ตอนที่ 100 ข้าต้องการใช้เขา
สายฝนที่โปรยลงในฤดูใบไม้ร่วง ปะทะกับใบไม้แห้งเสียงดังกรอบแกรบ ทำให้รู้สึกเหงาใจและโดดเดี่ยวเสียจริง
ณ สวนด้านหลังของวังเตี๋ยอี๋ในพระราชวังหลวง หยูเวิ่นหวินกำลังยืนอยู่ที่ศาลาซิ่วชุนแต่เพียงลำพัง
ฝนเม็ดหนาตกสู่ชายคาศาลาซิ่วชุนคล้ายเป็นม่านน้ำตก ราวกับหน้าต่างปกคลุมสำหรับฤดูใบไม้ร่วง แต่มิอาจบดบังทัศนียภาพของนางไปได้
ดอกกุ้ยฮวาร่วงหล่นจากต้นเป็นกองโต สีเหลืองอร่ามกระจัดกระจายไปทั่วทั้งพื้น อีกทั้งต้นกล้วยสีเขียวมากมายบริเวณมุมกำแพงนั่นถูกน้ำฝนชะล้างเกิดเป็นสีเขียวชอุ่มในฤดูใบไม้ร่วง
สวนเบญจมาศนั้นอยู่ห่างออกไปเกินจะมองเห็น แต่คาดว่าดอกไม้เหล่านั้นคงจะมีสีสันงดงามตระการตา เพียงแต่มิรู้ว่าบัดนี้จะร่วงโรยไปมากน้อยเพียงใด
สายลมโบกพัดเม็ดฝนมากระทบกับใบหน้าอันงดงามของนาง ชุดที่สวมใส่ก็เริ่มเปียกปอน แต่นางหาได้รู้สึกตัวไม่ บัดนี้ภายในใจมัวแต่เป็นห่วงองค์หญิงสามและคำนึงถึงฟู่เสี่ยวกวน
องค์หญิงสามหยูชิงหลานกล่าวว่า นางต้องการออกไปใช้ชีวิตนอกกำแพงวัง นางอยากออกไปที่ทุ่งหญ้า และนำอารยธรรมของราชวงศ์หยูไปเผยแพร่แก่พวกเขาเหล่านั้น แต่เสด็จพ่อกลับมิทรงเห็นด้วย
แต่ฮั่วหวยจิ่นเล่าจะทำเยี่ยงไร ?
หยูเวิ่นหวินนึกได้ดังนั้น หยูชิงหลานจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หวยจิ่น……รู้เรื่องนี้แล้ว”
ท่านพี่มีเรื่องไม่สบายใจ หยูเวิ่นหวินนั้นรู้ดีว่ารอยยิ้มเมื่อครู่มิได้ออกมาจากใจจริง รอยยิ้มช่างเยือกเย็นกว่าฝนที่โปรยลงมานี้เสียด้วยซ้ำ
เช่นนั้นความลับที่ถูกปกปิดไว้นี้คืออะไรกันแน่ ?
นางได้เอ่ยถามเสด็จแม่ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่กำลังต้มซุปโสมอยู่ จึงเอ่ยตอบว่า “หลังจากพี่สามของเจ้าเดินทางจากไป หากเจ้ามีเวลาจงลองไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกหนิงกุ้ยเฟยดู”
นางนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา ในวันนี้ได้ยินเรื่องราวจากสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอว่าหนักหนามากทีเดียว มีผู้ถูกจับกุมกว่าสิบคนแล้ว ตำแหน่งสูงสุดคือจือโจว ต่ำสุดคือนายอำเภอ และนี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น !
ราชสำนักสั่นคลอน องค์ฮ่องเต้ทรงพิโรธ !
“จงไปนำตัวพวกมันกลับมายังเมืองหลวง ข้าจะลงโทษพวกมันให้สาสม ! ”
เรื่องนี้ทำให้ขุนนางหลายคนขาดผลประโยชน์อีกทั้งยังต้องโทษ หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันโกรธแค้นฟู่เสี่ยวกวนราวกับพายุโหมกระหน่ำ
หรืออาจจะ……ไร้เมฆและลมฝนก็เป็นได้
จะทำเยี่ยงไรดี ?
