ตอนที่ 1046 ปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบ (2)
องค์รัชทายาทเยลู่ฮัวมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าน้องรองน้องชายแท้ ๆ ของเขาจะถูกยุแยงให้ทรยศเขาโดยฝืมือของซุยเยว่หมิง
ขณะนี้เขายังคงอยู่ในกระโจมแม่ทัพ จนกระทั่งดึกดื่น…ยามที่เขาได้ทราบว่าเยลู่หานยึดครองกองทัพฝ่ายซ้ายได้ทั้งหมดแล้ว เขาถึงได้สบายใจขึ้นมา
“เมื่อใดกองทัพป๋ายหยูจะมาถึง ? ” เขาจัดแจงต้มชาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองท่านราชครูกั้วยวี่ชาน “พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่ กองทัพจากทั้งสามทิศทางก็จะเดินทางมาถึงด่านเม่าซาน แม้ศัตรูจะมีเพียงแค่ 200,000 คน ทว่าอย่าได้ดูถูกดูแคลนพวกเขาเชียว”
สีหน้าและท่าทีของเยลู่ฮัวในตอนนี้แตกต่างกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
สีหน้าของเขาดูจริงจังและหนักแน่นเป็นอย่างมาก “ตามแผนที่ข้าได้วางเอาไว้ ข้าคิดว่าเมื่อกองทัพทั้งสามแสนนายนี้ได้เข้าโจมตีด่านเม่าซานเมื่อใด สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือให้ตีกองทัพของศัตรูให้แตกพ่าย ส่วนมือสังหารตัวจริงเป็นกองทัพ 200,000 นาย นั่นคือกองทัพป๋ายหยูที่ข้าเพียรพยายามฝึกฝนมาอย่างหนัก”
“กองทัพฝ่ายเหนือ 200,000 นายของน้องรองก็ควรจะมาถึงที่นี่แล้วในตอนนี้”
กั้วยวี่ชานมิรู้ว่าเหตุใดหนังตาข้างซ้ายของตนถึงได้กระตุกอยู่ตลอดเวลา “กองทัพป๋ายหยูจะมาถึงในอีกครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ ทว่า…ยังมิได้รับข่าวสารใดของกองทัพฝ่ายเหนือจากสายลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
กั้วยวี่ชานหยุดชะงักชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “องค์ชาย…ท่านคิดว่าองค์ชายรองเยลู่ซู่จะบุกเข้าโจมตีพระราชวังแล้วสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้ไปแล้วหรือไม่ ? ”
เยลู่ฮัวหัวเราะออกมาทันใด “ท่านราชครู…เจ้าเองก็คิดว่าข้าโง่เขลาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
กั้วยวี่ชานจ้องมองเยลู่ฮัวด้วยสายตาที่มีนัยยะแอบแฝง จากนั้นก็ตอบอย่างปากมิตรงกับใจ “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เยลู่ฮัวก้มลงดื่มชา “ลองชิมดูเถิด…นี่คือชาหยุนวู่ ข้าซื้อกลับมาเมื่อคราไปเยือนเมืองกวนหยุน เจ้ามิรู้หรอกว่าเมืองกวนหยุนนั้นเจริญรุ่งเรืองมากเพียงใด เจริญรุ่งเรืองเสียยิ่งกว่าเมืองต้าติ้งของเราเป็นไหน ๆ ”
เขาลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความริษยา “ข้านับถือเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นจากใจจริง เขาสามารถรวบรวมดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนั่นได้สำเร็จ อีกทั้งยังบริหารดินแดนอันไพศาลแห่งนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม ! ”
“คนแบบนี้คือคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ! ”
กั้วยวี่ชานเกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…แล้วเหตุใดท่านถึงลงมือสังหารเยลู่ตานเล่า ? ”
เยลู่ฮัวเม้มริมฝีปากแล้วตอบว่า “เพราะเมื่อข้าขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะปกครองราชวงศ์เหลียวให้รุ่งเรืองเฉกเช่นที่เขาทำ จริงสิ ! เมื่อครู่เจ้าเพิ่งกังวลว่าน้องรองจะสถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้มิใช่หรือ ? เมื่อห้าเดือนก่อน…ข้าได้ส่งที่ปรึกษาส่วนตัวไปให้เขา ซึ่งคนผู้นี้มีนามว่าซุยเยว่หมิง เขา…คือคนของข้า”
กั้วยวี่ชานตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็หันไปมองเยลู่ฮัวพลางครุ่นคิดในใจว่าองค์รัชทายาทผู้นี้มิได้โง่เขลาอย่างที่คิด
เขารู้จักวางแผนไว้ล่วงหน้า ทั้งยังได้เตรียมการณ์บางอย่างที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังมิรู้…หรือว่าแต่ก่อนเขาแสร้งทำเป็นโง่เขลากันแน่นะ ?
