ตอนที่ 1043 นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ?
ซูฉางเซิงนำทัพไปยังเมืองต้าติ้งเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ?
หรือว่าฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวจะทรงรับสั่งให้เขาไปรักษาการณ์เมืองต้าติ้ง ?
มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย !
หากเป็นเช่นนี้ เมืองต้าติ้งก็จะกลายเป็นสนามรบ ศึกครานี้มิว่าจะแพ้หรือชนะ เมืองต้าติ้งย่อมได้รับความเสียหายจากสงคราม
ถึงจะเป็นเพียงแค่การป้องกัน แต่ก็มิควรเลือกเมืองต้าติ้ง
และการที่เขาเคลื่อนทัพมุ่งไปที่นั่นในครานี้ ก็เป็นเวลาประจวบเหมาะกับที่เฮ้อซานเตามาถึงพอดี ฝั่งเฮ้อซานเตามีทหารเพียง 20,000 นาย เขาจะเอากำลังจากที่ใดมาเอาชนะกองทัพอสนีบาตที่มีนายทหารมากกว่า 450,000 นายของซูฉางเซิงกัน !
“ออกพระราชโองการ ให้หน่วยรบของเฮ้อซานเตาประจำฐานที่มั่น ! ให้ยกเลิกภารกิจจู่โจมเมืองต้าติ้ง ! ”
“ให้ใช้นกพิราบส่งสารของหอเทียนจี ยิ่งเร็วเท่าใดยิ่งดี ! ”
“และออกคำสั่งให้กองทัพที่สองถึงห้ามุ่งหน้าไปยังราชวงศ์เหลียวโดยเร็วที่สุด ! ”
“บอกกองทัพของหยูเวิ่นเทียนว่า… เจิ้นให้เวลาเขาหนึ่งวันในการสังหารศัตรูให้สิ้น จากนั้นให้มุ่งหน้าไปยังเมืองต้าติ้งเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียว ! ”
“ให้กองทัพเรือที่หนึ่งออกเดินทางไปสมทบกับกองนาวิกโยธินของเฮ้อซานเตา เมื่อรวมกองทัพเข้าด้วยกันแล้ว ให้รอจนกว่ากองกำลังหลักของเราจะมาถึงราชวงศ์เหลียว ! ”
รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง วันที่ห้า เดือนหก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของซูฉางเซิง จึงทำให้ยุทธการศึกต้องพลิกผันภายในชั่วอึดใจเดียว
ศึกระหว่างต้าเซี่ยและราชวงศ์เหลียวได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการพร้อมกับคำสั่งที่ถูกส่งออกไปอย่างต่อเนื่องจากฟู่เสี่ยวกวน
……
……
“มิทันการแล้ว ! ”
ณ ศูนย์บัญชาการกรมกลาโหมในเมืองกวนหยุน จัวเปี๋ยหลีจ้องมองโต๊ะทรายตาเขม็ง สายตาของเขาเพ่งเล็งไปที่ล๋ายโจว
จากล๋ายโจวถึงเมืองต้าติ้งเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียว มีระยะห่างเพียงแค่หกร้อยกว่าลี้เท่านั้น และจากความเร็วของกองนาวิกโยธิน คาดว่าพวกเขาจะใช้เวลาเดินทางไปถึงเมืองต้าติ้งอย่างช้าที่สุดแค่ 3 วัน !
ส่วนกองทัพของซูฉางเซิงต้องเดินทางออกจากภูเขาต้าเซียนเปยมายังเมืองต้าติ้งซึ่งมีระยะห่าง 800 ลี้ด้วยกัน และด้วยความเร็วของกองทัพอสนีบาต พวกเขาจะใช้เวลามากสุดแค่ 5 วัน !
