ตอนที่ 124 หลิ่วเยียนเอ๋อร์
เขาคือฟู่เสี่ยวกวนอย่างนั้นหรือ ?
นอกจากพวกเยี่ยนซีเหวินแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่เคยมีใครเคยพบฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน แต่ล้วนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของชายผู้นี้มามิน้อย เนื่องจากชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือ
เสวี่ยเฟยเฟยก็ตกใจเช่นกัน มิน่าเล่าเขาจึงมิสนใจนาง เนื่องจากตนมิได้ร้องออกมาตามบทที่เขาแต่งขึ้นนั่นเอง
เสวี่ยเฟยเฟยเอ่ยด้วยท่าทีเขินอาย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ดัดแปลงให้บทกวีเหล่านี้เกิดมลทิน ขอคุณชายได้โปรดอภัยด้วย”
“อ้อ มิใช่เช่นนั้นหรอก ข้าเพียงกล่าวออกไปเท่านั้น เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ คำพูดของคุณชายนั้นข้าน้อยเข้าใจดี เดิมทีข้าน้อยเข้าใจเพียงเปลือกนอก หาได้เข้าใจในเเก่นแท้ ข้าน้อยจะทำการปรับปรุง หากคุณชายมีข้อชี้แนะใด ๆ เชิญแนะนำข้าน้อยด้วยเถิด”
ข้าจะแนะนำได้เยี่ยงไรเล่า ?
เจ้าร้องไปตามที่ต้องการก็เพียงพอ
เสวี่ยเฟยเฟยกล่าวขออภัยกับฟู่เสี่ยวกวนเรียบร้อยแล้วก็เดินไปหยิบพิณ อาจารย์หูฉินจึงกล่าวขึ้นว่า “เฟยเฟยเพียงแค่ต้องการขับร้องออกมาให้ดีที่สุด ในโลกนี้มีเพียงเจ้าที่เข้าใจในความหมายกวีนี้ลึกซึ้งที่สุด จงอย่าได้ถ่อมตัวเลย อ้อ…อีกประเดี๋ยว ไปคุยกับข้าที่หัวเรือหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“ย่อมได้ขอรับ”
หูฉินยิ้ม “เจ้าช่างหน้าตาเหมือนกับแม่ของเจ้านัก” เมื่อกล่าวจบนางก็เดินจากไป และบรรยากาศรอบข้างก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
บัดนี้ม่านลูกปัดได้ถูกเปิดออกอีกครา มีผู้คนสามคนเดินเข้ามา
เมื่อพวกเขาเงยหน้ามองจึงตกตะลึง หยูเวิ่นหวินเองก็เช่นกัน นางตกตะลึงและกะพริบตาถี่ ๆ ชายหนุ่มผู้นั้นมองไปยังต่งชูหลาน จากนั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นจึงเดินไปนั่งในตำแหน่งมุมห้อง
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมองหน้ากัน หยูเวิ่นหวินยักไหล่ แสดงความหมายว่านางเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาที่นี่
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้น คิ้วหนา ตาคม สวมใส่ชุดสีเขียวแปลกตา ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนมีดาบอยู่ในมือ อีกทั้งสายตาน่าเกรงขาม คาดว่าน่าจะเป็นผู้คุ้มกันของเขา
“เขาเป็นใครกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“ท่านพี่ของข้าเอง”
อ้อ องค์ชายห้านั่นเอง
ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าขันทีเจี่ยเคยกล่าวไว้ ทางที่ดีควรไปเข้าเฝ้าองค์ชายห้า เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ?
เยี่ยนซีเหวินก็รู้จักองค์ชายห้า แต่เขาก็มิเข้าใจเอาเสียจริงว่าวันนี้คือวันอะไร องค์หญิงเก้าเดินทางมาที่นี่ ต่อจากนั้นองค์ชายห้าก็ตามมา เดิมทีคิดว่าวันรุ่งขึ้นตนจะต้องเดินทางไปจากเมืองหลวงแล้ว ค่ำคืนนี้เขาจะมาดื่มสุราและประพันธ์บทกวีและเชิญให้แม่นางเสวี่ยเฟยเฟยขับร้องเสียหน่อย แต่มองดูแล้วคงมิได้ อีกทั้งที่แห่งนี้ยังมีผู้มากความสามารถด้านกวีอย่างฟู่เสี่ยวกวนอยู่ด้วย
ตนอย่าได้ทำการใดเพื่อให้ตัวเองขายหน้าเลย
ไม่นานต่อมา เสียงกู่เจิงก็ดังขึ้น
หลังม่านนั้นปรากฏสตรีชุดสีแดงย่างกรายออกมา นางสูงกว่าเสวี่ยเฟยเฟยเล็กน้อย หน้าตาดูดี นางแบกดาบเอาไว้ที่ด้านหลัง มองไปแล้วช่างมีเสน่ห์
“ข้าน้อย หลิ่วเยียนเอ๋อร์” นางมองมายังฟู่เสี่ยวกวนและกล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์จะขอขับร้องบทกวีคิ้วแข็งโค้ง คุณชายโปรดให้คำชี้แนะด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง หากกล่าวอะไรไปมากอาจทำให้เดือดร้อนได้ ดังนั้นอยู่นิ่ง ๆจะดีกว่า
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจนิ่งเงียบไม่กล่าวคำใดออกมา ไม่ว่ากวีคิ้วแข็งโค้งนี้จะร้องออกมาเป็นเยี่ยงไร เขาก็จะกล่าวเพียงคำว่าดีเท่านั้น !
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ปลดดาบของนางออก บ่าวรับใช้นำกู่เจิงถือเข้ามา มิใช่หนึ่งเครื่อง แต่เป็นสามเครื่อง
หลิ่วเยียนเอ๋อร์นั่งลง จัดระเบียบเสื้อผ้า นิ้วของนางวางลงบนสาย “ตึ๊ง……” เสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้น
องค์ชายห้านำมือลูบคาง เขามิได้มองหลิ่วเยียนเอ๋อร์ แต่กลับมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
เขาก็คือฟู่เสี่ยวกวน !
หน้าตาใช้ได้ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็นพิเศษ น้องสาวของเขานั้นแต่เดิมเป็นพวกหัวสูง แต่ครานี้ตาบอดหรือไงกัน ?
น่าจะมิใช่ เจ้านั่นมีความรู้อยู่มิน้อย คาดว่าน้องสาวคงจะถูกความสามารถของเขาดึงดูด เสด็จแม่เองก็มิรู้ว่าเป็นอะไรไป กำชับให้เราเรียนรู้จากเขาอีก !
จะให้เรียนอะไรจากเขางั้นหรือ ?
ศึกษาหาความรู้จากตำรา ?
