ตอนที่ 134 กลับไปเสียดีกว่า
เช้าวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนถูกหามเข้าไปยังพระราชวัง
ร่างกายของเขาถูกพันไปด้วยผ้า เหลือไว้เพียงแต่บริเวณหน้า
บรรดาเสนาบดี ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารมองมายังเขา จึงได้รู้ว่าเขามิได้แสร้งทำ เนื่องจากผ้าพันแผลนั้นยังมีรอยเลือดสีแดงซึมออกมา มองดูช่างน่าสงสารนัก
ชือเฉาหยวนมองดูฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนพื้นกระดานด้วยสายตาเย็นชา เขานึกแค้นใจยิ่งที่มือสังหารสองคนนั้นไร้ความสามารถ เพียงแค่คนที่ไร้ทักษะเช่นนี้ยังไม่มีทางปลิดชีพได้สำเร็จ !
ตระกูลชือร่ำรวยมหาศาล ต่อให้บ่อนทั้งสองนั้นถูกองค์ชายห้าเผาทำลายสิ้นแล้วเป็นเยี่ยงไร ? มีเพียงเขาตายไปเท่านั้นจึงจะลบล้างได้
ฝ่าบาททรงรับรู้อาการที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน ทรงขมวดคิ้วและนึกในใจว่าเขายังไม่หายอีกหรือ ?
“ช่วย ช่วยประคอง ข้า ลุกขึ้นที ! ” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง บ่าวรับใช้สองคนเข้ามาประคองเขา ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางฝ่าบาทแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม ฟู่เสี่ยวกวน ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอประทานอภัยฝ่าบาทที่มิสามารถคุกเข่าถวายบังคมได้”
“หาได้เป็นไรไม่ ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ข้ายังไม่บังคับให้เจ้าเข้าวัง จงกลับไปรักษาตัวที่บ้านเถิด”
“ทูลฝ่าบาท หากรอให้ร่างกายข้าหายดีคงต้องใช้เวลานานทีเดียว กระหม่อมอยากทูลขอฝ่าบาทกลับไปยังหลินเจียง หนึ่งนั้นเพราะห่างบ้านเกิดมานาน อยากกลับไปดูท่านพ่อท่านแม่ สองนั้นเพราะสภาพอากาศและปัจจัยอื่นเอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูร่างกาย คาดว่าหลังกลับไปข้าจะสามารถรักษาตัวได้ดีขึ้น กระหม่อมน่าจะกลับมายังเมืองหลวงได้เร็วขึ้น”
เขาจะไปแล้วหรือ ?
องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ บัดนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงค่อนข้างจะวุ่นวาย อีกทั้งตัวเขาก็มีส่วนร่วมในความวุ่นวายครั้งนี้ด้วย หากส่งเขาออกจากเมืองหลวงเสียก่อนก็คงเป็นการดี
ดังนั้นจึงได้พยักหน้าและตรัสว่า “ตามนั้น ข้าให้เจ้ากลับไปพักฟื้นที่หลินเจียง หลังจากหายดีแล้ว ข้าจะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้แก่เจ้า”
“กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาท… กระหม่อม ออกเดินทางได้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? กระหม่อมอยู่ที่นี่ต่อไปก็อาจรกหูรกตาผู้อื่นได้”
“ไปเถิด ! ” ฝ่าบาททรงโบกมือกับเขา
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
“ทุกท่าน เสี่ยวกวนต้องขอตัวกลับไปรักษาตัวเสียก่อน ขอทุกท่านดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อช่วยฝ่าบาทบรรเทาภัย อากาศเริ่มเย็นขึ้น ท่านเสนาบดีชือ ข้าเห็นว่าท่านสวมใส่ชุดค่อนข้างบาง ร่างกายท่านรับไหวหรือ ? ท่านอย่าได้จ้องข้าตาเขม็งเช่นนั้น ข้าเพียงแต่หวังดี เอาล่ะ ทุกท่าน ไว้พบกันใหม่ในโอกาสหน้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจสายตาอาฆาตแค้นของพวกเขา แต่กลับนอนอยู่บนกระดานไม้อย่างสำราญใจ บ่าวรับใช้สองคนแบกเขาออกไปจากพระราชวังจินเตี้ยน สายตาของเขาแลเห็นท้องฟ้าสีครามแทรกไปด้วยก้อนเมฆขาว
……
……
ค่ำคืนเงียบสงัด ณ จวนฟู่แห่งเมืองหลวง งานเลี้ยงเล็ก ๆ สิ้นสุดลง ฟู่เสี่ยวกวน หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานได้นั่งอยู่ที่ศาลาชิงซิน
“ระหว่างทางเจ้าจงเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว หวงเตี๋ย หงจวงและลวี่ซั่งล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือดาบยอดเยี่ยม ข้ามิเข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธความหวังดีจากท่านพี่ หากระหว่างทางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าจะให้ข้าและชูหลานทำเยี่ยงไร ?”
