เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นไป นอกจากหยูจิ่งฟ่านและพรรคพวกของเขาแล้ว ทุกคนล้วนมองไปยังเขา
หญิงกลางคนนั่นถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “ซิ่วไฉก็คือซิ่วไฉวันยังค่ำ เขามิรู้ถึงความน่ากลัวของโลกสักนิด แม่นางจงรีบออกจากที่นี่เถิด หากให้เจ้าคนนั้นพบเข้า…”
แม่นางคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว ?
หญิงคนนั้นหันหลังไปมอง แต่กลับพบว่าซูซูยืนอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แย่แล้ว ! ”
หยูจิ่งฟ่านเหลือบมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเพ่งไปที่ใบหน้าของซูซูโดยไม่ละสายตา
“หืม ? เมืองหลวงมีนางฟ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ” หยูจิ่งฟ่านนำมือขยี้ตาของเขาด้วยสีหน้ามีความสุข คล้ายกับลืมเรื่องเจียงหยูไปเสียแล้ว
ซูซูยิ้มรื่น นางนึกในใจว่าเดิมทีตนก็หน้าตามิเลว มิเช่นนั้นพวกเขาจะจ้องมองมาที่นางด้วยเหตุใด ?
แต่ผู้คนพวกนี้หน้าตาแสนธรรมดา ความสูงเพียง160 เซนติเมตร ใบหน้าอ้วนกลมแม้จะไม่เท่ากับศิษย์พี่รอง แต่ก็ไม่น่าชม นอกจากนี้ยังมีริ้วรอยและแฝงถึงความดุร้าย ไม่น่ามองเลยสักนิด
ซูซูคิดอยู่ในใจจากนั้นส่ายหัว ถามออกมาว่า “พวกเจ้าไม่มีกระจกหรือเยี่ยงไร ? ”
หยูจิ่งฟ่านตกตะลึง เขารีบเอ่ยขึ้นมาว่า “มีสิ ! บ้านข้ามีกระจกมากมาย”
ซูซูเดินเขย่งเท้าขึ้นด้วยท่าทางไม่มีพิษภัย “เหตุใดเจ้าไม่ส่องกระจกเสียบ้าง ? หน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนี้ออกมาพบกับผู้คนจะทำให้ผู้อื่นตกใจเสียเปล่า ! ”
ให้ตายสิ ! คำกล่าวและท่าทางอันไร้เดียงสาของซูซูเมื่อครู่ ทำให้ผู้คนรอบข้างส่งเสียงหัวเราะออกมา
หยูจิ่งฟ่านหุบยิ้มลงทันที เขาโมโหมาก เนื่องจากในชีวิตนี้เขามิเคยถูกผู้ใดกล่าวหาว่าหน้าตาอัปลักษณ์มาก่อน !
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็จะคว้าดอกฟ้าอย่างเจ้ามาเชยชมให้ได้ ! ”
จากนั้นเขาก็โบกมือกล่าวว่า “ลงมือ !”
พรรคพวกของเขาพากันกรูเข้ามา หญิงกลางคนนั้นตกใจกระทืบเท้าปึง ! ตายแน่ ตายแน่ ๆ ! ชีวิตแม่นางจบสิ้นแล้ว
แต่ต่อจากนั้นนางก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ซูซูมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วพยักหน้า
ดังนั้นซูซูจึงลงมือ “พลั่ก… ! ”
“อึก… ! ”
บรรดานักเลงต่างหน้าตาฟกช้ำดำเขียว ซูซูยักไหล่และปัดมือที่เลอะของนาง จากนั้นนางจึงเดินกลับมาด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจ
ตายแล้ว !