หรือข้าควรจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อให้แต่งตั้งฟู่เสี่ยวกวนเป็นพระราชบุตรเขยเลย เช่นนี้จึงจะสามารถปกป้องตระกูลฟู่จากลมพายุในครั้งนี้ได้
หยูเวิ่นหวินตัดสินใจได้ดังนั้นก็เดินออกจากศาลาซิ่วชุนไป บ่าวรับใช้กางร่มให้นางเดินฝ่าเม็ดฝนโปรยปราย
……
……
สำนักอักษรวังหลวง
แสงอาทิตย์ลับตาลง ขันทีเจี่ยทำการจุดเทียนไฟเพิ่มแสงสว่าง
องค์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู “หยูยิ่น” กำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะมังกร บนโต๊ะนั้นมีหนังสือกองโต เป็นกระดาษที่เก็บรวบรวมมาจากกำแพงหลานถิงจี๋ เรื่องนโยบายบรรเทาสาธารณภัยนั่นเอง
ฝ่าบาททรงขมวดคิ้วแล้วนั่งพิงพระวรกายมายังเก้าอี้มังกร แผ่นแล้วแผ่นเล่าก็ยังไม่ทรงมีนโยบายที่พอพระทัย
ไม่ว่าจะเสนอแนะให้มีการส่งคนไปควบคุมยามแจกจ่าย หากพบการทุจริตให้ลงโทษอย่างเด็ดขาด หรือส่งตัวแทนจากราชสำนักไปดูแลพื้นที่เดือดร้อน ให้ประหารผู้ทำผิดต่าง ๆ นานา
ช่างไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นขันทีโกวกงกง หัวหน้าขันทีได้เดินเข้ามา ในมือถือถาดไม้ โค้งคำนับและเอ่ยว่า “เชิญฝ่าบาททรงเลือกพะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นตะลึงชั่วขณะ เมื่อมองออกไปข้างนอกจึงพบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว
ฝ่าบาททรงโบกมือและกล่าวว่า “ไปเรือนซั่งกุ้ยเฟย……ให้นางเตรียมซุปโสมไว้ให้ข้าด้วย”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท !” ขันทีโกวกงกงโค้งคำนับและเดินจากไป ขณะที่องค์ฮ่องเต้กำลังจะลุกขึ้น ก็ทรงหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา เมื่อทรงอ่านดูแล้วก็ตกตะลึง
ตัวอักษรช่างน่าเกลียดเสียจริง เหตุใดจึงกล้าใช้ลายมือเช่นนี้มาเขียนจดหมายส่งถึงข้ากัน !
ฝ่าบาททรงกริ้วมาก จากเดิมก็ทรงกริ้วที่ไม่มีนโยบายใดใช้ได้อยู่เป็นทุนเดิมแล้ว หนำซ้ำยังต้องมาพบเห็นตัวอักษรเช่นนี้อีก อยากจะรู้เสียจริงว่าเป็นใครกันที่บังอาจเช่นนี้
ฟู่เสี่ยวกวน ?
ฟู่เสี่ยวกวน !
ชื่อนี้ฝ่าบาททรงเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ประโยคที่ว่าเพื่อเป็นศูนย์กลางของสวรรค์และโลก เพื่อสร้างชีวิตให้ประชาชนนั้น ชางกวนเหวินซิ่วได้นำมามอบให้ด้วยตนเอง
อีกทั้งหนังสือความฝันในหอแดงก็เช่นกัน ทั้งนางสนมและองค์หญิงต่างอ่านหนังสือเล่มนี้และกล่าวว่าช่างเขียนได้ดียิ่ง ฝ่าบาทเองก็ทรงได้อ่านและเห็นด้วยกับคำชื่นชม ยังมีเหตุการณ์ที่งานกวีไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ ทำนองเพลงแห่งสายน้ำของเขาได้ถูกจารึกลงในหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง สิ่งเหล่านี้ทรงทำให้ฝ่าบาทชื่นชมเขายิ่งนัก
จากเดิมฝ่าบาทคิดว่าอย่างน้อยเขาคงจะได้เป็นจวี่เหริน และทรงรอฟู่เสี่ยวกวนเข้าร่วมงานชิวเหวยแต่ในรายชื่อผู้เข้าร่วมนั้นกลับไม่มีเขา
บัดนี้เขาได้เห็นชื่อนี้สักที แต่ตัวอักษรนี้…หรือจะมีใครแอบอ้างชื่อเขากัน ? หรือฟู่เสี่ยวกวนนี้จะมิใช่ฟู่เสี่ยวกวนนั้น ?
สีหน้าของฝ่าบาทเปลี่ยนไปทันที ขันทีเจี่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ตกตะลึง หรือว่าจะมีเนื้อหาต้องห้ามในจดหมายนั้น ?