สิ่งนี้มิน่าเป็นไปได้ เสด็จแม่รู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร
เขาเก็บสายตากลับมา ยกจอกสุราขึ้นดื่มแล้วมองไปยังหลิ่วเยียนเอ๋อร์
หลิ่วเยียนเอ๋อร์เอ่ยปากร้อง “หนึ่งนั้นคือดอกผกาลั่งเยวี่ยน อีกหนึ่งนั้นคือหยกงามไร้ที่ติ……” เมื่อสิ้นเสียงขับร้อง นางจึงลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
แต่กู่เจิงอีกสองเครื่องยังคงบรรเลงอยู่ นางย่างกรายไปทางผู้ชมและร่ายรำไปตามทำนองเพลง ชุดสีแดงพริ้วไสว ช่างงดงามยิ่ง
ทำนองเพลงนี้ต่างจากในชาติก่อน ฟู่เสี่ยวกวนทำการเปรียบเทียบกันแล้วรู้สึกว่าไม่น่าฟังเหมือนในชาติที่แล้ว แต่ระบำนี้ช่างน่าดูนัก หลิ่วเยียนเอ๋อร์คงจะฝึกฝนกังฟูมาก่อน เอวนางอ่อนช้อยแต่มีพลัง
ดังนั้นผู้คนจำนวนมากต่างก็จ้องนางตาไม่กะพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยามหน้าท้องถูกเปิดขึ้นเป็นระยะ ยามเต้นตามลีลา ชายหนุ่มมากมายล้วนจ้องตาเป็นมัน
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป เขาเพียงแค่รับชมเท่านั้น
เมื่อสิ้นเสียงบรรเลง หลิ่วเยียนเอ๋อร์ก็จบการร่ายรำลง นางยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนโดยมิกล่าวคำใด
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปรบมือหรือเอ่ยคำใดเช่นกัน
ผ่านไปหลายวินาทีจึงมีเสียงปรบมือดังขึ้น อ้อ ที่แท้ควรต้องทำเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแต่มิเข้าใจว่าเหตุใดต้องรอให้ผ่านไปหลายวินาทีกัน
“คุณชายฟู่ หลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
เอาละ มาแล้ว ! จางเหวินฮั่นเองก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยออกมาเพียง “เยี่ยม ! ”
“จริงหรือ ?”
“แน่นอน”
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ถอนหายใจ “มองดูแล้วเยียนเอ๋อร์คงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้คุณชายฟู่ได้แนะนำติชม”
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตากว้าง ข้ามิได้กล่าวว่าเยี่ยมไปแล้วหรือไร ?
“เยียนเอ๋อร์ฝึกขับร้องตั้งแต่อายุ 3 ปี ฝึกกังฟูอายุ 4 ปี ฝึกดาบอายุ 5 ปี บัดนี้ 16 ปีแต่ยังไร้จุดหมาย โชคดีที่ท่านหูต้าเจียรับเลี้ยงไว้ เมื่อได้ยินกวีคิ้วแข็งโค้งนี้เป็นคราแรกก็รู้สึกชื่นชอบนัก จึงได้ฝึกฝนระบำให้เข้ากับจังหวะทำนองเพลง เยียนเอ๋อร์เพียงแต่ต้องการให้คุณชายฟู่ได้ติชม เพียงแต่…คุณชายหาได้ให้คำแนะนำไม่ เยียนเอ๋อร์ไม่มีความสามารถพอ มิเหมือนท่านพี่เฟยเฟย”
เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทีเศร้าโศก บรรดาผู้คนอื่นก็เริ่มไม่พอใจ นางได้อ้อนวอนร้องขอถึงเพียงนี้ เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนเจ้าไม่แนะนำสิ่งใดแก่นางสักหน่อย ?
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ขับร้องได้ดีเยี่ยม นางจะเข้าตาฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ งั้นหรือ ?
แม้แต่องค์ชายห้าเองก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนเย่อหยิ่งไปเสียหน่อยหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จะทำเยี่ยงไร จึงได้ลุกขึ้น
“เจ้านั้นขับร้องได้ไพเราะยิ่ง จะให้ข้าตำหนินั้นคงมิอาจกล่าวออกมาได้”
“หากคุณชายมิอาจพูดออกมาได้ เช่นนั้นก็ขับร้องออกมาเป็นไร ? ” คำพูดของหลิ่วเยียนเอ๋อร์บัดนี้ดูเปลี่ยนไป
“ขับร้อง ! ขับร้อง ! ฟู่เสี่ยวกวน ! ”
พวกเขาเหล่านี้นึกสนุกอะไรกัน !
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเองก็เช่นกัน พวกนางมิเคยได้ยินฟู่เสี่ยวกวนขับร้องเพลงมาก่อน
“เจ้าจะไม่ร้องสักหน่อยหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขมขื่น แต่องค์ชายห้ากลับยิ้มอย่างมีความสุขยิ่ง
อยากรู้เสียจริงว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป !