฆนั่นก็ไม่รู้ว่าเลือนหายไปยามใด

อวี๋เหรินจ้องมองศิษย์น้องที่หลับสนิท ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องตื่นตระหนก เขาถอดถอนลมหายใจ อยากจะเช็ดเหงื่อที่ไหลพลั่กบนหน้าผากทิ้ง แต่กลับพบว่าหัวไหล่ที่ขยับพัดตลอดทั้งคืน เจ็บปวดจนไม่สามารถขยับได้เสียแล้ว

เฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้น แม้จะหลับลึกตลอดทั้งคืน แต่เขาก็รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มองไปยังศิษย์พี่ที่ความรู้เจ็บปวดทรมาน หน้าแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาเอ่ยถาม “อาจารย์ อาการของข้าคืออะไร”

นักพรตเต๋าวัยกลางคนจ้องมองที่เขา หลังจากเงียบสงบมาเป็นระยะเวลานาน เอ่ยว่า “เจ้าป่วย”

ตามที่นักพรตเต๋าวัยกลางคนได้กล่าวนั้น อาการป่วยของเฉินฉางเซิงเหตุเพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด พลังลมปราณเก้าระยะในร่างกายไม่สามารถผสานกันได้ กลิ่นหอมกรุ่นเมื่อคืน ก็คือจิตวิญญาณไม่สามารถหมุนเวียนได้ จึงถูกบีบให้ระบายออกมาทางเหงื่อ น้ำที่อยู่ในเหงื่อคือจิตวิญญาณส่วนที่ดีที่สุด ซึ่งมนุษย์จะขาดมิได้ ธรรมดาแล้วจึงมีกลิ่นหอมกรุ่นชนิดหนึ่ง นี่เป็นอาการป่วยที่แปลก

“ถ้าอย่างนั้น…ท่านสามารถรักษาได้หรือไม่”

“มิได้ ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาได้”

“อาการป่วยที่ไม่สามารถรักษา…ถ้าอย่างนั้นคงจะเป็นโชคชะตา”

“ใช่แล้ว นี่คือโชคชะตาของเจ้า”

ตั้งแต่รุ่งอรุณตอนเขาอายุสิบปี หลังจากนั้นนกกระเรียนตัวนั้นก็ไม่เคยมาที่เทือกเขาอีก ขาดข่าวสารจากจิงตู หนังสือสมรสของทางนั้นคล้ายกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน บางคราเฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมลำธาร จ้องมองไปยังด้านตะวันตก แล้วคิดเรื่องนี้ขึ้นมา

แน่นอนว่าเขาต้องมีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย นี่คืออาการป่วย หรือก็คือโชคชะตา…เขายังคงอ่อนแอ นอกจากอาการอ่อนแรงง่าย มองดูร่างกายก็แข็งแรง ไม่เหมือนคนที่จะต้องตายตั้งแต่เยาว์วัย ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงสงสัยการวินิจฉัยของอาจารย์ แต่ถ้าอาจารย์วินิจฉัยถูก จะทำอย่างไร เฉินฉางเซิงตัดสินใจที่จะออกจากวัดทรุดโทรมแห่งนี้ ไปดูโลกของคนที่เจริญรุ่งเรือง ยังมีโอกาสไปดูสุสานเทียนซูในตำนานและยังต้องไปถอนการหมั้นหมายนั่นอีก

“อาจารย์ ข้าต้องไปแล้ว”

“เจ้าจะไปที่ใด”

“ไปจิงตู”

“เพราะเหตุใดรึ”

“เพราะข้าอยากมีชีวิตต่อ”

“ข้าบอกเจ้าแล้ว นั่นไม่ใช่อาการป่วย แต่คือโชคชะตา”

“ข้าอยากเปลี่ยนโชคชะตา”

“ตั้งแต่แปดร้อยปีผ่านมา มีเพียงสามคนที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาได้”

“คงจะเป็นคนที่เก่งกาจทั้งสิ้น”

“ใช่แล้ว”

“ข้ามิใช่คนที่เก่งกาจ แต่ข้าก็อยากจะลอง”

เฉินฉางเซิงจะต้องไปจิงตู ไม่ว่าจะสามารถรักษาอาการป่วยของตนได้หรือไม่ เขาจะต้องไป ไม่ใช่แค่เขาต้องเปลี่ยนโชคชะตา แต่เพราะหนังสือสมรสอีกฉบับยังอยู่ที่จิงตู

เขาเก็บสัมภาระ รับเอากระบี่เล่มเล็กจากศิษย์พี่อวี๋เหริน หันหลังจากไป

หนุ่มน้อยนักพรตเต๋าอายุสิบสี่ปี ลงเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset