ตอนที่ 1024 ศิษย์พี่ศิษย์น้อง
สุ่ยหยุนเจียนรับกล่องหยกใบนั้นมาด้วยความระมัดระวัง เขาตามหลิวจิ่นไปวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของฟู่ต้ากวนอย่างละเอียดและอดถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมามิได้… เพราะถ้ามิมียาเสริมกำลังภายในเม็ดนั้นของฝ่าบาท ตัวเขาเองก็คงไร้หนทางที่จะดึงดวงวิญญาณของฟู่ต้ากวนกลับมาจากยมโลก
เส้นลมปราณของชายอ้วนฉีกขาดและใกล้จะสิ้นลมเต็มทน แท้ที่จริงเขาชะตาขาดแล้ว ทว่าความคะนึงหาภายในใจได้ผลักดันให้เขาเดินทางมาจนถึงที่นี่
เขาเพียงอยากพบฟู่เสี่ยวกวน บุตรชายที่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่อีกสักคราก่อนจะสิ้นลม
เขาอยากได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเรียกเขาว่าท่านพ่ออีกสักครา อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ส่งโลงศพของเขากลับซีซาน
นี่คือโชคชะตาที่ถูกลิขิตเอาไว้
ท่าป๋าวั่งผู้เป็นฮ่องเต้แห่งซีเซี่ยได้มอบยาวิเศษทั้งสามเม็ดให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน ในใต้หล้านี้มีเพียงยาเสริมกำลังภายในเท่านั้นที่จะสามารถช่วยชีวิตของฟู่ต้ากวนเอาไว้ได้
ในช่วงเวลาที่ชีวีใกล้ดับสูญลงไปนั้นเอง ราวกับว่ายาวิเศษเม็ดนี้ได้เติมเชื้อเพลิงให้กับตะเกียงที่ผุพัง ทำให้ดวงวิญญาณของเขาลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครา
แม้ว่าบัดนี้ลมหายใจของเขาจะยังรวยริน แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะทรงตัวมากขึ้น
สุ่ยหยุนเจียนทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่แหละหนอสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต
……
……
สุ่ยหยุนเจียนพาหนานกงตงเซวี๋ยจากไปอย่างรีบร้อน
ครานี้ฟู่เสี่ยวกวน ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยและศิษย์พี่สองเกาหยวนหยวนได้นั่งอยู่ด้วยกันในศาลาพักร้อนโดยมีสวี่หยุนชิงนั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ? ”
ซูเจวี๋ยยกมือขึ้นมาทำท่าทางจัดหมวก ทว่าเพิ่งรู้ตัวว่าหมวกของตนได้ปลิวหายไปเนิ่นนานแล้ว
“ท่านอาจารย์อารองบังเอิญพบกับพวกเราที่ภูเขาหมาง”
“หลังจากนั้นท่านบอกให้พวกเราร่วมเดินทางไปที่ภูเขาต้าเซียนเปยด้วยกันเพื่อเป็นสักขีพยาน… เป็นสักขีพยานเรื่องคนหน้าเนื้อใจเสือ คนมือถือสากปากถือศีลผู้นั้น”
“ในตอนนั้นพวกเรามิรู้ว่าท่านอาจารย์อารองหมายถึงผู้ใด ข้าและศิษย์น้องรองจึงตามอาจารย์อารองไปยังเชิงเขาลูกหนึ่งของภูเขาต้าเซียนเปย…”
สีหน้าของซูเจวี๋ยเผยความเจ็บปวดออกมาให้เห็น ด้านเกาหยวนหยวนก้มศีรษะใหญ่ของเขาลง สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“ท่านอาจารย์…เขาคือทายาทที่หลงเหลือของราชวงศ์เฉินและเป็นเช่อเหมินแห่งลัทธิจันทราตัวจริง เขาได้ร่ำเรียนวิธีการฝึกทหารมาจากเจ้า อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิธีผลิตปืนคาบศิลาและชุดเกราะกันกระสุนมาจากเจ้าอีกด้วย”
ซูเจวี๋ยจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความรู้สึกผิด เพราะพวกตนก็เป็นหมากตัวหนึ่งในกำมือของท่านอาจารย์เช่นกัน ท่านอาจารย์หลอกใช้พวกตนเพื่อเข้าถึงฟู่เสี่ยวกวนในทุกด้าน !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แสดงสีหน้าใดออกมา…ดูเหมือนมิได้ประหลาดใจอย่างที่พวกตนคาดเดาเอาไว้และมิได้ระเบิดอารมณ์โกรธออกมาให้เห็น
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนดูสงบมากยิ่งนัก ราวกับว่าทุกสิ่งที่ซูเจวี๋ยเอ่ยมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขาเลยสักนิด
ซูเจวี๋ยรู้ดีว่าผลที่ตามมาของเรื่องนี้ย่อมร้ายแรงอย่างแน่นอน !
