ตอนที่ 1091 เขาคิดอันใดอยู่กัน ?
“มิใช่ ! ฝ่าบาทมิได้ตรัสว่าหลังจากที่พวกข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วก็ให้ตรงไปยังวังหลวงทันทีหรอกหรือ ? ”
“จ่งตูฝาน จ่งตูเยี่ยน ท่านฉิน… และนายท่านทั้งหลาย ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยแล้ว ฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับทุกท่านที่หอซื่อฟาง นอกจากนี้…ฝ่าบาทได้วางแผนไว้ดังนี้ หอซื่อฟางเป็นสนามที่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ขอให้ทุกท่านเดินทางไปยังหลิวหยุนถาย หอหลิวหยุนจะเป็นสนามที่สอง”
ฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ มองหน้ากันไปมา ฝ่าบาททรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น !
เพื่อต้อนรับแขกเยี่ยงพวกตน คาดมิถึงว่าพระองค์จะจัดงานเลี้ยงขึ้นถึง 2 แห่ง !
เห็นได้ชัดว่าภายในใจของฝ่าบาท พวกข้านั้นมีความสำคัญมากเพียงใด !
งานเลี้ยงแบบนี้ มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องเข้าร่วมให้จงได้
หนิงซือเหยียนเอ่ยต่ออีกว่า “ฝ่าบาทยังได้จัดวางสนามที่สามไว้อีกด้วย เป็นที่คฤหาสน์จิ้งหู ระหว่างที่พวกท่านพำนักอยู่ที่เมืองกวนหยุน ก็พักอาศัยกันที่คฤหาสน์จิ้งหูเถิด ที่นั่นคือคฤหาสน์ของราชวงศ์ ฝ่าบาทตรัสว่า…สนามที่สามนั้นจะร่วมดื่มสุราและทานเนื้อแกะย่างด้วยกันที่คฤหาสน์จิ้งหู ! ”
หนิงซือเหยียนจ้องมองไปทางเยี่ยนซือเต้า แล้วเอ่ยด้วยท่าทีเกรงใจเป็นอย่างมากว่า “ท่านจ่งตูอาวุโสเยี่ยน… นี่ นี่มัน ฝ่าบาทตรัสว่างานเลี้ยงในวันนี้เป็นการรวมตัวของสหายเก่าแก่ ฝ่าบาทตรัสว่าท่านคือผู้อาวุโส หากไปเข้าร่วมด้วยก็เกรงว่าจะมิเหมาะสม พระประสงค์ของฝ่าบาทก็คืออยากจะเชิญท่านไปรับประทานอาหารที่หงหลูซื่อ สำรับอาหารต่างมาจากโรงครัวหลวงทั้งหมด รับประกันความเลิศรสขอรับ”
หนิงซือเหยียนถูฝ่ามือไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพลางเอ่ยต่อว่า “ท่านเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย อายุก็ปูนนี้แล้ว ฝ่าบาทเกรงว่าท่านจะอดหลับอดนอนมิได้น่ะขอรับ ! ”
เยี่ยนซือเต้ามิรู้ว่าจะรู้สึกเยี่ยงไรดี จักรพรรดิพระองค์นี้ จะเชื่อใจมิได้เกินไปแล้ว !
พระองค์คิดอันใดอยู่กันแน่ ?
เยี่ยนซือเต้าครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็สามารถเข้าใจได้ทันที มิใช่ว่าฝ่าบาทกำลังดูแคลนเขา ทว่าฝ่าบาททรงต้องการสังสรรค์กับเหล่าชายหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระองค์ต่างหากเล่า
นอกจากนี้ ฝ่าบาทก็ทรงมีนิสัยที่เรียบง่ายสบาย ๆ ในช่วงหลายปีมานี้ พระองค์อาจจะมิได้รื่นเริงเลยเพราะพระองค์ต้องทุ่มเทเวลาให้กับประเทศต้าเซี่ย
“ท่านแม่ทัพหนิง ข้าเชื่อมั่นในการจัดการของฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ! ”
“ขอบพระคุณมากยิ่งนักที่ท่านจ่งตูอาวุโสเยี่ยนเข้าใจ ! ”
เมื่อขุนนางคนอื่น ๆ โดยเฉพาะเยี่ยนซีเหวินที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันใด
เมื่อตรงนี้เสร็จดีแล้ว ค่ำวันนี้ย่อมมิใช่การเจรจาเรื่องงานราชการ ย่อมเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของสหายเก่าแก่
คนผู้นี้มีเจตนาเหมือนกับในอดีตยามที่อยู่ในจินหลิง
ส่วนขุนนางท่านอื่น ๆ เพียงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาก็เข้าใจในพระประสงค์ของฝ่าบาทเช่นกัน เพียงแค่…
พวกข้ายังมิทันได้ทูลถวายรายงาน แต่ละท้องที่ยังมีปัญหาอีกมากล้น พระองค์มีความสุขอันใดกัน ?
