ตอนที่ 183 โครงการทดลองปฏิรูป
รัชสมัยเซวียนลี่วันที่เก้าต้นเดือนสอง
เมื่อวานยังมีแสงอาทิตย์สว่างสดใส วันนี้กลับมีหิมะโปรยปรายเสียแล้ว
ซูซูกับซูโหรวนั่งในศาลาเถาหรานอย่างเบิกบานใจ วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาว เปียขนาดเล็กที่ถักบนหัวทั้งสองข้างนั้นได้แกะออกแล้ว เปลี่ยนเป็นทรงผมหางม้ามัดรวบไว้ข้างหลัง
แต่นางยังคงไม่สวมรองเท้า ตอนนี้นางนั่งบนม้านั่งโยกเยกไปมาอย่างซุกซน
“ศิษย์พี่สาม ท่านรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างมาก เขาคนนี้….เป็นคนร้ายกาจจริงหรือ ? “
เมื่อวานซูซูได้ยินบทสนทนาระหว่างต่งคังผิงกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว แน่นอนว่ามีหลายเรื่องที่นางฟังไม่รู้เรื่อง ดังนั้นจึงรู้สึกว่าพวกเขามีความสามารถสูงส่งและลึกล้ำ
ซูโหรวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเบิกตาอันเรียวเล็กเหลือบมองซูซู “ศิษย์น้องหก อย่ากล่าวโทษว่าศิษย์พี่ไม่ได้เตือนเจ้า ความสงสัยนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็เป็นได้”
“ศิษย์พี่พูดแบบนี้ก็มิถูก อาจารย์เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เส้นทางการฝึกยุทธ์เริ่มต้นจากความสงสัย ? ทุกคนต่างก็หวังอยากโผบินเหมือนดั่งนก หวังอยากมีการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเหมือนวานร หวังอยากมีพละกำลังมหาศาลดุจหมีดำ ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มเลียนแบบจนค่อย ๆ เริ่มมีวรยุทธ์ และเริ่มมีกำลังภายในด้วย สุดท้ายก็สามารถโผบินอย่างอิสระเหมือนดั่งนกจริงหรือไม่ ? ดังนั้น….ความสงสัยเป็นตัวสร้างความก้าวหน้าต่างหาก ! “
ซูโหรวหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นสายตาแหลมคมขึ้น “แต่ถ้าหากเจ้าเกิดความสนใจต่อใครคนหนึ่ง หรือชายหนุ่มที่เพิ่งมีอายุ 16 ปี เจ้าต้องไปทำความรู้จักกับเขาให้มากก่อน อย่างเช่นตอนนี้ หลังจากที่เจ้าเริ่มรู้จักกับเขามากขึ้น เจ้าก็จะพบว่าหัวใจของเจ้าไม่มีคนอื่นแล้ว นี่คือ…ความสนใจที่ทำให้หญิงสาวต้องทุกข์ทรมาน ! “
ซูซูเบิกตากว้างและมึนงงชั่วขณะ จากนั้นนางก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“ศิษย์พี่ช่างหยอกเก่งจริง ๆ อย่างเขาจะมีความสามารถทำแบบนั้นได้หรือ ? เป็นเพราะรู้จักกับเขามากขึ้นก็จะถูกเขาดึงดูดความสนใจเยี่ยงนั้นหรือ ? เลยเอาเขาเก็บไว้ในหัวใจ ? และยินยอมแต่งงานกับเขา ยินยอมคลอดลูกลิงให้กับเขา โดยไม่สนใจอะไรทุกอย่างอย่างนั้นหรือ ? ไม่เอาหรอก เรื่องนี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย”
ครั้งนี้ซูโหรวไม่ตอบกลับ แต่นางเหลือบมองซูซูเป็นบางครั้งบางคราว ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าปักผ้าลายเป็นยวนยางต่อ
เมื่อคิดถึงตอนนั้น มิใช่ว่าตัวเองก็สงสัยว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่ชอบปรับหมวกให้ตรงอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ ?