กองทัพเรือที่หนึ่งยังเดินทางไปมิถึงภูเขาต้าเซียนเปย ส่วนกองทัพของจั่วมู่เดินทางไปถึงจุดยุทธศาสตร์หลังจากที่ซูฉางเซิงเดินทางออกจากภูเขาต้าเซียนเปยพอดี เขากำลังตามหลังซูฉางเซิง
“มิทันการแล้วจริง ๆ ”
คำว่า ‘มิทันการณ์’ หมายถึงส่งข่าวแจ้งเฮ้อซานเตามิทันแล้ว
ต่อให้ใช้นกพิราบส่งสารก็ยังต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันอยู่ดี กว่าเฮ้อซานเตาจะได้รับรายงานมันก็คงสายเกินไปเสียแล้ว
“เว้นเสียแต่ว่า… เว้นเสียแต่ว่าเฮ้อซานเตาจะสามารถยึดเมืองต้าติ้งได้ก่อนที่ซูฉางเซิงจะเดินทางมาถึง เขาสามารถปักหลักอยู่ด้านหลังกำแพงอันแข็งแกร่งของเมืองต้าติ้งได้ เพียงแค่เขาสามารถปักหลักอยู่ได้สักห้าหกวัน กองทัพต้าเซี่ยของข้าก็คงเดินทางไปสมทบที่นั่นได้พอดี”
เพียงแค่หน่วยรบหน่วยเดียว ทั้งยังเป็นหน่วยรบที่มีกำลังพลแค่สองหมื่นกว่านายจะไปมีกำลังรับมือกับการโจมตีอย่างโหดร้ายและรุนแรงจากกองทัพอสนีบาตสี่แสนห้าหมื่นนายได้เยี่ยงไร ?
จัวเปี๋ยหลีหลับตาลงช้า ๆ ไป๋ยู่เหลียนรู้สึกว่าความหวังริบหรี่ลงเต็มที
“ว่าแต่…ซูฉางเซิงมุ่งหน้าไปยังเมืองต้าติ้งเพื่ออันใดกันแน่ ? ”
ศัตรูมิมีทางล่วงรู้ถึงแผนการของกองทัพอันเกรียงไกรของเฮ้อซานเตาได้เป็นแน่ เดิมทีซูฉางเซิงพุ่งปลายหอกตรงมายังกองทัพสี่แสนนาย หอเทียนจีได้รายงานว่า กองทัพอสนีบาตกำลังรอชุดเกราะป้องกันกระสุนเพื่อติดตั้งให้กับทหารทุกนาย ทว่าท้ายที่สุดก็มีเพียงพอแค่นายทหารสองแสนกว่านายเท่านั้น… ความตั้งใจของซูฉางเซิงคือให้ทั้งกองทัพได้สวมชุดเกราะป้องกันกระสุน จากนั้นก็มาประจันหน้ากันให้รู้ดำรู้แดงกับกองทัพดาบเทวะของต้าเซี่ยไปเลย
ทว่าเขากลับถอยไปยังเสียอย่างนั้น…นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?
“หรืออาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงคราใหญ่ขึ้นที่เมืองต้าติ้งกัน ! ”
“หรือว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการตายของเยลู่ตาน ? ” คิ้วทั้งสองข้างของไป๋ยู่เหลียนขมวดแน่นเป็นปม
“จากรายงานที่ซุยเยว่หมิงส่งมา เขาบอกว่าตั้งแต่ที่เยลู่ตานกลับถึงราชวงศ์เหลียว เขาก็ได้โน้มน้าวให้เยลู่ชิงประกาศยอมแพ้มาโดยตลอด เยลู่ตานตกตายที่แถบชายแดนราชวงศ์เหลียว แสดงว่าเขาเดินทางมาจากเมืองต้าติ้ง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
ดวงตาของจัวเปี๋ยหลีเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันใด “เจ้าหมายความว่าเยลู่ชิงอาจจะประกาศยอมแพ้สงคราม เลยส่งเยลู่ตานมาเจรจาที่ต้าเซี่ย ทว่าเขาถูกลอบสังหารเสียก่อนเยี่ยงนั้นหรือ”
“ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวมิได้มีพระประสงค์ที่จะร่วมศึกในครานี้ ดังนั้นการที่ซูฉางเซิงทุ่มเทแรงกายฝึกฝนกองทัพตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็จะไร้ซึ่งประโยชน์ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่ซูฉางเซิงมิปรารถนาที่จะเห็น ดังนั้นเขาถึงเลือกที่จะกลับไปยังเมืองต้าติ้ง มิใช่เพื่อพิทักษ์รักษาเมืองต้าติ้ง แต่เพื่อ…แย่งชิงอำนาจ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนตกตะลึงขึ้นมาทันใด เพราะสิ่งที่จัวเปี๋ยหลีเอ่ยออกมาเป็นเหตุผลที่เข้าท่าที่สุดทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงมากยิ่งนัก ประจวบเหมาะกับยามที่องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เหลียวได้ไปประจำการอยู่ที่ด่านเม่าซานพอดี ดังนั้นที่เมืองต้าติ้งจึงแทบจะว่างเปล่ามิเหลือผู้ใด ซูฉางเซิงสามารถนำทัพไปแย่งชิงเมืองต้าติ้งได้อย่างง่ายดาย เขาอาจจะจับเป็นหรือสังหารเยลู่ชิงก็เป็นไปได้ทั้งนั้น จากนั้นราชวงศ์เหลียวก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา
แผนการของเขาคือครอบครองราชวงศ์เหลียว !
เขาต้องการใช้ราชวงศ์เหลียวมาต่อต้านต้าเซี่ย !
“ข้าต้องไปแนวหน้าด้วยตนเองเสียแล้ว ! ”
จัวเปี๋ยหลีจ้องมองไปทางไป๋ยู่เหลียน ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ไป๋ยู่เหลียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป เขาขี่ม้าและสะพายดาบไว้บนหลังหนึ่งเล่ม พร้อมนำทหารห้าร้อยนายจากไปอย่างรีบเร่ง
……
……
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าจงรีบเร่งเดินทางให้เร็วกว่านี้ ! ”
เฮ้อซานเตากวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่และสั่งการอยู่บนหลังม้า “พวกเราต้องเข้าไปตีเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียว ! และการโจมตีครานี้พวกเราต้องจับเป็นองค์จักรพรรดิของราชวงศ์เหลียวมาให้ได้ ความดีความชอบที่พวกเราได้ทำในศึกครานี้ จะส่งผลให้พวกเราได้มีกินอย่างสุขสำราญตลอดชีพ บุก… ! ”
หน่วยรบนาวิกโยธินทั้งสองหมื่นนายวิ่งอย่างฮึกเหิมราวกับไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยอยู่บนผืนปฐพีของราชวงศ์เหลียว
พวกเขามิรู้อย่างแท้จริงว่ากองทัพทั้งสี่แสนห้าหมื่นนายของซูฉางเซิงได้ลงมาจากภูเขาต้าเซียนเปยแล้ว และยิ่งมิรู้ว่ากองทัพ 450,000 นายของซูฉางเซิงกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองต้าติ้งอย่างเร่งรีบเช่นเดียวกัน
และในขณะที่กองทัพ 450,000 นายของซูฉางเซิงได้จากฐานที่มั่นไป ก็ได้มีบุคคลสามคนปรากฏตัวขึ้นมาบนยอดเขาแห่งหนึ่ง พวกเขาคือชายอ้วนฟู่ต้ากวน ซูเจวี๋ยที่สวมหมวกทรงสูง อีกทั้งยังมีเกาหยวนหยวนชายอ้วนพุงพลุ้ยอีกหนึ่งคน
ฟู่ต้ากวนได้กลับไปยังเมืองหลินเจียง จากนั้นประตูจวนตระกูลฟู่ก็ถูกปิดลงอีกครา เขามิได้กลับไปร่วมขบวนกับฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองจินหลิง แต่เขากลับมุ่งหน้ามาที่นี่แทน
“พวกเจ้าคิดว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่กัน ? ”
ซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนหันมามองหน้ากัน เพราะพวกเขาก็มิรู้เช่นกัน