หยูจิ่งฟ่านตกตะลึง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง ปากของเขาก็เช่นกัน ให้ตายซิ ! แม่สาวน้อยนี่เก่งกาจนัก ผู้คุ้มกันของข้าไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบกลับด้วยซ้ำก็ถูกนางจัดการเสียมิเป็นท่า
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกไปบีบคอของหยูจิ่งฟ่านไว้กล่าวว่า “เจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้รึ ? ”
“แค่ก ๆ ! เอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนปล่อยมือออก หยูจิ่งฟ่านสำลักออกมา ในใจเขาเริ่มหวาดกลัว แต่เมื่อนึกถึงตำแหน่งของตนแล้วก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วเตะไปยังท้องของเขา หยูจิ่งฟ่านถูกเตะเสียจนกระเด็นไปตกที่พื้น
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร ? ”
ผู้คนรอบข้างอกสั่นขวัญหาย หญิงวัยกลางคนนั่นรีบวิ่งเข้ามา นางมองดูหยูจิ่งฟ่านที่นอนอยู่บนพื้นแล้วกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยเสียงอันเบาว่า “คุณชาย รีบพาแม่นางหนีไปเร็วเข้า หนีไปยิ่งไกลยิ่งดี อย่าได้กลับมาเมืองจินหลิงอีกเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจ เขากลับหันมากล่าวกับแม่นางเจียงหยูว่า “แม่นางรีบประคองเขาขึ้นมาเถิด จากนั้นไปหาหมอมารักษาให้ดี มิเช่นนั้นอาจเจ็บปวดฝังลึกลงกระดูกได้”
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ สำหรับเจียงหยูคล้ายกับเป็นความฝัน
เดิมทีนางคิดว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว แม้นางเอ่ยว่าจะไปฟ้องร้อง แต่ในใจนางรู้ดี นักเลงเหล่านี้เป็นถึงหลานขององค์ฮ่องเต้ ฝ่าบาทจะเข้าข้างนางได้เยี่ยงไร ?
เดิมทีนางคิดว่าคู่หมั้นของนางจะถูกพวกเขาทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต คาดมิถึงว่าทั้งสองจะมาช่วยตนไว้ แม่นางชุดสีม่วงนั่นช่างเก่งกาจยิ่งนัก สามารถจัดการกับพวกอันธพาลได้เพียงพริบตา คุณชายผู้นี้ก็ช่างกล้าหาญ กล้าลงมือกับองค์ชายที่โหดเหี้ยมแห่งเมืองหลวง
ให้ตายสิ !
เขากล้าทำลงไปได้อย่างไร !
เจียงหยูคุกเข่าคารวะเขา “ขอบคุณคุณชายและคุณหนูที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ หากชาติหน้ามีจริง ข้าน้อยจะขอเป็นบ่าวรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสอง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูก เขาเข้าใจว่าประโยคเมื่อครู่นั้นหมายถึงชาตินี้ให้แล้วกันไปก่อน เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วกันไป
“เอาละ เจ้าประคองเขาไปเถิด”
หยูจิ่งฟ่านตะเกียกตะกายขึ้นมา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยดินโคลน
เขาชี้หน้าฟู่เสี่ยวกวนแล้วตะโกนออกมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ? ข้าคือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนตบไปที่ใบหน้าของเขา ทำให้เขามิอาจเอ่ยออกมาให้จบประโยคได้
“เจ้า ! เจ้ากล้าตบหน้าข้า ! ”
หยูจิ่งฟ่านเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก เขาจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือ…”
ครั้งนี้ฟู่เสี่ยวกวนดึงคอเสื้อเขาไว้ แล้วตบเข้าไปสองสามที ทำให้หยูจิ่งฟ่านมึนงง เดิมทีใบหน้าของเขาก็กลมอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งกลมเข้าไปอีก จมูกทั้งสองข้างมีเลือดไหลซึม
“ข้าอยากจะรู้นักว่าข้าต่อยเจ้าแล้วยังไง ? ”
“ข้า ข้า ข้าคือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนถีบเข้าเต็มเปา “ปึง… ! ” หยูจิ่งฟ่านล้มลงทันที
“อึก… !”
หยูจิ่งฟ่านกลิ้งหลายตลบและนอนหมดท่าอยู่บนพื้น เขาเอามือดันพื้นไว้
“กรี๊ด ! แย่แล้ว ! ตายแน่ ๆ ! ”
ผู้คนรอบข้างกรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจกลัว ฟู่เสี่ยวกวนปัดมือแล้วเดินไปทางร้านอู่เว่ยจาย “นำขนมเลิศรสของเจ้าพวกนี้ใส่ห่อให้ข้าหน่อย”
เขาหยิบเงินออกมา 5 ตำลึงจากนั้นโยนไปที่คนขาย ซูซูเดินตามเขาไป แม่นางในร้านจึงได้สติและรีบหยิบขนมให้เขา ในใจก็คิดว่าชายผู้นี้เป็นใครกัน ? เหตุใดทำร้ายหยูจิ่งฟ่านผู้อำมหิตแล้วยังใจเย็นได้เพียงนี้ คาดว่าเขาคงมิธรรมดาแน่
เจียงหยูหลังจากพาหลิวซิวผิงไปพักแล้วจึงเดินออกมากล่าวว่า “ท่านผู้มีพระคุณ เงินเหล่านี้ข้ารับไว้มิได้ หลิงเอ๋อ ให้พวกเขามากกว่านี้อีก พวกเราต้องปิดร้านแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขัดแย้งเจียงหยู หากเขามิต้องจ่ายเงินแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เขาเก็บเงินเข้าไปในถุงตามเดิม ซูซูหอบขนมไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองเดินไปกินไปราวกับมิมีเรื่องใดเกิดขึ้น
“เขาจะตายหรือไม่ ? ” ซูซูเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“น่าจะไม่ อืม ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าจัดการกับพวกเขาอย่างไร ? ”
“อ้อ ข้าลงมืออย่างรุนแรง เกรงว่าเขามิอาจลุกขึ้นมาได้อีก”
แม่สาวน้อยผู้นี้ลงมือเด็ดขาดนัก แต่เขาก็ชื่นชอบ
ซูซูหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดลงไป “โอ้โห ชิ้นนี้อร่อยเสียจริง เจ้าลองชิมดู” กล่าวจบนางก็ยัดขนมที่กัดไปแล้วคำหนึ่งใส่ปากฟู่เสี่ยวกวนไป “อืม มิเลว ไม่รู้ว่าหลังเกิดเรื่องนี้ร้านอู่เว่ยจายยังจะเปิดอีกหรือไม่ ? ”
“เกรงว่าไม่เสียแล้ว เขามิใช่โอรสของท่านชินอ๋องหรือ ? พวกเราจัดการกับโอรสของเขาเช่นนั้น ท่านชินอ๋องคงจะมิปล่อยพวกเราไปแน่ และร้านอู่เว่ยจายก็คงจะได้รับผลกระทบด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ฮุ่ยชินอ๋องนี้เขามิรู้จัก แต่ดูจากวิธีการเลี้ยงดูบุตรแล้ว ต่างจากเสียนชินอ๋องที่หลินเจียงอย่างชัดเจน
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นกังวลใจ เนื่องจากมีผู้คนมากมายเป็นพยานว่าเขาผู้นั้นทำเกินเหตุไป ต่อให้อยู่ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม
บัดนี้เขามิอาจเดาได้ว่าท่านฮุ่ยชินอ๋องจะจัดการเขาอย่างไร แต่คิดว่าภายใต้ฟ้านี้ต่อให้เป็นชินอ๋องก็คงมิกล้าทำการใด ๆ โดยลำเอียงต่อหน้าสาธารณชน…
ดังนั้นเขาจึงเดาว่าชินอ๋องจะไม่จัดการกับเขาต่อหน้าทุกคนแน่ ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ บนท้องถนนก็มีเสียงดังโวยวาย จากนั้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของม้า เมื่อหันไปมองพบว่าทหารม้ากลุ่มหนึ่งตรงมายังเขาและซูซู
นายพลที่นำหน้ามายกดาบขึ้นแล้วจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน ตะโกนออกมาว่า “ฆ่า ! ”
ซูซูตกใจแล้วนำมือข้างหนึ่งโอบขนมเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งคว้าฟู่เสี่ยวกวนให้มาหลบด้านหลัง
นางไม่มีอาวุธในมือ สถานการณ์ตอนนี้นางค่อนข้างจะเสียเปรียบ
และนางมิอาจกระโดดหลบหนีได้ เพราะหากนางทำเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะทำอย่างไรเล่า ?