ทว่าเยี่ยงไรเสียการที่ฝ่าบาทมีความสุขก็ย่อมดีกว่าฝ่าบาททรงพิโรธ นั่นจึงทำให้ทุกคนค่อนข้างผ่อนคลายกัน ดังนั้นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคร่งครัดทั้งแปดแห่งต้าเซี่ยจึงมารวมตัวกันที่หงหลูซื่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็เดินทางไปยังหอซื่อฟางภายใต้การนำทางของหนิงซือเหยียน
เสนาบดีอาวุโสทั้งสามสำนักกำลังดื่มชาและนั่งผิงไฟอยู่ในสำนักงาน พวกเขากำลังรอให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาร่วมสนทนา เพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ของแต่ละท้องที่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมในวันพรุ่งนี้
ทว่ารอแล้วรอเล่า รอจนท้องนภาเริ่มมืดลง จัวอี้สิงได้ดื่มชาจนหมดไปแล้วสามกา แล้วจ่งตูทั้งหลายเล่า ?
ในตอนที่พวกเขากำลังคิดมิตกอยู่นั้น เยี่ยนซือเต้าก็ได้เดินเข้ามา
ทุกคนต่างทยอยลุกขึ้นยืน พวกเขาโค้งคำนับและเอ่ยทักทาย จัวอี้สิงเชิญให้เยี่ยนซือเต้านั่งลงข้าง ๆ เตาผิง ทันใดนั้นถึงได้ทราบว่านี่คือลูกไม้ที่ฝ่าบาทสร้างขึ้นมา
“มิใช่ตกลงกันแล้วหรอกหรือว่าจะจัดงานเลี้ยงที่หอโบตั๋น ? ” จัวอี้สิงจ้องมองไปทางเมิ่งฉางผิง “กำหนดการเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ เหตุใดกรมพิธีการถึงมิแจ้งอันใดเลยเล่า ? ”
เมิ่งฉางผิงเองก็บริสุทธิ์ใจมากเช่นกัน สองมือของเขาแบออกพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน กรมพิธีการก็มิได้รับข่าวใด ๆ เช่นกัน งานเลี้ยงก็ยังอยู่ในระหว่างการเตรียมการ”
“นี่…”
เยี่ยนซือเต้ายิ้มน้อย ๆ “เกรงว่าพวกท่านคงจะถูกฝ่าบาทหลอกแล้ว คงเป็นฝ่าบาทที่ลงมือโดยพระองค์เอง ฝ่าบาทคงเกรงว่าการจัดงานเลี้ยงในวังหลวงจะดูเป็นทางการเกินไป พระองค์ประสงค์ให้ดูเป็นกันเองเล็กน้อย”
เยี่ยนซือเต้ายังเอ่ยต่ออีกว่า “ยามอยู่ที่จินหลิง สถานที่ที่ฝ่าบาทชอบไปมากที่สุดก็คือหอซื่อฟาง ในยามนั้นฝ่าบาทกับฉินโม่เหวิน หนิงหยู่ชุน เยี่ยนซีเหวิน และคนอื่น ๆ ต่างก็ไปสังสรรค์ด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง พวกเขามักจะร้องเพลงร่ำสุรากันที่หอซื่อฟาง ข้าคาดว่าฝ่าบาททรงมีความคิดเยี่ยงนี้ พระองค์คงต้องการไล่ตามช่วงเวลาในวันวาน”
“แต่ว่า…ฝ่าบาทในยามนั้นยังมิได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิ ทว่าตอนนี้พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิของประเทศต้าเซี่ย เหตุใดต้องทำเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้ด้วยกัน ! ”
จัวอี้สิงลุกขึ้นยืน “มิมีทาง ! ข้าจะไปตามฝ่าบาทให้เสด็จกลับมา”
หนานกงอี้หยู่ยื่นมือออกไปจับชายเสื้อของจัวอี้สิงเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านจัว…หากท่านคิดว่าฝ่าบาทละทิ้งหน้าที่ของจักรพรรดิ ท่านค่อยไป มิเช่นนั้น…ท่านก็นั่งลงเสีย”
จัวอี้สิงตื่นตกใจขึ้นมาทันใด จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ลงได้ จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทก็ถูกบังคับให้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิอย่างดันทุรัง พระองค์อยากจะวิ่งหนีไปข้างนอกอยู่ทุกวี่ทุกวัน หากมัดพระองค์ไว้แน่นจนเกินไป จนทำให้พระองค์ร้อนรน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พระองค์จะทิ้งหน้าที่และวิ่งหนีไปอย่างแท้จริง
“เฮ้อ… ! ” จัวอี้สิงทรุดตัวลงนั่ง ทันทีที่ยกจอกชาขึ้นมา ก็เห็นเสนาบดีกรมพิธีการเซียวยวี่โหลวเร่งรุดเดินเข้ามาด้านใน
