ตอนที่ 1064 เอาเงิน
นี่เป็นอีกราตรีหนึ่งที่นอนมิหลับ
ยามเย็น ทหารเรือกองทัพที่หนึ่งซึ่งบังคับบัญชาโดยจั่วมู่ก็ได้เดินทางมาถึง เหล่าทหารผู้อ่อนล้ายังมิทันได้พักผ่อน เมื่อได้รับคำสั่งจากจั่วมู่ อารมณ์ฮึกเหิมของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นมาในบัดดล
พวกเขาพุ่งเข้าไปท่ามกลางกองทัพของศัตรูอย่างมิกลัวตาย เสียงปืนดังขึ้นมาท่ามกลางพื้นที่อันกว้างใหญ่แห่งนี้อีกครา
กองทัพอสนีบาตของโหลวยิงจงคาดมิถึงว่าฝ่ายศัตรูจะเดินทางมาถึงเร็วเช่นนี้ !
พวกเขาใช้เวลาอันน้อยนิดส่งต่อคำสั่งให้ทั่วถึงทหารทุกนาย
เฮ้อซานเตาก็ได้ออกคำสั่งเช่นกัน ทหารกองนาวิกโยธินที่เหลืออยู่ทุกนาย จงออกจากเมืองไปต่อสู้กับศัตรู !
จากการโจมตีทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน เวลาผ่านไปเพียง 2 ชั่วยาม กองทัพอสนีบาตก็พ่ายแพ้ราบคาบ !
ทหารจำนวน 300,000 นายของโหลวยิงจง ทิ้งซากศพกองเรียงรายเอาไว้กว่าแสนนาย จากนั้นโหลวยิงจงก็ได้พากองทัพที่ร่อยหรอเต็มทีหลบหนีไปทางเหนือ
เฮ้อซานเตาจ้องมองจั่วมู่ จากนั้นก็เผยอยิ้มขึ้น เขาตบลงไปบนบ่าของจั่วมู่เบา ๆ พลางเอ่ยว่า “เจ้าคือสหายที่ดีที่สุดของข้า ! รอให้จัดการเรื่องยุ่งเหยิงเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราเจ้าเอง ! ”
“เจ้าหาอันใดที่เป็นประโยชน์หน่อยมิได้หรือเยี่ยงไร อย่างเช่นให้ข้าใช้อู่ต่อเรือที่สร้างขึ้นในเซี่ยเย๋ก่อนเป็นคนแรก ! ”
“สหายมิใช่เช่นนี้ ! เจ้าอย่าได้ฝันหวานไปเลย เอาล่ะ…ที่เหลืออยู่ข้าต้องให้เจ้าจัดการต่อแล้ว ! ”
“เจ้าจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะไปนอน ! ”
……
เฮ้อซานเตานอนหลับจนถึงรุ่งสาง สีหน้าของเขาถึงได้ดูสดชื่นมีชีวิตชีวามากยิ่งนัก
เขามิได้วิ่งไปหาจั่วมู่ ทว่ากลับส่งคนไปตามซุยเยว่หมิงมา
ณ ห้องทรงพระอักษร
“ท่านเยว่หมิง พวกเราชนะแล้ว ถึงเวลาส่งมอบเงินแล้วสินะ ? ” เฮ้อซานเตานำมือทั้งสองข้างถูกกันไปมา เขาจ้องมองไปยังซุยเยว่หมิงด้วยท่าทางมีความสุข
“ส่งมอบเงินอันใดกัน ? ”
“ไอหยา ! เหตุใดเจ้าถึงความจำเสื่อมมาเสียดื้อ ๆ เล่า ? ตกลงกันแล้วมิใช่หรือเรื่องเงิน 2 ล้านตำลึงนั่น.. ในคลังหลวงมีเงินอยู่ 13 ล้านตำลึง”