ทันใดนั้นเอง สายลับคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา องค์รักษ์ที่รักษาการณ์อยู่นอกกระโจมแม่ทัพได้พาเขาเข้าไปด้านใน
“รายงานองค์ชาย ! กองทัพฝ่ายเหนือ กองทัพฝ่ายเหนือ…”
“กองทัพฝ่ายเหนือมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เยลู่ฮัวยกยิ้มอย่างดีใจ “ฮ่า ๆ ๆ ๆ เมื่อพวกเขามาถึงแล้ว กองทัพในมือของข้าก็จะมีมากถึง 700,000 นาย ! ”
“ต่อให้กองทัพต้าเซี่ยเก่งกาจมากเพียงใด ทว่าพวกเขาจะสามารถต่อสู้กับกองทัพ 700,000 นายของข้าได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ…องค์ชาย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยลู่ฮัวค่อย ๆ เลือนหายไป “มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? เหตุใดเจ้าถึงมิรายงานให้เร็วกว่านี้เล่า ? ! ”
“องค์ชาย…กองทัพฝ่ายเหนือไป เอ่อ…พวกเขาบุกเข้าโจมตีเมืองต้าติ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ว่าเยี่ยงไรนะ… ? ”
“เพล้ง ! ” ถ้วยชาในมือเยลู่ฮัวร่วงหล่นลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดัง “เพล้ง ! ” และแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ
เยลู่ฮัวขมวดคิ้วแน่นเป็นปม จากนั้นก็จ้องมองไปยังสายลับผู้นั้น “มันคือเรื่องจริงใช่หรือไม่ ? ”
“ทูลองค์ชาย…จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“น้องรองข่มเหงข้า… ! ” เยลู่ฮัวชักดาบโค้งออกมา “ส่วนเจ้าก็ไปตายเสีย ! ”
“ชริ้ง ! ” เขาตัดศีรษะของสายลับผู้นั้นจนขาดสะบั้น เขายังคงถือดาบที่เปื้อนโลหิตเล่มนั้นอยู่ กั้วยวี่ชานจึงถอยหลังไปสามก้าวจากนั้นก็ล้มตุบลงไปบนพื้นธรณีด้วยความหวาดผวา
“เอ่ย… เอ่ยออกมาว่านี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? ”
กั้วยวี่ชานรู้เรื่องนี้ที่ไหนกันเล่า เขาจึงครุ่นคิดอยู่ในใจว่านี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหมือนว่าองค์ชายรองจะสถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียจริง ๆ !
เยลู่ฮัวยังคงยืนนิ่ง ปลายดาบของเขาชี้ลงสู่พื้นธรณี โลหิตสีแดงสดยังคงหยดติ๋ง ๆ ลงสู่พื้น
“อ่า…น้องรองก็อยากเป็นฮ่องเต้เหมือนกันสินะ เช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าซุยเยว่หมิงจะพ่ายแพ้ต่อเขาเข้าเสียแล้ว”
“น้องรองเก็บซ่อนความคิดนี้ได้ลึกดีนี่ ยามปกติเรียกข้าว่าพี่ใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ ดูรักใคร่สนิทสนมเสียเต็มประดา แท้จริงแล้วเขาทำเพื่อตบตาข้าสินะ…”
“เขาเป็นฮ่องเต้ ส่วนตัวข้าเป็นผู้รักษาประตูแคว้นให้กับเขา แบบนี้มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
“เข้ามา…ผู้ใดก็ได้เข้ามาหาข้าประเดี๋ยวนี้ ! จงไปเรียกแม่ทัพทั้งสามมาพบข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”
เยลู่ฮัวคำรามเสียงดังลั่น เพียงครู่เดียวหลังจากนั้น แม่ทัพทั้งสามฝ่ายก็ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะทรงพระอักษรพลางหยิบถ้วยชาอีกถ้วยหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็จัดการรินชา พลันรู้สึกว่าชาถ้วยนั้นมิได้หอมหวานเหมือนอย่างเคย
“เป็นเช่นนี้…เมื่อครู่ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่าเยลู่ซู่ก่อจลาจลขึ้นที่เมืองหลวง บัดนี้ชีวิตของฝ่าบาทได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเยลู่ซู่แล้ว…”
แม่ทัพทั้งสามตื่นตกใจมากยิ่งนัก พวกเขาหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ให้ตายเถิด ! พวกข้ามาต่อสู้อยู่แนวหน้าแทบเป็นแทบตาย แต่กลับเป็นเยลู่ซู่ที่ได้บัลลังก์ไปครอง !