ราวกับย้อนกลับไปเมื่อก่อน ซูโหรวอดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้มออกมา
เหมือนกับในหมวกของศิษย์พี่ใหญ่ซ่อนความลับอะไรบางอย่าง นางชอบถือกระบองไม้ไผ่กระบอกหนึ่งแทงใส่หมวกใบนั้น ศิษย์พี่ใหญ่มักพูดว่าอย่างท้อแท้ จากนั้นเขาก็จะยกมือทั้งสองข้างปรับหมวกใบนั้นให้ตรงเสมอ
เมื่อก่อนซูโหรวชอบที่จะทำเช่นนี้ เพราะศิษย์พี่รองบอกว่าในหมวกของศิษย์พี่ใหญ่นั้นมีนกน้อยตัวหนึ่ง––ซึ่งเมื่อได้ยินแบบนี้ ซูโหรวก็มีสีหน้าแดงก่ำทันที มีนกน้อยอะไรที่ไหนเล่า เป็นนกตัวใหญ่ต่างหาก !
ครั้งนั้นศิษย์พี่ใหญ่เคืองโกรธมาก และด่าทอนางอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก แถมยังสั่งสอนศิษย์พี่รองด้วย แต่จนถึงตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังคงไม่บอกเลยว่า เหตุใดถึงเลี้ยงนกตัวหนึ่งไว้ในหมวก
ตอนนี้สาวน้อยคนนี้ยังเด็กมาก เพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในสำนัก นางเลยมีความไร้เดียงสามากกว่าผู้หญิงรุ่นเดียวกันที่อยู่โลกภายนอก ทั้งที่ยังไม่สามารถปักปิ่นเป็นหญิงสาวสมบูรณ์ก็มีความคิดหาผู้ชายสักคนแต่งงานแล้ว ดังนั้น…สักวันนางต้องถูกตกหลุมพรางแน่ และไม่สามารถปืนขึ้นมาได้ด้วย
สำหรับเรื่องนี้แล้วซูโหรวทำได้เพียงตักเตือน ส่วนในอนาคตซูซูจะตกหลุมพรางของฟู่เสี่ยวกวนหรือเปล่านั้น นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ซูซูยังคงแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปมาพร้อมจ้องมองทะเลสาบซวนอู่ที่มีหิมะตกหนักทับถมกัน ไม่นานนางก็ยื่นมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากใต้แขนอาภรณ์ ซูโหรวเงยหน้ามองขึ้น และเห็นเป็นหนังสือเรื่องความฝันในหอแดง
……
เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยง เยี่ยนซีเหวินก็มาถึงจวนฟู่ ซึ่งข้างหลังของเขามีเยี่ยนเสี่ยวโหลวติดตามหลังมาด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวมาที่จวนฟู่เลย ในใจจึงมีความรู้สึกกังวลและสงสัยเป็นอย่างมาก ตลอดทางนางเอาแต่ครุ่นคิดตลอดว่า ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำอะไรอยู่ ? ฉลองปีใหม่เขาอยู่เมืองหลวงคนเดียวจะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่ ?
จากนั้นคำพูดของพี่ชายก็ทำร้ายจิตใจนางอย่างแรง –– “น้องสาว พี่ชายขอรับประกันว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นชายหนุ่มที่หาพบยาก แต่เจ้าช้าไปก้าวหนึ่งแล้วล่ะ ! “
ต่อมานางเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกังวลเป็นเรื่องไม่จำเป็น ที่แท้ฟู่เสี่ยวกวนฉลองวันปีใหม่ที่จวนต่ง เมื่อวานเขายังติดตามต่งชูหลานไปเยี่ยมเยือนญาติของตระกูลต่งด้วย –– ซึ่งหมายความว่า เรื่องของพวกเขาสองคนได้ถูกกำหนดแล้ว และตอนนี้ก็ไม่สามารถขัดขวางได้
ถึงแม้เยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าแต่ความรู้สึกผิดหวังได้เกาะกุมเต็มหัวใจของนางแล้ว นางก้มหน้าคิด แต่ในใจก็รู้สึกไม่ยินยอม แต่ต่อให้ไปพบฟู่เสี่ยวกวนที่จวนฟู่จะมีความหมายอะไร?
มันเป็นความรู้สึกวุ่นวายใจเท่านั้น !
“ความหมายของพี่ชายคือ เจ้าสามารถทอดทิ้งคำว่าอารมณ์ได้หรือไม่ ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่น่าคบหาเป็นสหายคนหนึ่ง เหมือนกับต่งชูหลาน เมื่อข้าทอดทิ้งคำว่าอารมณ์ หัวใจก็จะปล่อยวาง และรู้สึกว่าต่งชูหลานเป็นคนที่น่าคบเป็นสหายคนหนึ่ง”
รถม้ายังคงขับเคลื่อนไปจวนฟู่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ นางยังคงคิดไม่ออกว่าต้องปรับทัศนะคติแบบไหนไปพบฟู่เสี่ยวกวน และละทิ้งคำว่าอารมณ์นี้!
หลินไต้ยวี่มองออกหรือไม่ ? นางทำไม่ได้
เซวี๋ยเป่าชายมองออกหรือไม่ ? นางก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
หลินไต้ยวี่ได้รับความรักจากเจี๋ยเป่าหยู แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับความสุข ส่วนเซวี๋ยเป่าชายไม่ได้รับความรักจากเจี๋ยเป่าหยู แต่สามารถครอบครองเจี๋ยเป่าหยู
ถึงแม้สุดท้ายจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่อย่างน้อยพวกนางก็เคยครอบครอง
จากนั้นความสงสัยต่อฟู่เสี่ยวกวนยิ่งเพิ่มทวีคูณมากขึ้น เยี่ยนเสี่ยวโหลวพบว่าตัวเองยิ่งถลำลึกเช่นกัน แต่วันนี้คิดอยากปีนขึ้นจากหลุมพราง กลับตระหนักได้ว่าไม่มีสถานที่ให้หยุดพักแล้ว
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจหนึ่งเฮือก และครุ่นคิดในใจว่าเจ้าหมอนั่นเป็นปีศาจทำร้ายจิตใจคน !
น้องสาวได้พบกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกที่หลานถิงจี๋ ในตอนนั้นพวกเขาไปดื่มเหล้าที่หอซื่อฟางด้วยกัน จากนั้น….จากนั้นเยี่ยนซีเหวินก็รู้เลยว่าหัวใจของน้องสาวฝากไว้บนตัวของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
นางอ่านแต่เพียงหนังสือความฝันในหอแดง สิ่งที่นางซักถามมากที่สุดคือเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน และสิ่งที่นางตั้งใจฟังมากที่สุดก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนด้วย
ความสงสัย….คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เด็กสาวเริ่มรู้จักกับความรัก ในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่นี้ เด็กสาวแบบนี้ มีเพียงน้องสาวของเขาเพียงคนเดียว !
เช่นนั้น จะทำอย่างไรจึงจะสามารถช่วยเหลือน้องสาวได้บ้าง ?
ซึ่งครึ่งหลังในการเดินทาง เยี่ยนซีเหวินเอาแต่ครุ่นคิดเพียงประเด็นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนต้อนรับสองพี่น้องเยี่ยนซีเหวินในหลีเฉินซวน เขาต้มชาหลิ่งหนานเหยียนหนึ่งกา
หลังจากที่เยี่ยนซีเหวินเดินเข้าจวนฟู่ก็คอยสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ามองน้องสาวแวบหนึ่ง โดยที่บนใบหน้าแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นอกเสียจากสีหน้าเป็นมิตร และดวงตาคู่นั้นก็ไม่มีสายตาตกตะลึงในความงามของน้องสาวด้วย
เจ้าหมอนี้….เยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นถึงหนึ่งในสามสาวงามของเมืองหลวงเชียวนะ เพียงแค่หน้าตา ก็สามารถยืนเคียงคู่หยูเวิ่นหวินกับต่งชูหลานได้อย่างมิเสียเปรียบเลย ส่วนเรื่องความรู้การศึกษา น้องสาวของตัวเองก็มีการศึกษาสูงกว่าหยูเวิ่นหวินกับต่งชูหลานมากนิดหน่อย––แต่เขากลับเหลือบมองเพียงแค่แวบเดียว !