ซุยเยว่หมิงยกยิ้มขึ้นมาทันใด “ซานเตา เงินในคลังเหล่านั้นได้ทำการลงบัญชีเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อีกอย่างบัญชีของกรมคลังเหล่านั้น หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลงเมื่อคืนนี้ ก็ได้นำส่งไปยังเมืองกวนหยุนแล้ว”
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ”
เฮ้อซานเตาเบิกตากว้าง จากนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่นราวกับแมวถูกถอนขน “ซุยเยว่หมิง ท่าน…ท่านทำเช่นนี้ก็มิถูกนะ ทหารของพวกเราทุกคนล้วนพากันถวายชีวิตเพื่อปกป้องกำแพงเมืองนี้เอาไว้ ! ”
“การที่ทำเช่นนี้จะให้ข้ากลับไปบอกกับพี่น้องทหารว่าเยี่ยงไร ? นี่ท่านจะทำให้ข้าดูเป็นคนไร้สัจจะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิได้การล่ะ…” เฮ้อซานเตาลุกขึ้นยืนทันใด “ในเมื่อคำเอ่ยของท่านเชื่อถือมิได้ เช่นนั้นข้าจะพาทหารไปปล้น เมืองต้าติ้งแห่งนี้มีผู้คนอีกกว่าครึ่งที่มิได้เดินทางจากไป ข้าจะต้องไปเอาเงิน 2 ล้านตำลึงกลับมาให้จงได้ ! ”
ซุยเยว่หมิงคาดมิถึงว่าเฮ้อซานเตาจะเด็ดขาดเยี่ยงนี้ เขาตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็รีบเอ่ยว่า “ช้าก่อน ! ”
“การปล้นสะดมทรัพย์สินของชาวบ้านเป็นกฎข้อห้ามของทหารต้าเซี่ย เจ้ามิต้องการตำแหน่งผู้บัญชาการทหารแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หากจะต้องผิดคำเอ่ยต่อหน้าพี่น้องทหารเช่นนี้ ข้าจะเอาหน้าจากที่ใดมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารได้อีกเล่า ! ”
ซุยเยว่หมิงมิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี เขาเคยพบเห็นพวกหัวแข็งมามากมาย ทว่ามิมีผู้ใดเป็นถึงขั้นนี้ เขาจึงจ้องมองไปยังเฮ้อซานเตาตาเขม็ง “จะมิมีคราหน้าอีกต่อไปแล้ว ! จงพาทหารของเจ้าไปขนย้ายเงินจำนวน 2 ล้านตำลึงมา เกินแม้แต่อีแปะเดียวก็มิได้ ! ”
เฮ้อซานเตาแสยะยิ้มด้วยความรู้สึกดีใจเสียเต็มประดา “ท่านเยว่หมิง ท่านเองก็เข้าใจเหตุผลต่าง ๆ ได้ดีเลยนี่ เอาเถิดวางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะกระทำอย่างลับ ๆ เจ้างั่งจั่วมู่นั่นจะมิรู้เป็นอันขาด”
ชุยเยว่หมิงมองตามหลังเฮ้อซานเตาที่จากไปแล้ว จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาพลางเอ่ยพึมพำว่าเขามีพรสวรรค์จริง ๆ !
มิน่าเล่า…เจ้าหมอนี่ถึงได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ได้รับการคุ้มครองจากลูกน้อง ว่าแต่…จะทำเยี่ยงไรกับบัญชีดี ?