“องค์ชาย…พวกเราต้องกลับไปแก้แค้นพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“องค์ชาย…พวกเราไปสังหารเยลู่ซู่เสียก่อนแล้วค่อยกลับมาทำศึกกับต้าเซี่ยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ! ”
“องค์ชาย…พวกเรารบอยู่ที่แนวหน้าต่อไปก็มิเกิดประโยชน์ใดขึ้นมา ข้าน้อยขอบังอาจแนะนำพระองค์ว่า…เสด็จกลับไปยังเมืองต้าติ้งก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ! ”
เยลู่ฮัวลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขาดูเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด “ก็ได้ ! พวกเราจะถอนทัพและเดินทางกลับทันที เสบียงและของหนักทั้งหลายให้ทิ้งไว้ที่นี่ ข้ายอมให้ฟู่เสี่ยวกวนได้ แต่ข้าจะมิยอมให้เยลู่ซู่เป็นอันขาด ! ”
“เร็วเข้า…ตอนนี้และประเดี๋ยวนี้ รีบจัดเตรียมทัพแล้วออกเดินทางทันที ! ”
“พวกเราจะกลับไปทำศึกที่เมืองต้าติ้ง พร้อมกับจับเป็นน้องรอง ข้าอยากจะเอ่ยถามมันด้วยตัวของข้าเองว่า…มันสามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่ ! ”
กองทัพขนาดใหญ่จำนวน 300,000 นาย อยู่ ๆ ก็ถอนทัพอย่างกะทันหันราวกับถูกระเบิด
ในตอนนั้นเอง… กองทัพบกที่หนึ่งของกวนเสี่ยวซีก็ได้เคลื่อนทัพออกจากด่านเม่าซาน สายลับของเขาวิ่งเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อนว่า
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ รายงานด่วนขอรับ ! ”
กองทัพหยุดอยู่ที่เส้นแนวหน้าพอดิบพอดี กวนเสี่ยวซีคิดว่าข่าวการลอบจู่โจมของตนจะแพร่งพรายไปถึงหูของอีกฝ่ายเข้าแล้ว คาดมิถึงเลยว่าจะได้ยินสายลับของตนเอ่ยออกมาเช่นนี้
“ท่านผู้บัญชาการ กองทัพฝ่ายศัตรูได้มีการเคลื่อนไหวแล้วขอรับ บัดนี้กำลังรวมตัวกันอยู่ขอรับ หัวขบวนหันไปทางทิศเหนือ ราวกับว่ากำลังจะหนีไปขอรับ ! ”
กวนเสี่ยวซีรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก เพราะนี่ยังมิได้ปะทะกันเลยด้วยซ้ำ มิหนำซ้ำฝ่ายศัตรูก็ยังมิรู้เลยว่าคืนนี้พวกเขาจะเข้าจู่โจม แล้วเหตุใดพวกเขาต้องหนีด้วยเล่า ?
“เพราะเหตุใด ? ”
“เอ่อ…มิทราบจริง ๆ ขอรับว่าเป็นเพราะเหตุใด”
กวนเสี่ยวซีรู้สึกสับสนมิน้อย ศัตรูจะหนีไปแล้ว ดังนั้นต้องอาศัยช่วงจังหวะที่พวกมันอ่อนแอที่สุดเข้าไปโจมตี
“รีบแจ้งท่านแม่ทัพท่าป๋าเฟิงให้ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีการรบ ให้ทหารม้าของเขาเคลื่อนพลออกจากด่านเม่าซานแล้วรีบตามศัตรูไป พวกเราต้องรีบไปเผชิญหน้ากับศัตรู เร็วเข้า ๆ ๆ ! ”
“รีบไปบอกแต่ละกองว่าให้เร่งความเร็วของม้า ข้าจะเข้าจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ ! ”
“หยูติ้งซาน หยูติ้งเหอจงฟังคำสั่งของข้า พวกเจ้าทั้งสองจงมุ่งหน้าไปก่อน รีบเข้าไปจัดการข้าศึกให้อยู่หมัด อย่าให้พวกมันมีเวลาจัดกองทัพเชียว มิเช่นนั้นพวกมันอาจจะหนีไปได้ ! ”
“รับคำบัญชา ! ”
ในราตรีที่มืดมิด สองกองพลของกองทัพบกที่หนึ่งได้ขี่ม้าห้อตะบึงออกไปยังฐานทัพของศัตรู
จากนั้นกวนเสี่ยวซีก็ได้นำกองทัพบุกตามไปติด ๆ
เมื่อท่าป๋าเฟิงที่ตามอยู่ด้านหลังได้รับทราบข่าว เขาก็ชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ออกคำสั่งว่า “กองทัพทหารม้า…บุกโจมตีข้าศึก ! ”
คำสั่งของเขาพิลึกชอบกล บัดนี้ยังมิทันได้ข้ามด่านเม่าซานออกไปเลยด้วยซ้ำ แล้วพวกเราจะบุกโจมตีข้าศึกได้เยี่ยงไรกัน ?
นี่คือกองทัพชาวฮวงที่ท่าป๋าเฟิงคัดเลือกมาเองกับมือ ทหารทุกนายทำตามคำสั่งของเขาโดยที่มิลังเลเลยแม้แต่น้อย
กองทัพทหารม้าพุ่งพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นก็ได้แซงหน้ากองทัพบกที่หนึ่งไป
“ท่านแม่ทัพกวน เรื่องความดีความชอบในศึกครานี้…ข้าจะมิยอมยกให้เจ้าแล้วนะ ! ”
“ท่าป๋าเฟิง เจ้านี่มันหน้าหนาเสียจริง ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ พวกเราค่อยไปพบกันที่เมืองต้าติ้งเถิด ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยเลี้ยงสุราข้าก็แล้วกัน ! ”