“ชานี้มีรสชาติเลิศ เหมาะกับการดื่มในช่วงฤดูหนาวมาก เชิญท่านทั้งสองลิ้มลอง”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาแล้วยื่นให้กับเยี่ยนเสี่ยวโหลวและเยี่ยนซีเหวิน พลางพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนข้าได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว สถานที่ที่อำเภอเหยามีที่ดินจำนวนมาก และที่โรงงานซีซานก็สามารถก่อสร้างเพิ่มได้เล็กน้อย ฉะนั้นข้าจึงมีความในใจอยากคุยกับพี่ซีเหวิน ถ้าหากพี่ไม่ชอบ เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อนก็แล้วกัน”
เยี่ยนซีเหวินยกถ้วยชาขึ้นมาดมเล็กน้อย ก็เพียงแค่ชาหลิ่งหนานเหยียนเท่านั้น นึกว่าอะไรเสียอีก ของแบบนี้ที่จวนของตระกูลเยี่ยนมีเยอะถมเถไป
“เชิญพูดต่อ”
“ข้าคิดว่าการค้าสำคัญมากกว่าการเกษตร….ข้ารู้ว่าเจ้าต้องตกใจมาก แต่ช่วยฟังที่ข้าพูดจนจบด้วย” เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นสายตาตกใจของสองพี่น้องก็ยิ้มแย้มขึ้น “ปัญหาอยู่ที่กำลังการผลิตที่ล้าหลัง และเครื่องมือทางการเกษตร ซึ่งปัญหานี้นำไปสู่การขาดแคลนจำนวนเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ประสิทธิภาพของพวกเขาค่อนข้างต่ำ ตระกูลของข้าเป็นเจ้าของที่ดิน เรื่องนี้ข้าทราบดี ต่อให้พวกเขาทุ่มเทความพยายามทั้งปี เกษตรกรคนหนึ่งก็สามารถทำผลผลิตคิดเป็นเงินตำลึงแล้ว คงได้เพียงแค่สี่ถึงห้าตำลึงเท่านั้น เจ้าฟังไม่ผิด เป็นเพียงเงินที่พวกเราใช้จ่ายค่าเหล้าที่หอซื่อฟางเท่านั้น”
“แต่หากดำเนินการตามข้า ถึงแม้เงินตอบแทนแต่ละวันของเกษตรกรจะแค่ 20 อีแปะ หนึ่งเดือนก็ได้เพียง 600 อีแปะ หนึ่งปีก็ได้เพียง 7,200 อีแปะ ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นเงิน 7 ตำลึง ซึ่งมากกว่ารายได้ไถนาสองสามตำลึง แต่ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญ ตำลึงนี้ก็จะยิ่งเพิ่มเท่าตัว”
“ดังนั้นหากเปรียบเทียบอย่างง่ายดายคือ สำหรับพวกเขาแล้ว รายได้ของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น สำหรับบิดาของเจ้าที่เป็นขุนนางแล้ว ภาษีที่เก็บจากการเกษตรก็ยังมิเท่าภาษีที่เก็บจากโรงงานของข้าเลย”
“ความคิดของข้าคือ หลังจากที่โรงงานในอำเภอเหยาเปิดกิจการ เจ้าสามารถพึ่งพาสถานะขุนนางของบิดา ไปพูดเกลี้ยกล่อมเหล่าเกษตรกรให้พวกเขาล้างเท้าแล้วเข้ามาทำงานที่โรงงาน นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น และไม่นานความรุ่งเรืองจะบังเกิดขึ้นที่อำเภอเหยาจนราชสำนักต้องได้ยิน ในตอนนั้นคงได้คุณูปการยิ่งใหญ่แน่”
เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่นานก็ซักถามขึ้นว่า “แล้วไร่นาจะทำอย่างไร ? คงไม่ปล่อยให้รกร้างใช่หรือไม่ ? “