ซูฉางเซิงมีกองกำลังฝีมือระดับเดียวกันกับฟู่เสี่ยวกวน เผลอ ๆ อาจจะมีแสนยานุภาพเหนือกว่าด้วยซ้ำ เขามีเจตนาจะโจมตีฟู่เสี่ยวกวน ! และเป้าหมายของเขาคือต่อต้านประเทศต้าเซี่ยและฟื้นคืนราชวงศ์เฉิน !
ท่านอาจารย์วางแผนมาหลายปีเพื่อสิ่งนี้
ท่านได้เตรียมยุทโธปกรณ์สารพัดจนเพียบพร้อม ขาดเพียงอย่างเดียวคือชุดเกราะกันกระสุน
เมื่อใดที่กองทัพอสนีบาตเคลื่อนพลออกจากภูเขาต้าเซียนเปย… อยู่ ๆ ก็ราวกับมีภาพสนามรบที่เจิ่งนองไปด้วยโลหิตปรากฏขึ้นมาในความคิดของซูเจวี๋ย
มิว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ สงครามในครานี้มิรู้ว่าต้องตายอีกกี่ศพ
ทว่าพวกตนรวมถึงซูซูและซูโหรวล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ซูฉางเซิงได้มีทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้
“ศิษย์พี่…รู้สึกละอายใจจนมองหน้าเจ้ามิติด” ซูเจวี๋ยยืนขึ้น… จากนั้นก็ถวายคำนับให้กับฟู่เสี่ยวกวนจนศีรษะแทบจะถึงพื้น “ชีวิตนี้ของศิษย์พี่คงมิอาจให้อภัยตนเองได้ หากมิได้รับการลงโทษจากศิษย์น้องเล็ก ! ”
ในตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนถึงได้มั่นใจว่าทั้งซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนมิได้มีพิษมีภัยอันใด
เขาจึงคลายมือออกจากกระบอกปืนที่แอบจับไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นก็ยืนขึ้นเพื่อเข้าไปช่วยพยุงไหล่ของซูเจวี๋ยให้ลุกขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หากยังเห็นข้าเป็นศิษย์น้องอยู่ก็ขอให้ลืมเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไปเสีย”
ลืมไปเสียเยี่ยงนั้นหรือ ?
ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนผงะ เรื่องใหญ่เช่นนี้จะให้ลืมได้เยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มกว้างพลางเอ่ยออกมาว่า “แท้ที่จริงข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เพียงแต่คาดมิถึงว่าเขาจะเป็นทายาทที่หลงเหลืออยู่ของราชวงศ์เฉิน เรื่องเหล่านี้มิได้สลักสำคัญอันใดหรอก เพราะสิ่งสำคัญก็คือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปทางศิษย์พี่ทั้งสอง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและน้ำเสียงก็จริงจังมากขึ้น “สิ่งสำคัญคือพวกท่านยังเป็นศิษย์พี่ของข้าอยู่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ! ”
‘พวกท่านยังเป็นศิษย์พี่ของข้าอยู่’…บัดนี้ทั้งซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนได้หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “พวกเรายังคงเป็นศิษย์พี่ของเจ้าดังเดิม ! ”
“เมื่อพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมแรงร่วมใจกัน เมื่อนั้นพวกเราย่อมแข็งแกร่งดุจหินผา ในเมื่อเขาใช้พวกเราเป็นหมากตัวหนึ่ง พวกเราก็จะพลิกกระดานหมากของเขาให้คว่ำเสีย ! ”
“แม้ว่าพวกเราจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ทว่าพวกเราก็พร้อมรับคำบัญชาจากเจ้า ! ”
“เชิญนั่งเถิด…ข้าขอประกาศอย่างชัดแจ้งในวันนี้” น้ำเสียงของฟู่เสี่ยวกวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาในทันใด ร่างกายของเขาราวกับกำลังแผ่กลิ่นอายสังหารออกมา “คนผู้นี้ ข้าต้องสังหารให้จงได้เพราะเขาเกือบจะทำให้บิดาอ้วนต้องตกตาย เยี่ยงนั้นเขาต้องไปลงนรกเพื่อชดใช้มัน ! ”
“ในตอนที่ข้าลงมือสังหารเขา พวกท่านรวมถึงบรรดาศิษย์พี่ที่เหลือจงอย่าได้ยื่นมือเข้ามาขัดขวางข้าเป็นอันขาด”