แน่นอนว่ามิอาจปิดบังฝ่าบาทเอาไว้ได้ สู้ทูลเรื่องนี้ไปโดยตรงเสียยังจะดีกว่า คาดว่าฝ่าบาทคงจะเห็นด้วย
ดังนั้น…รายงานชัยชนะของต้าติ้งและจดหมายร้องเรียนหนึ่งฉบับจึงถูกส่งไปยังชื่อเล่อชวนในเวลาเดียวกัน
……
ณ เขตการปกครองตนเองชื่อเล่อชวน
คณะเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มอย่างเชื่องช้ามิเร่งรีบ
เขามิได้เข้าไปเยือนที่เมืองใด ๆ เพียงตั้งกระโจมนอนในยามราตรีมองดูท้องนภาและผล็อยหลับไปเท่านั้น จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้าสาง รีบปลุกเจี่ยหนานซิง พาเยี่ยนเป่ยซีและฉินปิ่งจงออกไปชมดอกไม้ป่าที่กำลังเบ่งบาน เอ่ยถึงความเป็นมาของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวน และเล่าถึงเรื่องราวในอนาคตของต้าเซี่ย
“ในครานี้พวกเราเดินทางมาท่องเที่ยว จึงมิได้รีบร้อนแต่อย่างใด ดังนั้นหากพวกเจ้ารู้สึกเหนื่อยล้าหรือรู้สึกชื่นชอบบรรยากาศตรงที่ใด ก็สามารถหยุดพักผ่อนได้”
เมื่อได้ชื่นชมบรรยากาศงดงามเช่นนี้ เยี่ยนเป่ยซีก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมามิน้อย แต่เขาก็ยังคงเป็นห่วงเรื่องประเทศอยู่
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…เรื่องสงคราม ณ ราชวงศ์เหลียว คาดว่าน่าจะได้รับข่าวเร็ว ๆ นี้ หลังจากตีราชวงศ์เหลียวแตกแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องดำเนินการต่อไป ทรงเตรียมการรับมือไว้แล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ข้าได้เขียนจดหมายไปให้สำนักอัครเสนาบดีฉบับหนึ่ง ให้แต่งตั้งหนิงหยู่ชุนเข้ารับตำแหน่งจ่งตูราชวงศ์เหลียว…ราชวงศ์เหลียวเยี่ยงนั้นหรือ อืม…เปลี่ยนชื่อเป็นหยวนเป่ยเต้าดีกว่า”
เขาพาเจี่ยหนานซิงเดินหน้าต่อไปพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “หากเป็นเช่นนี้…ต้าเซี่ยก็จะมีทั้งสิ้น 19 มณฑลและ 2 เขตปกครองตนเอง ส่วนหยวนเป่ยเต้าและหยวนตงเต้าอยู่ไกลมากยิ่งนัก รออีกสักสองปีค่อยแบ่งใหม่อย่างละเอียดก็แล้วกัน มิรีบร้อน”
“เรื่องการแต่งตั้งและถอดบุคลากร กรมขุนนางจะจัดการกันเอง ความเห็นของข้านั้นคือให้ชาวเหลียวปกครองชาวเหลียวด้วยกันจะดีกว่า ครานี้พวกเราเดินทางออกมาพักผ่อนหย่อนใจ ดังนั้นจึงมิควรกังวลมากจนเกินไป อ้อจริงสิ ! ข้ารับฟังความคิดเห็นของเจ้า ข้าได้ย้ายเยี่ยนซีเหวินไปรับตำแหน่งจ่งตูที่เมืองไท่หลินแล้ว ปล่อยให้เขาฝึกฝนตนเองอยู่ที่นั่นสักสามปีห้าปี”
“เช่นนี้ก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ว่าข้านั้นใจดำเห็นแก่ตัว ทว่าการเลื่อนขั้นขุนนางควรค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บัดนี้ต้าเซี่ยได้เข้าสู่ความสงบสุขแล้ว มิใช่ว่ามิควรใช้คนหนุ่มอายุน้อย ทว่าประสบการณ์สำคัญมากยิ่งนัก หากเขาได้พบเจอกับปัญหาหรือเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เขาก็จะเข้าใจวิธีจัดการได้ดีขึ้น และเมื่อเข้ามาอยู่ในส่วนกลาง เขาถึงจะสามารถแบกรับเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ได้”
