ตอนที่74 การบ้าน
“การบ้าน…”
ก่อนออกจากชั้นเรียน ศาสตราจารย์มักกอนนากัลยืนอยู่ที่โต๊ะโพเดียมและพูดกับนักเรียนในห้องเรียนว่า “อ่านกฎพื้นฐานของการแปลงร่างของแกมป์ เขียนบทสรุปแล้วส่งในวันจันทร์หน้าด้วย”
ในห้องเรียน ทุกคนต่างกระซิบเกี่ยวกับเคล็ดลับในการเปลี่ยนไม้ขีดไฟให้เป็นเข็ม ยังมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้ และนักเรียนส่วนใหญ่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงบางส่วนของไม้ขีดเท่านั้น
“ต้องรีบหน่อย วันจันทร์หน้าเราจะต้องฝึกเปลี่ยนหินเป็นถ้วยชากัน” น้ำเสียงของศาสตราจารย์มักกอนนากัลรุนแรงขึ้น “ถ้าเวลานั้นมาถึง ใครก็ตามที่เปลี่ยนเป็นเข็มไม่ได้จะถูกลงโทษ ฉันหวังว่าทุกคนจะพยายามให้มากขึ้น เวลาฝึกในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับพวกเธอที่จะเชี่ยวชาญเทคนิคการแปลงร่าง ฉันหวังว่าจะไม่มีใครที่จะโดนลงโทษ”
ทันทีที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลจากไป ห้องเรียนก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก การแปลงร่างยากกว่าที่ทุกคนคิด และต้องใช้ความพยายามมากกว่าหลักสูตรอื่นๆ
อันที่จริง ทุกคนได้ค้นพบแล้วว่าฮอกวอตส์มีชั้นเรียนไม่มากนัก แต่มีการบ้านเยอะมาก และเวทมนตร์ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนเป็นอย่างมาก คนส่วนใหญ่เสียใจเล็กน้อย ทำไมพวกเขาไม่ใช้เวลามากกว่านี้ในสัปดาห์ที่แล้วกันนะ
ไม่มีใครสามารถผ่อนคลายได้จริงๆ
ไม่สิ มีคนอยู่คนนึง
เฟร็ดทั้งสามหันหัวเข้าหากันและมองไปยังเด็กชายที่กำลังเก็บหนังสือของเขา อัลเบิร์ตเป็นคนที่สบายสุด เขาทำการบ้านเสร็จแล้วและเขาก็เป็นคนแรกที่เชี่ยวชาญการแปลงร่าง ไม่จำเป็นที่ต้องกังวลเกี่ยวกับการลงโทษ
เขามีเวลาว่างให้ออกไปเที่ยวในปราสาททุกวันและถ่ายรูปรอบๆ
“ฉันควรทำไงดี?” ลี จอร์แดนเอื้อมมือไปจับผมสั้นๆของเขา ดูเป็นกังวลเล็กน้อย
“ทำอะไร?” อัลเบิร์ตเลื่อนกระเป๋าเป้สะพายหลังบนไหล่ของเขาและออกจากห้องเรียนที่ผิดกับทุกคน
“การบ้าน!” เฟร็ดยังพบว่าเขาทำการบ้านไม่เสร็จ
“งั้นก็ทำสิ ให้ฉันดูก่อนว่ามีการบ้านอะไร” อัลเบิร์ตจงใจหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋านักเรียนของเขาและเตรียมจะอ่านให้ทั้งสามคนฟัง
อย่างไรก็ตาม จอร์จรีบคว้ากระดาษจากมือของอัลเบิร์ตอย่างรวดเร็ว และหลังจากเหลือบมอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ มีตัวหนังสือหลายแถวบนกระดาษ ซึ่งทั้งหมดเป็นการบ้านของพวกเขา
ตัวหนังสือจำนวนมากถึงกับทำให้จอร์จรู้สึกว่าเขากำลังจะตกลงไปในหลุมที่เรียกว่าการบ้านและไม่สามารถออกไปได้
เฟร็ดและลี จอร์แดนก็เอนตัวไปมองพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาทรุดลงอย่างกะทันหัน กระดาษของอัลเบิร์ตเขียนอย่างระมัดระวัง และการบ้านก็เขียนได้ดีมาก
เมื่อมองดูสีหน้าของทั้งสามคน อัลเบิร์ตรู้สึกอยากจะหัวเราะเล็กน้อย และแนะนำว่า: “ไปห้องสมุดสิ!”
