ตอนที่ 179 เยี่ยมญาติ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนที่หนึ่งวันที่หนึ่ง ยามเช้าตรู่
เมืองจินหลิงหลังจากที่มีเสียงดังตลอดทั้งคืนตอนนี้ราวกับยังหลับใหลอยู่ในความฝันและยังมิตื่นขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ตื่นแล้ว และยังคงออกกำลังกายดังเก่าอยู่ภายในจวน
ซูซูตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ นางนั่งอยู่บนหลังคาศาลา สองเท้าเปล่าที่เรียบเนียนราวกับหยกกวัดแกว่งไปมา นางมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนที่วิ่งอยู่ในลานเป็นครั้งคราว ในใจคิดว่าคนผู้นี้ช่างว่างนัก… หากการวิ่งสามารถทำให้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้ เยี่ยงนั้นเหตุใดนักรบในใต้หล้ายังต้องนั่งสมาธิที่น่ารำคาญกัน ดังนั้นนางจึงใช้เวลาที่มากมายนี้มองไปยังท้องฟ้าทางตะวันออก
ท้องฟ้าโปร่งหลังพายุหิมะ ท้องฟ้าอันห่างไกล ทันทีที่แสงสีแดงลอยขึ้นมา ใบหน้าของซูซูก็ถูกอาบไปด้วยแสงที่เรืองรอง
ใบหน้าขาวละเอียดคิ้วโก่งแช่มช้อย ดวงตากระจ่างใส มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ปากเล็กยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ จนเผยให้เห็นฟันเงางามสองสามซี่
นางกำลังขบคิด…
ขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนต่งคืนนั้น เดิมที นี่คือช่วงข้ามปี
นางบีบถุงแดงในแขนเสื้อที่ฮูหยินต่งให้มา และนี่คืออั่งเปาปีใหม่
ความทรงจำในวัยเด็กแล่นเข้ามาในใจ คลุมเครืออยู่เล็กน้อย มันก็นานมากแล้วที่มิได้กลับไปคิดถึง คาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ เลือนหายไป ในยามที่ได้คิดถึงมันอีกครา จึงได้พบว่ามันเลือนลางไปหมดแล้ว
นางงอขาขึ้นมา และใช้สองแขนโอบกอดเอาไว้ จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ไม่จ้าและไม่ค่อยอบอุ่น และนึกถึงคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนที่บอกกับนางในเมื่อคืนวาน…
เยาวชนที่แตกต่าง ก็จะเกิดความสับสนที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม เยาวชนจะเติบใหญ่ และความสับสนจะหายไป หลังจากค่ำคืนที่มืดมิดผ่านไป แสงอาทิตย์ก็จะลอยขึ้นมาดังเดิม !
ใช่แล้ว… หลังจากค่ำคืนที่มืดมิดผ่านไป แสงอาทิตย์ก็จะลอยขึ้นมาดังเดิม
เหมือนกับในตอนนี้
อือ คนผู้นี้ปลอบโยนผู้อื่นได้ดี มิเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่มักจะกล่าวว่า เจ้าจะไปคิดถึงมันอีกทำไม มิเหมือนกับศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่รองมักจะกล่าวว่า อยู่กับปัจจุบันมิดีกว่าหรือ ? มิเหมือนกับศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สามมักจะกล่าวว่า คิดมากไปมีแต่จะทำให้เจ้าลำบาก
พวกเขาต่างเป็นเด็กกำพร้า สำหรับอดีตที่ผ่านมา ท้ายที่สุดก็ไม่ขอที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับความทรงจำที่ย่ำแย่นี่อีก นี่…อาจจะเป็นความสับสนระหว่างการเติบโต
ซูซูสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพราะคำพูดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน นางถึงรู้สึกว่าตนเองได้เดินออกมาจากความทรงจำที่ย่ำแย่นั้นได้แล้ว ราวกับได้ลบหมอกควันที่อยู่ภายในใจออกไปจนหมดสิ้น ความรู้สึกเริ่มผ่อนคลาย แม้แต่แสงอาทิตย์นี้ ก็ราวกับสวยงามยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นก็เกิดลมปราณขึ้นที่จุดตันเถียนของซูซู หลังจากนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างกำเริบเสิบสาน หลังจากนั้นซูซูก็ยืนขึ้น ทันใดนั้นบริเวณรอบตัวนางระยะสิบเมตรก็ดูแปลกออกไป
ซูเจวี๋ยย่างก้าวไปในอากาศ
ซูโหรวก็บินไปถึงหลังคาที่อยู่ตรงกันข้ามในทันที
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดฝีเท้า และมองไปทางซูซูอย่างประหลาดใจ
ชุดกระโปรงสีเหลืองบนร่างนางเคลื่อนไหวโดยไร้ลม หิมะที่อยู่บนหลังคากระเพื่อมทันพลัน หิมะที่อยู่บริเวณนั้นหมุนรอบกายของนาง หลังจากนั้นความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงไม่นาน หิมะโดยรอบก็ลอยวน หลังจากนั้นก็ห่อหุ้มซูซูเอาไว้ในใจกลาง ราวกับมีมนุษย์หิมะอยู่บนหลังคาก็มิปาน
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึงอย่างยิ่ง และหันมองไปทางซูเจวี๋ย ใบหน้าของซูเจวี๋ยดูกังวล ลืมแม้แต่จะจัดหมวกที่เบี้ยวไปเล็กน้อย มือที่ปักผ้าของซูโหรวหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเห็นร่องรอยระมัดระวังที่หัวคิ้วของนาง
“นี่คือ… ?”