หยูเวิ่นหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีมิพอใจ แม้แต่ในเมืองหลวงนี้ยังมีคนกล้าลงมือทำร้ายเขา หากออกจากเมืองนี้และเดินทางกลับไปยังหลินเจียง จะไม่ลงมือง่ายขึ้นหรือ ?
ต่งชูหลานเองก็มิเข้าใจเช่นกัน การที่เขาเอาชีวิตรอดมาได้จากเหตุการณ์นี้นับว่าโชคดีมหาศาล หากเกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอีกครั้ง นางเกรงว่าจะมิอาจจะรอดพ้นไปได้อีกแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้กังวลกันไปเลย ข้าชี้แจงกับองค์ชายห้าแล้ว แท้จริงแล้วสถานการณ์ในเมืองหลวงของพี่เจ้าในตอนนี้นั้นอันตรายมากกว่าข้าเสียอีก หากข้านำตัวนักดาบทั้งสามไปด้วย แล้วเกิดมีผู้ใดคิดลงมือกับหอชิงเฟิงหยู่จะทำเยี่ยงไรเล่า ? อีกทั้งความปลอดภัยของข้า มีซูม่อและศิษย์พี่ของเขาทั้งสองคุ้มกันก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองนั้นมิชอบเปิดเผยตัวตน พวกเจ้าจึงไม่รู้เท่านั้นเอง”
ต่งชูหลานมองไปยังซูม่อที่ยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อพยักหน้าตอบรับ
ในเมื่อมีคนจากสำนักเต๋าถึง 3 คนคอยคุ้มกันเขา หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานจึงได้วางใจมากขึ้น
“เจ้าทั้งสองจงตั้งใจดูแลร้านเสื้อผ้าให้ดีเถิด นอกเหนือกจากด้านการเงินแล้ว ด้านอื่น ๆ มิต้องไปยุ่งเกี่ยว ให้พี่รองของเจ้าเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง เขาจะบริหารได้ดี เมื่อถึงปีใหม่ ข้าจะเดินทางมายังเมืองหลวง ส่วนหลังปีใหม่จะอยู่ต่อหรือกลับไปนั้น คงต้องคอยดูสถานการณ์ที่ภูเขาซีซาน…”
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหยูเวิ่นหวินแล้วกล่าวว่า “เรื่องแต่งงานขององค์หญิงสาม ตัดสินใจเยี่ยงไรงั้นหรือ ? ”
“ชาวฮวงส่งทูตที่ชื่อว่าท่าป๋าชิวมารังควานอีกครั้งหนึ่ง เขามิเห็นด้วยกับเรื่องที่ข้าเสนอต่อองค์ฝ่าบาท จึงได้ถูกเสด็จพ่อขับไล่กลับไป ท่าป๋าชิวเดินทางออกจากเมืองหลวงได้สิบกว่าวันแล้ว กล่าวว่าเรื่องนี้จักต้องหารือกับท่าป๋าเฟิง หากว่าท่าป๋าเฟิงมิเห็นด้วย เห็นทีคงต้องทำสงคราม”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเรื่องการแต่งงานนี้ค่อนข้างแปลก หากแคว้นฮวงแข็งแกร่งจริง เหตุใดจึงต้องทำการแต่งงานเชื่อมโยงความสัมพันธ์เล่า? สู้ทำสงครามบุกเข้ามาโดยตรงจะไม่ง่ายกว่าหรือ?”
จากที่ฉินปิ่งจงกล่าว แคว้นฮวงนี้หลังรวบรวมอำนาจในพื้นที่ทุ่งหญ้าได้ ก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งมีสัญญาร่วมมือกับแคว้นอี๋ เหตุผลที่พวกเขาไม่ทำสงครามโดยตรงกับราชวงศ์หยูคือสิ่งใดกัน ?
ฉินปิ่งจงนั้นเข้าใจดีว่าการทำสงคราม นอกจากจะสิ้นเหลืองทรัพย์สินเงินทองแล้ว ยังต้องเสียกำลังคนอีกด้วย หากทั้งสองฝ่ายอยู่อย่างสงบสุข ไม่ทำสงครามต่อกันคงเป็นเรื่องดีสำหรับประชากร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนยังคงความคิดเห็นเดิมของเขา เขาคาดว่าภายในของแคว้นฮวงนั้นไม่มั่นคง หากท่าป๋าเฟิงทำสงครามตอนนี้ อาจส่งผลต่อบัลลังก์ของเขา แต่หากการแต่งงานสำเร็จ ท่าป๋าเฟิงอาจได้รับผลสำเร็จในด้านการเมืองไม่น้อย
แต่บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงมิอาจตัดสินได้อย่างมั่นใจ
“เขาจักต้องเห็นด้วยเป็นแน่” หากตนไม่ได้คาดเดาผิดไป ท่าป๋าเฟิงจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
“หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว หากพวกเจ้ามีเวลา จงมาที่นี่บ้าง หากจวนนี้มิมีผู้อาศัยเป็นเวลานานก็คงจะเสื่อมโทรมลงไปอีก”
ต่งชูหลานยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกข้าต้องมาอย่างแน่นอน เงินจำนวนหลายแสนตำลึงเชียว”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หัวเราะขึ้น “หลังข้ากลับไปยังซีซาน จักส่งผู้ดูแลมาสัก 10 คน พวกเจ้าทั้งสองจะได้พักผ่อนอย่าสบายใจ ส่วนเรื่องบ่าวรับใช้ เจ้าทั้งสองจัดการกันเอง บัดนี้ก็วันที่สิบสามเดือนสิบเอ็ดแล้ว ห่างจากปีใหม่เพียงแค่เดือนกว่า ๆ พวกเราจะได้พบกันในเร็ววัน”
แม้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะไม่ยาวนาน แต่สำหรับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินนั้นช่างนานแสนนาน
ต่งชูหลานนึกย้อนไปว่า ตนเดินทางไปยังหลินเจียงเมื่อเดือนสาม และพบเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนที่หอหลินเจียงเป็นคราแรก บัดนั้นนางมิได้ยินดีนัก แต่บัดนี้นึกขึ้นมา ช่างมีความสุขยิ่ง
หรือนี่คงเป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนดไว้ !
หากตนมิได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่หลินเจียง หรือหากว่าฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้นมิใช่อันธพาล คงมิถูกนางเหวี่ยงตกลงไป และคงมิเกิดเรื่องราวต่าง ๆ ตามหลังมา
เช่นนั้นทั้งสองคงมิได้พบกัน และมิอาจเดินร่วมกันมาถึงวันนี้ได้
แต่เนื่องจากเหตุผลใดกัน ?
ต่งชูหลานคิดว่าคงเป็นเพราะตนเกิดความสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวน
หยูเวิ่นหวินเองก็เช่นกัน
หากต่งชูหลานมิได้กล่าวกับตนว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่น่าสนใจ นางคงมิเกิดความสงสัยขึ้น
และเนื่องจากความสงสัยนี้เอง นางจึงได้เดินทางไปยังหลินเจียง ต่อมาก็ได้เดินทางไปหลินเจียงอีกครั้งและอีกครั้ง กระทั่งกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้
แท้จริงยังมีผู้คนอีกมากมายที่มีความสนใจและสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวน เช่นเยี่ยนเสี่ยวโหลว
ครั้นเมื่อกลับจากหงซิ่วจาวในคราก่อน บทเพลงคิ้วเเข็งโค้งก็แพร่หลายเป็นที่นิยมไปทั่ว เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยากเห็นนักว่าในสมองของฟู่เสี่ยวกวนมีสิ่งใดอยู่บ้าง
แต่นางมีนิสัยต่างไปจากต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน นางเป็นคุณหนูในบ้านตระกูลใหญ่ที่ยึดถือตามคำสั่งสอนของท่านพ่อท่านแม่ ดังนั้น นางจึงทำได้เพียงสงสัย อีกทั้งครุ่นคิดอยู่ในใจทุกวัน นางมิอาจรู้ตัวได้ว่าตนเองตกอยู่ในความครอบงำเสียแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเขาจะเดินทางจากไปในวันรุ่งขึ้น
เมื่อได้ยินว่าเขาบาดเจ็บสาหัส
นางอยากเดินทางไปพบเขาเสียจริง !
ได้ยินมาว่าบทความของความฝันในหอแดงตอนสุดท้ายจะวางจำหน่ายในวันรุ่งขึ้น
เรื่องราวความรักของเจี๋ยเป่าหยูและหลินไต้ยวี่คงได้สุขสม เนื่องจากในนิยายทุกเรื่อง คู่รักมักลงเอยกันด้วยดีตลอดมา