“นั่น…” เฟร็ดพูดอย่างเคอะเขิน “ขอเรายืมลอกการบ้านหน่อยได้ไหม…”
“สำหรับการอ้างอิง” จอร์จปิดปากเฟร็ด และลี จอร์แดนข้างๆ เขาพูดแทนเขาเสร็จ
“อ้างอิง?”
“ใช่ อ้างอิง”
“อันที่จริง การบ้านนั้นง่ายมาก เมื่อฉันไปห้องสมุด ฉันจะแนะนำให้พวกนายรู้จักกับหนังสือสองสามเล่ม…” อัลเบิร์ตหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกและพูดกับทั้งสามคนในขณะที่เขาเดินไปว่า “ในตอนนั้น พวกนาย จะได้เรียนรู้บางอย่างจากหนังสือ ว่าการบ้านทำได้ง่ายมาก”
“จริงๆเหรอ?” ทั้งสามถามอย่างมีความสุข
“แน่นอน…ว่าโกหก” อัลเบิร์ตพูดติดตลกว่า “ฉันจะไปดื่มชายามบ่ายกับแฮกริด พวกนายจะไปไหม”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง”
“ใช่ ๆ!”
“มิฉะนั้น นายก็เอาการบ้านของนายมาให้เราเพื่อที่จะใช้อ้างอิงได้” เฟร็ดวางมือบนไหล่ของอัลเบิร์ตและพูดอย่างน่าสมเพชว่า “นอกจากนี้ นายไม่คิดหรอว่าการที่จะทิ้งพวกเราสามคนไว้กับการบ้าน แล้วนายไปดื่มชายามบ่ายเนี่ยมันดูไม่ดีนะ”
“ไปห้องสมุดกับพวกเรานะ นายก็ต้องทำการบ้านหนิ” จอร์จก็วางแขนบนไหล่ของอัลเบิร์ตด้วย
“ไปกันเถอะ ฉันจะช่วยนายกระเป๋าเอง” ลี จอร์แดนยิ้มและเดินไปที่แถวหน้าของแถวพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายหลังของอัลเบิร์ต และทั้งสามคนก็พาเขาไปที่ห้องสมุด
ทำการบ้าน ถ้ามีอัลเบิร์ตอยู่ ฉันจะถามได้ทันที และทั้งทำเสร็จไวขึ้นและการบ้านก็จะดีกว่าทำเองแน่ๆ
เมื่อเข้าไปในห้องสมุดพวกเขาพบว่ามีนักเรียนอยู่ในนั้นหลายคนแล้ว
ไม่ช่าพวกเขาก็พบที่นั่งและเริ่มทำการบ้าน
วันนี้ การบ้านของชั้นเรียนการแปลงร่างไม่ใช่เรื่องยาก แค่การเขียนสรุปกฎพื้นฐานของการแปลงร่างของแกมป์ ที่จริงแล้วเราต้องอ่านกฎพื้นฐานของการแปลงร่างของแกมป์เพียงครั้งเดียว จากนั้นสรุปใจความสำคัญและจัดระเบียบคำตามคำพูดของตัวเอง
“เสร็จแล้วเหรอ?”
ทั้งสามคนตกตะลึง ในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วโมง นายทำการบ้านการแปลงร่างเสร็จแล้วอะนะ?
“และฉันเห็นนายแค่กำลังลอกสิ่งต่างๆในหนังสือแค่นั้นเองนี่?”
“คิดว่าไงล่ะ?” อัลเบิร์ตถามด้วยวาทศิลป์ว่า “ศาสตราจารย์มักกอนนากัลขอให้เราเขียนสรุปกฎพื้นฐานของการแปลงร่างของแกมป์ อันที่จริงเราแค่สรุปใจความสำคัญแล้วก็เขียนมันออกมาเป็นคำพูดของตัวเองก็พอแล้ว”
ทั้งสามคนพูดไม่ออก ฟังดูเหมือนมีเหตุผล?