ผ่านไปหลายอึดใจ ซูเจวี๋ยจึงโดดลงมา เขาลงมาที่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนและจัดหมวกเบา ๆ “เฮ้อ…ศิษย์น้องหกทะลวงได้อีกแล้ว ! ”
“ทะลวงอะไรกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมีทั้งหมด 9 ขั้น แต่เดิมศิษย์น้องหกฝึกจนถึงขั้นที่ 2 แล้ว แต่อาจารย์มิให้นางฝึกต่อ แต่ในตอนนี้…คาดมิถึงว่านางจะทะลวงได้โดยที่มิต้องฝึก สถานการณ์ที่ได้มองในตอนนี้ เกรงว่าจะมิใช่ปัญหาของการทะลวงขั้นที่ 3”
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมอย่างมาก ให้ตายเถอะ มนุษย์ที่เหนือมนุษย์ !
หากตนมีเวลาว่างก็จะนั่งสมาธิ เขาจดจำคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางเอาไว้ในหัวใจ แต่ผ่านไปนานหลายเดือน กลับมิรับรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าลมปราณได้เลย แต่ซูซูมิจำเป็นต้องฝึก ก็ยังมิอาจยับยั้งการทะลวงเอาไว้ได้
“นี่… จะมีปัญหารึไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้า “ท่านอาจารย์กล่าวว่า… อย่าไปฝืน ปล่อยไปตามธรรมชาติ ในตอนนี้ศิษย์น้องหกเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ย่อมมิมีปัญหาแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองมนุษย์หิมะนั้นอีกครา ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง มนุษย์หิมะก็ทอประกายแสง งดงามอย่างมาก ท่าทางเหมือนผู้มีฝีมือสูงส่งอย่างแท้จริง “แล้วเหตุใดนางจึงถูกหิมะห่อไว้เยี่ยงนั้น ? ”
“เพราะ…นางร้อนเกินไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ คำอธิบายนี้ เกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ
เอาเถอะ มาดูกันว่าการทะลวงของผู้มีฝีมือนั้นจะเป็นเยี่ยงไร
แต่หลังจากนั้นก็มิมีอื่นใดอีก
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หิมะหนาที่ห่อหุ้มซูซูละลายลงอย่างช้า ๆ ร่างของนางมีหมอกบาง ๆ ปกคลุม หมอกนั้นลอยอ้อยอิ่งไปตามสายลมยามเช้าจากนั้นก็สลายไป หลังจากนั้นซูซูก็โผล่ออกมา ชุดกระโปรงเหลืองนั้นมิเปียกเลยแม้แต่นิด
นางลืมตาขึ้น ยังคงมองดวงอาทิตย์ในรุ่งอรุณ เผยยิ้มหวานหยด จนเหมือนว่าแสงอาทิตย์จะสิ้นแสงไปเสียแล้ว
นางนั่งลงอีกครา สองเท้าเปล่ากวัดแกว่ง ก้มหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เฮ้เฮ้ มองอะไรกัน มิเคยเห็นหญิงงามหรือ นกโง่บินนำหน้าเจ้าไปไกลถึงเพียงไหนแล้ว เหตุใดเจ้ายังมิรีบบินให้เร็วขึ้นอีก ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหมดคำพูดฉับพลัน นี่มันจะโจมตีกันเกินไปแล้ว
เขาก้มหน้าและออกตัววิ่งต่อ ในใจกลับคิดว่าหากเด็กนี่โตขึ้นมิรู้เหมือนกันว่าจะมีชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะนางอีกเท่าใด
……
…..