“ที่ดินที่อำเภอเหยาล้วนเป็นที่ดินของข้า แล้วข้าจะปล่อยให้พวกมันรกร้างได้อย่างไรกัน ! กล่าวอย่างไม่ปิดบัง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่ซีซานกำลังทำการผลิตอุปกรณ์การเกษตร ปีหน้าการปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิก็สามารถใช้งานจริง ถึงตอนนั้นพี่ซีเหวินคงรู้ว่าประสิทธิภาพเหนือกว่ากำลังคนเป็นอย่างมาก”
“พูดให้ละเอียดหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้าอธิบายแบบนี้ล่ะกัน ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนคนหนึ่งคนสามารถปลูกข้าวได้ 10 ตารางวา แต่หากใช้เครื่องมือการเกษตร หนึ่งคนสามารถปลูกข้าวอย่างน้อย 30 ตารางวา อีกอย่างไม่เปลืองแรงมากด้วย”
เยี่ยนซีเหวินเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ถ้าหากสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนพูดเป็นความจริง ถือว่าการเพาะปลูกข้าวมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเลย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเป็นอย่างมาก !
“จริงหรือ ? “
“ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร แต่ข้าเพียงพูดถึงอนาคตเท่านั้น อุปกรณ์เหล่านั้นยังไม่สามารถผลิตเร็วได้ขนาดนั้น ต้องทำให้หมู่บ้านเสี้ยชุนก่อน จึงจะวนไปถึงรอบของอำเภอเหยา”
“พี่ฟู่เจ้าไม่ใจกว้างเลย พูดเพียงครึ่งเดียวได้อย่างไร ? แล้วทำอย่างไรถึงจะสามารถยกระดับการผลิตอุปกรณ์การเกษตรเหล่านั้นได้ ? เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตามตรง”
“ข้าต้องการช่างตีเหล็ก ช่างตีเหล็กจำนวนมาก ! และสามารถอยู่อำเภอเหยาเพื่อผลิตอุปกรณ์การเกษตรเหล่านั้นที่โรงงานได้”
เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดสักพัก และส่ายมือเล็กน้อย “สำนักหล่อเหยาเซียงคืนให้กับเจ้า รอให้ข้ากลับอำเภอเหยา เจ้าส่งคนมาพูดคุยกับข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนซีเหวินจะตอบรับโดยตรงแบบนี้ เช่นนี้ย่อมดีมาก ช่างตีเหล็กในมือของเขาล้วนอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลิน และช่างเหล็กเหล่านั้นก็ยังมีงานที่สำคัญกว่านั้นทำอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงการทดลองปฏิรูปแห่งแรกของราชวงศ์หยูก็ก่อตั้งแล้ว
นับตั้งแต่เริ่มเกษตรกรรม นับตั้งแต่เริ่มต้นที่อำเภอเหยา เพราะอุปกรณ์การเกษตรของโรงงานที่อำเภอเหยา เกษตรกรหลายคนก็ถูกปลดปล่อยจากการไถนารูปแบบเก่า พวกเขาเดินเข้ามาในโรงงานกลายเป็นพนักงาน และเริ่มผลิตสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อกลายเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจของราชวงศ์หยู
นี่เป็นผลลัพธ์
ภายใต้สายตาที่เคารพนับถือของเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็พาซูซูกับเยี่ยนซีเหวินไปจากจวนฟู่แล้วเดินทางไปที่หอซื่อฟาง