นี่คือสิ่งที่เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
ขุนนางหนุ่มสามารถให้ความสำคัญกับพวกเขาได้ แต่จะให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากมิได้
การที่พวกเขากล้าคิดกล้าทำเป็นเรื่องดี เช่นนั้นก็ค่อย ๆ บุกเบิกมาทีละเขตก็แล้วกัน คิดเสียว่าเป็นการสำรวจไปในตัว
แต่หากจะเข้ามาสู่ศูนย์กลางของประเทศ…หากว่าเขายังคงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิอยู่เช่นนี้ย่อมสามารถแก้ไขความเบี่ยงเบนได้ทันท่วงที แต่หากวันใดวันหนึ่งที่เขามิอยู่แล้ว มันอาจนำความมิแน่นอนมาสู่นโยบายอันมั่นคงของต้าเซี่ยในปัจจุบันได้
“การเลื่อนตำแหน่งขุนนางเหล่านี้จะต้องทำให้เป็นระบบมากขึ้น เมื่อทุกระบบสมบูรณ์ ทุกสิ่งอย่างในต้าเซี่ยก็จะดำเนินการไปตามระบบ เช่นนั้นประเทศถึงจะมั่นคง”
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางฉินปิ่งจง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ท่านพี่…ข้าจะโยกย้ายฉินติ้งฟางไปยังจิงซีหนานเต้า ให้เขาเข้ารับตำแหน่งเต้าถายแทนหนิงหยู่ชุน… หลังจากสิ้นสุดการพักผ่อนครานี้แล้ว ท่านเดินทางไปยังเมืองกวนหยุนกับข้าดีหรือไม่ ? ”
ฉินปิ่งจงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ส่ายหน้าพรืด “ความสามารถของติ้งฟาง…คงเป็นได้เพียงแค่เต้าถายเท่านั้น ข้าอายุมากแล้ว เมื่อกลับไปข้าจะไปสอนหนังสือที่ซีซานดังเดิม”
“ข้าคงสอนได้อีกมิกี่ปีแล้ว สอนได้เท่าใดก็เท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง…หลานสาวของข้าก็อยู่ที่ซีซาน มีนางคอยดูแลอยู่ เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรอก”
นี่คือความตั้งใจจริงของฉินปิ่งจง ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้โน้มน้าวเขาต่อ
เขาหันหลังพลางเอ่ยเรียกคนผู้หนึ่ง “หลิวจิ่น ! ”
หลิวจิ่นรีบวิ่งเข้ามาทันใด “ฝ่าบาท มีอันใดให้กระหม่อมรับใช้เยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“หลังจากกลับไปแล้ว เจ้าจงเลือกนางในและขันทีที่มีความสามารถแล้วส่งไปยังซีซาน ให้พวกเขาคอยดูแลท่านพี่ของข้า ! ”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“น้องข้า…” ฉินปิ่งจงหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าตื้นตันใจ
“ท่านพี่…ให้ข้าได้ทำบางสิ่งให้แก่ท่านบ้างเถิด อีกอย่าง…นโยบายดูแลเมื่อยามชรานั้นข้าเป็นคนร่างมันขึ้นมาเอง ท่านเป็นถึงพี่ของข้า ดังนั้นจะให้ข้าละเลยเรื่องเหล่านี้ได้เยี่ยงไรใช่หรือไม่ ? ”
ฉินปิ่งจงมิได้เสแสร้งใด ๆ เขาจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
การที่มิลืมความตั้งใจในแรกเริ่ม แน่นอนว่าจักรพรรดิเช่นนี้ย่อมจะพาต้าเซี่ยไปสู่ความรุ่งโรจน์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป !
“มองดูท้องนภาคาดว่าจะมีฝน พวกเรารีบกลับกันเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนผลักเจี่ยหนานซิงให้หันหลังกลับ สายตาจ้องมองไปยังสถานที่ไกลออกไป มีเพียงนกหนึ่งตัวบินอยู่บนท้องนภาอันไกลโพ้น นอกจากนั้นดูเหมือนจะมิมีสิ่งใดผิดปกติไปเลย