ต่งชูหลานได้มาถึงจวนฟู่ในช่วงเช้า เมื่อวานเรื่องราวของทั้งสองได้กำหนดลงในขั้นแรกแล้ว ในช่วงหลายวันนี้ก็รอให้ฟู่ต้ากวนมาเมืองหลวงเพื่อสู่ขอ เมื่อได้รับการยินยอมจากบิดามารดา ในวันนี้นางก็ต้องพาฟู่เสี่ยวกวนไปเยี่ยมญาติ
มิได้เป็นทางการ แต่ก็สำคัญอย่างมาก
ตระกูลต่งและตระกูลหยวนต่างก็เติบโตในจินหลิง ทั้งสองตระกูลมีบางคนเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก และก็มีบางคนทำกิจการของตนเอง
สิ่งสำคัญในครานี้มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกเพื่อแสดงให้บรรดาญาติได้รับรู้ว่าเรื่องของตนและฟู่เสี่ยวกวนได้รับคำยินยอมจากบิดาและมารดาแล้ว เยี่ยงนั้นบรรดาป้า ๆ ก็จะมิริหาหนทางจับคู่นางกับคุณชายตระกูลใหญ่คนไหนอีก ประการที่สองก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนจะอยู่ที่เมืองหลวงและดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางของราชสำนักเป็นเวลานาน ขุนนางจากตระกูลต่งและตระกูลหยวนมีมิมากและตำแหน่งก็มิสูง ถึงแม้จะช่วยอะไรฟู่เสี่ยวกวนมิได้ แต่ก็อย่าได้สร้างปัญหาเพิ่ม
หนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างยุ่งยากก็คือท่านลุงรองและท่านน้าสามของต่งชูหลาน ท่านลุงรองต่งเสียงฟางดำรงเป็นหงหลูซื่อช่าวชิงคนปัจจุบัน เป็นขุนนางขั้นหก กล่าวไปแล้วเมื่อเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้าก็ยังต่ำกว่าอยู่ครึ่งระดับ
ท่านน้าสามหยวนซุ่ยดำรงเป็นซือหลางจงฝ่ายขวาของสำนักตรวจสอบพระราชโองการ และเป็นขุนนางขั้นหกเช่นกัน อยู่ภายใต้การปกครองของเยี่ยนเป่ยซีโดยตรง ดังนั้นท่านน้ารองจึงเป็นคนที่กระตือรือร้นให้ต่งชูหลานแต่งกับเยี่ยนซีเหวินมากที่สุด
ต่งชูหลานได้เกริ่นเรื่องของญาติให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังโดยละเอียดแล้วในเมื่อวาน เพียงหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเก็บอารมณ์ของตนเองไว้ให้ดีเพราะอาจจะมีบางคนที่แสดงความมิพอใจออกมา
นางรู้นิสัยของฟู่เสี่ยวกวนดี เป็นผู้ที่จะมิทำให้ตนเองเดือดร้อน แต่อย่างไรแล้วญาติเหล่านี้ก็เป็นผู้อาวุโส หวังว่าเมื่อถึงเวลาแล้วหากมิน่าเกลียดเกินไป ก็จะอดทนกันไป
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจ อย่างไรก็มิเหมือนกับชือเฉาหยวนที่เป็นคนนอก ส่วนเรื่องขาดทุน…ได้แต่งงานกับต่งชูหลานจะขาดทุนเล็กน้อยหรือได้รับความไม่ยุติธรรมเล็กน้อยก็มิเป็นไร
“เจ้าดูสิว่ายังต้องเตรียมสิ่งใดอีกหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“พอแล้ว นี่มิใช่การเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการ…หลังจากที่พวกเราแต่งงานกันเสร็จแล้วก็ยังต้องไปอีกครา”
“ได้ เยี่ยงนั้นพวกเราเตรียมออกเดินทางเถิด”
ภายใต้การจัดการของชุนซิ่ว ข้ารับใช้ในจวนต่างก็ใส่ของขวัญจนเต็มรถม้า ออกเดินทางด้วยรถม้า 4 คัน เดินทางผ่านเมืองจินหลิงที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากการเฉลิมฉลองในคืนวันปีใหม่ หลังการจุดพลุเมื่อคืนวานทำให้หลงเหลือเศษสีแดงไว้เกลื่อนพื้น และออกเดินทางไปเยี่ยมญาติของตระกูลต่งและหยวน
มาพร้อมกันกับซูซูและชุนซิ่ว
ซูซูมาเพราะสงสัย นางรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจเล็กน้อย และนางยังมิมีโอกาสได้เห็นตึกรามบ้านช่องในเมืองหลวง ส่วนชุนซิ่วมาเพื่อจัดการเรื่องการขนของขวัญของข้ารับใช้ นอกจากนี้นางยังอยากมาเห็นว่าญาติของตระกูลต่งแท้จริงแล้วเป็นเยี่ยงไร ? มิฉะนั้นหากนายท่านมาถามในภายหลัง นางจะตอบกลับไปได้เยี่ยงไรเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิถนัดกับการไปมาหาสู่เยี่ยงนี้ ในชาติก่อนตนเป็นเด็กกำพร้า จะมีญาติที่ไหนกัน
หลังจากผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวด ก็กลายเป็นหมาป่าเดียวดาย แม้แต่แฟนสาวสักคนก็ยังมิมี ดังนั้นจึงมิมีญาติเพิ่มเติมเข้ามา
ดังนั้นยามที่อยู่ในจวนของลุงใหญ่น้ารองและอาสามของต่งชูหลาน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอันใดมาก ส่วนใหญ่จะเป็นต่งชูหลานที่ยิ้มหวานให้กับพวกเขาและเปิดตัวฟู่เสี่ยวกวนอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นก็กล่าวอวยพรปีใหม่และพูดคุยกับพวกเขาอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงบอกลาและไปบ้านหลังถัดไปทันที
เครือญาติเหล่านี้แทบจะทำกิจการอยู่ในจินหลิงทั้งสิ้น บุตรชายต่างก็เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษา มีเพียงบุตรชายคนที่สามของลุงใหญ่ต่งซิวมู่ที่ได้เป็นจิ้นซื่อในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 5 จากภาวะขาดตำแหน่งในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอของอำเภอเหอหยูในหนิงโจวที่ทางแม่น้ำหวงเหอ ก็ถือว่าได้เข้ามาสู่เส้นทางราชการแล้ว
พวกเขาต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมาช้านาน ทราบเพียงว่าเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงที่มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ดังนั้นสีหน้าของญาติเหล่านั้นจึงดูชื่นชอบอย่างมาก ส่วนเบื้องหลัง พวกเขากลับยังคงส่ายหน้า รู้สึกว่าต่งชูหลานฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนั้น ต่งคังผิงเองก็ผ่านอะไรมามาก แต่เหตุใดจึงตัดเยี่ยนซีเหวินที่ถืออำนาจแห่งตระกูลเยี่ยน แล้วมาเลือกฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในสายว่างงานผู้นี้กัน
ในสายตาของพ่อค้า การลงทุนครานี้ถึงแม้จะพูดมิได้ว่าขาดทุน แต่ก็มิได้ผลกำไรอันใด แต่หากไปลงทุนกับอำนาจแห่งตระกูลเยี่ยน แม้จะเป็นเหล่าเครือญาติก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วยบ้าง
ในตอนนี้แสงสว่างนั้นก็ได้มอดไปแล้ว ทุกคนต่างเสียใจ แต่เยี่ยงไรแล้วนี่ก็คือเรื่องในบ้านของต่งคังผิง แม้แต่พี่ใหญ่อย่างต่งหมิงฝานก็พูดอะไรมิได้มากนัก
“ต่อจากนั้นพวกเราต้องไปบ้านของท่านลุงรอง เมื่อวานที่ได้พูดถึงหงหลูซื่อช่าวชิงให้เจ้าฟัง เมื่อวานหลังจากที่เจ้าไปท่านพ่อก็บอกกับข้าว่าท่านลุงรองจะมิทำให้เจ้าลำบากใจ เพราะเรื่องที่เจ้าจะไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลฤดูหนาวก็มีหงหลูซื่อเป็นผู้ดำเนินการ ท่านลุงรองทราบว่ามีเจ้าเป็นผู้นำ ท่านลุงรองฉลาดหลักแหลมยิ่ง ถึงแม้ตำแหน่งขุนนางจะต่ำกว่า แต่มีมิตรในราชสำนักอย่างกว้างขวาง คิดว่าเขาคงทราบความหมายของสิ่งนี้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนจับมือของต่งชูหลานขึ้นมากุม แล้วเอ่ยอย่างขำ ๆ “เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลกับข้าเลย กลับกันน่าจะเป็นเจ้าที่เหนื่อยมากกว่า ลำบากเจ้าแล้ว”
ต่งชูหลานยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้ามีก้อนเมฆสีแดงสองก้อนมาประดับ “ข้ามิเหนื่อยเลย ข้ารู้สึกดีมากจริง ๆ ในอดีตข้ากังวลเรื่องท่านพ่อท่านแม่ แต่ในตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็ได้แก้ไขไปแล้ว ได้ความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เป็นเจ้าที่ทำมากยิ่งกว่า…เสี่ยวกวน ทั้งหมดนี้มันคุ้มค่า”
ซูซูที่มีถังหูลู่อยู่ในมือนั่งอยู่ในรถม้าทางด้านหลังเลียไปพลางกล่าวไปว่า “เรื่องนี้…น่าเบื่อยิ่ง ! ”
ชุนซิ่วหันหน้าไปมองซูซู สาวน้อยผู้นี้ราวกับชื่นชอบทานของหวานเป็นอย่างมาก “ของหวานทานมาก ๆ จะทำให้อ้วน”
ซูซูเลิกคิ้วสวยทั้งสอง ลอบคิดว่าอย่างศิษย์พี่รองที่ทานเนื้อต่างหากจึงจะอ้วน