“ทุกท่าน ข้าน้อยเพิ่งได้รับคำสั่งมาจากหลิวจิ่น เขาเอ่ยว่า…เอ่ยว่างานเลี้ยงที่หอโบตั๋นนั้น ขอเชิญจ่งตูอาวุโสเยี่ยนและทุกท่านไปเสพสำราญ ส่วนฝ่าบาท… ฝ่าบาททรงหนีไปแล้วขอรับ ! ”
……
……
ณ วังหลัง สวี่หยุนชิงกำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่กับเหล่าลูกสะใภ้
หลิวจิ่นวิ่งเข้าไปด้วยท่าทีร้อนรน จากนั้นก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าของสวี่หยุนชิงดังตึก จนสวี่หยุนชิงตื่นตกใจ “มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
จิตใจของสวี่หยุนชิงบีบรัดทันพลัน นางถลึงตัวลุกขึ้นยืน ทั้งยังจับตัวหลิวจิ่นให้ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน “ฝ่าบาทเป็นอันใด ? ”
“ไทเฮา…ฝ่าบาททรงหลบหนีออกจากวังหลวงไปโดยพลการแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไอหยา…” สวี่หยุนชิงปล่อยตัวหลิวจิ่นออก สายตาของนางเหลือบมองไปทางลูกสะใภ้ทั้งหลาย ลอบคิดในใจว่าบุตรชายก็เป็นเช่นกันเยี่ยงนั้นหรือ ที่บ้านมีภรรยาที่สวยสดงดงามอยู่แล้ว 10 นาง แต่ก็ยังอยากออกไปหาเศษหาเลยด้านนอก…เรื่องนี้คงต้องช่วยบุตรชายแก้ต่างสักหน่อยแล้ว
“ฝ่าบาทหลบหนีออกจากวังไปเที่ยวเล่นมิใช่เรื่องใหญ่อันใด เจ้าจะตื่นตกใจเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”
“เรื่องเป็นเยี่ยงนี้พ่ะย่ะค่ะ เดิมทีฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าเสนาบดีที่เชิญมาที่หอโบตั๋น แต่ว่า…แต่ว่าฝ่าบาทได้ทิ้งจดหมายเอาไว้ให้กระหม่อมฉบับหนึ่ง ตรัสว่าพระองค์จะจัดงานเลี้ยงที่หอซื่อฟาง กระหม่อมคิดว่า…กระหม่อมต้องไปปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
เป็นเช่นนี้นี่เอง บุตรชายมิได้ออกไปหาเศษหาเลย เยี่ยงนั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่อันใด
“มิใช่เรื่องใหญ่อันใด เจ้าอยากไปก็ไป อย่าให้กระทบกับการเล่นไพ่นกกระจอกของพวกข้า ! ”
“กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หลิวจิ่นวิ่งออกจากวังหลวงไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ซินเหยียนจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เสด็จแม่เพคะ ฝ่าบาทดื่มสุราได้จำกัด เกรงว่าวันนี้ฝ่าบาทคงจะเมามายเป็นแน่ เยี่ยงนั้นให้หม่อมฉันไปดูดีหรือไม่เพคะ ? ”
สวี่หยุนชิงลูบไพ่นกกระจอกไปมาพลางครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยออกว่า “เขาต้องการหวนคำนึงถึงอดีต หากเจ้าต้องการไปดู…ก็จะได้เห็นเขาในอีกมุมมองหนึ่ง เจ้าต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วย ดังนั้นในความรู้สึกของข้า อย่าไปเลยจะดีกว่า”
สวี่ซินเหยียนพยักหน้าน้อย ๆ พลางครุ่นคิดว่าหากตนไปคงจะมิเหมาะสมสักเท่าใดนัก ผู้ใดจะทราบได้กันว่าเขาจะทำอันใดที่ด้านนอกนั้นหรือไม่ ?
ทว่าหากพบเจอจริง ๆ จะลากเขากลับมา หรือทำเป็นมองมิเห็นดี ?
ทำเช่นนั้นก็มิต่างอันใดกับการเพิ่มปัญหาให้ตนเองเลยนี่ !
“เยี่ยงนั้น…ข้ามิไปแล้ว”
“อือ…เรื่องบางเรื่อง หลับตาไปข้างหนึ่งน่าจะเป็นการดียิ่งกว่า สุดท้ายใจของเขาก็อยู่ที่พวกเจ้า เพียงแต่ภาระบนบ่าของเขานั้นหนักอึ้ง ภายในจิตใจคงค่อนข้างกลัดกลุ้ม ทว่ามิสามารถระบายกับพวกเจ้าได้ เยี่ยงนั้นก็ปล่อยให้เขาออกไปด้านนอกเพื่อปรับสภาพจิตใจสักหน่อยเถิด”
หากฟู่เสี่ยวกวนทราบเข้า เกรงว่าจะเป็นตนที่รู้สึกเสียเปรียบมากกว่า