ชายอ้วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เอ่ยถามว่า “คาดว่าอาจจะเป็นเพราะกองทัพของฟู่เสี่ยวกวนได้ยกทัพเข้ามาในดินแดนของราชวงศ์เหลียวแล้ว ซูฉางเซิงคงต้องการออกไปช่วยเหลือราชวงศ์เหลียวให้พ้นภัย”
“ไปกันเถิด พวกเราตามไปดูพวกเขากัน… ข้าขอบอกพวกเจ้าตรงนี้เลยว่า หากข้ากับซูฉางเซิงต้องต่อสู้กัน พวกเจ้าอย่าได้คิดมาขัดขวางเป็นอันขาด ! เพราะเยี่ยงไรเสียเขาก็คืออาจารย์ของพวกเจ้า ! ”
ซูเจวี๋ยจัดหมวกให้เข้าที่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ท่านก็เป็นอาจารย์อารองของข้าเช่นกันนะ”
เกาหยวนหยวนถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “คราก่อนท่านเกือบตาย ทว่าก็โชคดีที่ท่านมิตาย มิเช่นนั้น…พวกเราคงมิกล้าสู้หน้าศิษย์น้องได้อีก”
ชายอ้วนฉีกยิ้มกว้างพลางตบบ่าของทั้งสองคน “จงจำเอาไว้ว่าต่อไปสำนักเต๋าก็คงต้องอาศัยพวกเจ้าคอยสานต่อให้เจริญรุ่งเรือง ไปกันเถิด”
ทั้งสามรีบสะกดรอยตามกองทัพของซูฉางเซิงไป
ภูเขาต้าเซียนเปยที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ซึ่งเงาของผู้คนแม้แต่คนเดียว
คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เร่งขบวนให้เร็วขึ้น รถม้าเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาจนแทบมิได้หยุดพัก
และแล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงชื่อเล่อชวน พวกเขามิได้รีบเร่งที่จะเข้าไปยังซีเซี่ย พวกเขาเพียงเคลื่อนขบวนอย่างช้า ๆ อยู่ในทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา อ้อยอิ่งรำไร
รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง วันที่แปด เดือนหก คำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกส่งไปถึงมือของหยูเวิ่นเทียน
ณ กระโจมแม่ทัพ หยูเวิ่นเต้าได้ออกคำสั่งให้แก่กวนเสี่ยวซี ท่าป๋าเฟิง รวมไปถึงท่าป๋ากงแม่ทัพของซีเซี่ย
“จัดกองทัพให้พร้อม เย็นนี้กินข้าวให้เยอะหน่อย ให้พวกทหารได้กินจนอิ่มท้อง และในราตรีนี้พวกเราจะบุกออกไปนอกด่านเม่าซาน ! ”
“จงจำเอาไว้ว่า เมื่อถึงเวลาพลบค่ำในวันพรุ่งนี้ ศพของเยลู่ฮัวจะต้องตกมาอยู่ในมือพวกเรา ! ”
“เมื่อศึกครานี้จบลง ให้กองทัพของท่าป๋งกงรับหน้าที่ขนเสบียงอาการ ส่วนกองทัพของกวนเสี่ยวซีและท่าป๋าเฟิงให้ตามข้าไปบุกเมืองต้าติ้ง ! ”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง ! ”
ท่าป๋ากงรู้สึกสงสัยมากยิ่งนัก เพราะทหารม้าของเขานั้นมีเพียงแค่ 50,000 นายเท่านั้น กองทัพทั้งหมดที่มีในตอนนี้ มีเพียงแค่ 250,000 นายเท่านั้น แล้วทหารสองแสนกว่านายจะสังหารศัตรูกว่าสามแสนนายได้เยี่ยงไรกัน ?
กองทัพต้าเซี่ยเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
เมื่อศึกครานี้จบลง หน้าที่ของตนจะถูกเปลี่ยนไปขนย้ายเสบียงแทน ส่วนพวกเขากลับตรงไปยังเมืองหลวงของราชวงศ์เหลียว นี่มัน…นี่มันมิบ้าระห่ำเกินไปหน่อยหรือเยี่ยงไรกัน ?