หลังจำคำเหล่านี้ในใจได้อย่างรวดเร็ว และต่อมาพวกเขาก็เรียนรู้จากอัลเบิร์ตเพื่อคัดลอกบทสรุปของกฎการแปลงร่างพื้นฐานของแกมป์
เฟร็ดทั้งสามยังคงเขียนเรียงความเกี่ยวกับชั้นเรียนคาถาต่อไป ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากอัลเบิร์ต ไม่ต้องเสียเวลาหาข้อมูล พวกเขาใช้หนังสือที่มีประโยชน์หลายเล่มได้โดยตรง เช่น “ผลสัมฤทธิ์ของคำสาป” และ “คำสาปที่คัดเลือกแล้วของศตวรรษที่สิบแปด” ในหนังสือ ให้คัดลอกเนื้อหาที่เหมาะสมไปยัง กระดาษขนาด 3 ฟุต ซึ่งมันไม่ยากอย่างที่คิด
สำหรับคาถาเรืองแสงและคาถาดับไฟ ทั้งสามเข้าใจมันแล้ว ไม่เช่นนั้นจำนวนการบ้านที่พวกเขาต้องทำให้เสร็จจะมีเพิ่มอีกหนึ่งรายการ
ศาสตราจารย์ฟลิตวิคยังขอให้นักเรียนฝึกฝนคาถาเรืองแสงและคาถาดับไฟ ภายในสัปดาห์หน้า
หลังจากที่หมึกแห้ง อัลเบิร์ตก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นออก เหลือบมองดูความคืบหน้าของทั้งสาม และเริ่มท่องตารางเวลาต่างๆ ในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ เขาค่อนข้างเกลียดประวัติศาสตร์เวทมนตร์ และการจำเวลาและตัวละครเหล่านั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเป็นพิเศษ โชคดีที่ความทรงจำของอัลเบิร์ตนั้นดี c8jอ่านเยอะๆ ท่องจำหลายๆ รอบ แล้วเขาก็จะจำได้
ทวนเรื่องกาลเวลา สถานที่ ตัวละคร และการกระทำในหัว หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหา อัลเบิร์ตก็เลือกเก็บหนังสือประวัติศาสตร์เวทมนตร์
ความคืบหน้าของเฟร็ดทั้งสามนั้นไม่ช้าจริงๆ กระดาษคาถาเรืองอสง 3 ฟุตส่วนใหญ่ถูกเขียนขึ้น
อัลเบิร์ตมองไปและแนะนำว่า “พวกนายควรเขียนประสบการณ์บางอย่างของตัวเอง”
“ของตัวเองเหรอ”
“เป็นสิ่งที่พวกนายพบเมื่อเรียนคาถา เช่นปัญหาที่คุณพบ และวิธีแก้ปัญหา”
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์เป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีอะไรจะเขียน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเพิ่มปริมาณของเนื้อหา
ก่อนที่ทั้งสามจะเขียนเรียงความคาถาเรืองแสงเสร็จ อัลเบิร์ตก็กลับมาจากดื่มชากับแฮกริดแล้ว และเขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะให้ยืมกระดาษเพื่อเปรียบเทียบ
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากแก้แล้ว!” เฟร็ดจ้องไปที่แผ่นหนังของอัลเบิร์ต และพบว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นดูยุ่งเหยิงจริงๆ และในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดที่จะแก้ไข
มันไม่ง่ายเลยที่จะเติมกระดาษขนาด3ฟุตด้วยตัวหนังสือ
ยิ่งกว่านั้นนักเรียนใหม่ก็พึ่งเขียนเอกสารเป็นครั้งแรกและเนื้อหามัน้ลยค่อนข้างยุ่งเหยิง ฉันเชื่อว่าศาสตราจารย์ฟลิตวิกจะไม่คิดอะไรมากในเรื่องนี้