มิน่าจะเป็นไปได้ จดหมายทุกฉบับเขาได้อ่านผ่านตาแล้ว นอกจากมีฉบับหนึ่งที่ตัวอักษรไม่น่ามอง นอกจากนั้นก็ไม่มีฉบับใดที่มีเนื้อหาต้องห้าม แล้วฝ่าบาททรง…
องค์ฮ่องเต้ทรงฝืนใจหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
สีหน้ากริ้วเมื่อครู่จางหายไปทันที อีกทั้งยังอ่านไปพยักหน้าไป ทรงขมวดคิ้วครุ่นคิดบ้างบางครา สุดท้ายได้วางลงเบา ๆ
และทรงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง ท่ามกลางสายฝนพรำ ฝ่าบาททรงครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผ่านไปเนิ่นนานทรงได้หยิบกระดาษนั้นขึ้นมาและพิจารณาใหม่อีกครั้งจากต้นจนจบ สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ เจี่ยกงกงจึงเข้าใจในทันที ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่โชคดี เกรงว่านโยบายของเขาคงเป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาท
องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดอีกชั่วครู่ จากนั้นหยิบกระดาษไว้ในมือ ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ไปวังเตี๋ยอี๋ ! ”
ณ วังเตี๋ยอี้ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยต้มซุปหอมกรุ่นเสร็จพอดี นางหันไปมองหยูเวิ่นหวินที่ยังนั่งอยู่และเอ่ยถามว่า
“เสด็จพ่อเจ้าใกล้จะมาแล้ว ยังไม่กลับไปอีกหรือ ? ”
“ข้าต้องการพบเสด็จพ่อ เรื่องนี้เพียงเสด็จพ่อทรงออกคำสั่ง ตระกูลฟู่จึงจะพ้นเคราะห์ภัย”
ซั่งกุ้ยเฟยยิ้ม “เรื่องนี้ข้ามีแผนการอยู่ เจ้าจงกลับไปเถอะ”
“เสด็จแม่เพคะ ถ้าฟู่เสี่ยวกวนเป็นอะไรเพียงเล็กน้อย…..ข้าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป ! ”
องค์ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาได้ยินพอดี พระพักตร์ทรงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“ลูกหญิงเก้าที่รักของข้าอยู่ที่นี่ด้วยรึ ? ทำไมกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นอะไร ?”
“ถวายบังคมเพคะเสด็จพ่อ” หยูเวิ่นหวินรีบคุกเข่าลง หยูยิ่นหัวเราะออกมาว่า “น้อยครั้งที่เจ้าจะคุกเขาคารวะข้า ไหนลองกล่าวมาว่ามีเรื่องใดให้พ่อช่วย ?”
หยูเวิ่นหวินเบ้ปากแล้วเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ลูกอยากขอร้องให้เสด็จพ่อออกคำสั่งแต่งตั้งฟู่เสี่ยวกวนให้เป็นพระสวามีลูกเพคะ !”
หยูยิ่นหัวเราะออกมาเสียงดัง พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยถือถ้วยซุปออกมาให้ฝ่าบาทด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“นี่…นี่มันน่าขันตรงไหนเพคะ ?” หยูเวิ่นหวินอายเสียจนหน้าแดง
ฝ่าบาททรงนั่งลงและมองดูองค์หญิงน้อยแล้วตรัสว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด หากเจ้าเอ่ยมาก่อนหน้านี้ พ่อคงจะอนุญาตอย่างแน่นอน แต่บัดนี้ไม่ได้เสียแล้ว”
หยูเวิ่นหวินตกตะลึง “เพราะเหตุใดเพคะ ?”
“เพราะว่าข้าต้องการใช้เขา”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากค้าง แม้กระทั่งพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็สงสัยเช่นกัน เหตุใดฝ่าบาท จึงต้องการใช้ฟู่เสี่ยวกวน ?
หยูยิ่นหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมายื่นให้หยูเวิ่นหวินแล้วตรัสว่า “เจ้าลองดูว่านี่ใช่ลายมือเขาหรือไม่ ? ”
เมื่อหยูเวิ่นหวินมองดูก็พบว่านี่คือลายมือของเขาจริง ๆ ลายมือที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
นโยบายบรรเทาสาธารณภัย ! เขาอยู่ที่หลินเจียงมิใช่หรือ ? แล้วนโยบายแผ่นนี้มาจากที่ใด ?
“เขาอยู่ที่เมืองหลวง สิ่งนี้ได้มาจากศาลาหลานถิง พ่อได้อ่านดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ยิ่ง แต่มีบางสิ่งยังไม่เข้าใจนัก จึงต้องการเรียกตัวเขาเข้าพบ”
ฟู่เสี่ยวกวนมาเมืองหลวงงั้นหรือ ?
หยูเวิ่นหวินดีใจมาก ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงแต่ไม่อาจเข้ามาในวังหลวงได้ เขาต้องไปหาต่งชูหลานแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นโค้งคำนับและกล่าวว่า “เสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ ราตรีสวัสดิ์ ! ”