“ข้ารู้ดีว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณที่อุปการะพวกท่าน เช่นนั้นข้ามิได้หวังให้พวกท่านมาร่วมศึกในครานี้ พวกท่านเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาคงจะลำบากมิน้อย ศิษย์พี่สามและเหมียหลี่เสวี่ยหงล้วนอยู่ในพระราชวัง พวกท่านจงพำนักอยู่ที่เมืองกวนหยุนชั่วคราวและเมื่อข้านำทัพกลับมาเมื่อใด พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องค่อยมาร่วมฉลองกันสักครา”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อซูฉางเซิง ทว่าศิษย์พี่ทั้งแปดในสำนักเต๋าล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่อีกฝ่ายรับอุปการะมาทั้งสิ้น
ซูฉางเซิงได้เลี้ยงดูจนพวกเขาเติบใหญ่ อีกทั้งยังสอนวรยุทธให้กับพวกเขาอีกด้วย หากต้องชักกระบี่ออกมาประจันหน้ากันก็คงรู้สึกลำบากใจมิน้อย
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฟู่ต้ากวนถูกซูฉางเซิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนล้วนเป็นปรมาจารย์รวมถึงชายอ้วนด้วยอีกคน ปรมาจารย์ 3 คนเผชิญหน้ากับซูฉางเซิงที่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขามีกำลังเหนือกว่าในการเผชิญหน้าครานี้หรืออาจจะทำร้ายซูฉางเซิงให้สาหัสหรือตายไปเลยก็ยังได้
ทว่าชายอ้วนมิอนุญาตให้ทั้งสองลงมือ ส่วนเหตุผลก็เหมือนที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเอ่ยไปเมื่อครู่… มิว่าเยี่ยงไรก็ตามซูฉางเซิงได้ทำหน้าที่อาจารย์ผู้หนึ่งที่พึงกระทำต่อลูกศิษย์ทั้งแปดอย่างดีที่สุดแล้ว
เขาเป็นทั้งบิดาและอาจารย์ในใจของลูกศิษย์ทั้งแปด แม้ว่าซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนจะรู้แล้วว่าตนเองถูกอาจารย์หลอกใช้ แต่ถ้าเอ่ยถึงความโกรธแค้น…แท้ที่จริงความแค้นนี้ก็มิได้เกิดจากก้นบึ้งของหัวใจ
บิดาอ้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย ซูฉางเซิงบาดเจ็บสาหัสทว่าหลบหนีไปได้ ศิษย์พี่ทั้งสองเลือกที่จะส่งชายอ้วนกลับมา สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนี่มิได้หมายความว่าพวกเขาได้เลือกข้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดหวังว่าศิษย์พี่จะฟังคำสั่งของตนแล้วไปลงมือสังหารผู้เป็นอาจารย์
“พวกท่านสบายใจได้ ศึกครานี้มิใช่ความขัดแย้งระหว่างข้ากับซูฉางเซิง ทว่าเป็นศึกระหว่างราชวงศ์เหลียวกับประเทศต้าเซี่ย แท้จริงแล้วซูฉางเซิงก็อยู่บนกระดานหมากนี้เช่นกัน ทว่าจากนี้ไปข้าจะท้าดวลกับเขาสักตา”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกท่านรีบไปพักผ่อนเถิด ข้ายังมีเรื่องให้ต้องสะสาง อ้อ…จริงสิ ! ข้าอยากใคร่ขอให้ศิษย์พี่ทั้งสองช่วยวาดแผนที่ระหว่างเดินทางกลับมาที่นี่ให้ข้าสักแผ่นได้หรือไม่ ? ”
……
……
“เยี่ยงไรเสียพวกเขาก็ยังเป็นศิษย์ของซูฉางเซิง ! ”
หลังจากที่ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนเดินจากไป สวี่หยุนชิงจึงเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง
“ก็ใช่ ! ทว่าเยี่ยงไรพวกเขาก็คือศิษย์พี่ของข้าเช่นกัน… ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาดีต่อข้ามาโดยตลอด อีกทั้งพวกเขาก็ถูกซูฉางเซิงปิดบัง ดังนั้นจึงมิอาจกล่าวโทษได้”
“แต่พวกเขาอาจจะคิดในใจว่าเจ้าคือศัตรูคู่อาฆาตของอาจารย์ ! ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์หรือความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง ความสัมพันธ์ใดจะลึกซึ้งมากกว่ากัน ! ”
“เจ้าจิตใจดีจนเกินไป”
“ดังนั้นใต้หล้านี้ควรมีคนที่จิตใจดีมากขึ้นอีกสักหน่อย”