เมื่อเห็นซูซูยืนบนพื้นด้วยเท้าเปล่า มือซ้ายของนางยังคงถือขนมไว้ มือขวาของนางกำแน่น และเมื่อนายพลผู้นั้นคว้าดาบฟันลง นางก็เอี้ยวตัวหลบและชกหมัดออกไป
ดาบนั้นเฉียดหลังของนาง ซูซูกำหมัดแล้วต่อยออกไปที่ท้องม้า ม้ารบนั่นถูกแรงต่อยของนางกระเด็นไปที่ร้านค้าข้าง ๆ
ร้านค้านั้นขายผักและผลไม้ ซึ่งบัดนี้กระจายว่อนตามแรงกระแทกของม้า
นายพลกระเด็นตกจากหลังม้า ในมือทั้งสองข้างถือดาบไว้จ้องมาทางซูซู ชายผู้นี้เป็นกังฟู ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น
กองทัพม้าด้านหลังกรูกันเข้ามา พวกเขาตรงมายังฟู่เสี่ยวกวน
ซูซูกังวลใจมาก นางรีบเตะดาบนั้นออกไปจากตัวแล้วใช้ร่างกันฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างและต่อยออกไปอีกครั้ง
หมัดนี้ชกเข้าไปที่สันดาบ ทำให้ดาบนั้นหักเหทิศทาง ผู้ที่เป็นเจ้าของดาบรู้สึกถึงความเจ็บปวดและดาบนั้นหลุดมือเขาไป ซูซูใช้เท้าเล็ก ๆ ของนางเตะเข้าไปที่ม้ารบอีกครา ตุบ ! ม้านั้นกระเด็นออกไปตกลงสู่พื้นอย่างจัง
นายพลผู้นั้นลุกขึ้นหยิบดาบออกมาอีกครั้ง ทหารด้านหลังของเขากว่าร้อยคนแบ่งเป็นสองแถวกรูเข้ามา กวัดแกว่งดาบไปยังฟู่เสี่ยวกวน
ซูซูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางเดือดดาลคล้ายกับเสือ และรุมเข้าสู่ฝูงชน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนทั้งจากคนและม้า…
เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น เห็นได้ชัดว่าหมัดของนางนั้นหนักเพียงใด หมัดเพียงหมัดเดียวของนางเทียบได้กับแท่งเหล็กทีเดียว
ทันใดนั้นดาบของนายพลผู้นั้นก็ตรงเข้ามาอย่างไม่มีเสียง ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนว่า “ระวัง ! ”
ซูซูเอี้ยวตัวหลบ ดาบนั้นฟันผ้าห่อขนมที่นางกอดเอาไว้ขาดสองท่อน ขนมเหล่านั้นตกลงสู่พื้น ซูซูโมโหสุดขีด
“ชดใช้ขนมข้ามา ! ”
ชุดสีม่วงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้นายพลตาลาย จากนั้นเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท้องและแผ่นหลัง เขาล้มลงที่พื้นกระอักเลือดสด ๆ ออกมา
“ข้าสั่งให้เจ้าชดใช้ขนมแก่ข้า ! ชดใช้ขนมให้ข้า ! ได้ยินหรือไม่… ! ”
ซูซูเตะอัดเข้าไปอีกหลายที นายพลผู้นั้นคล้ายกับจะสิ้นลมหายใจ เขารู้สึกเสียใจยิ่ง และอยากจะหันไปกล่าวกับซูซูเหลือเกินว่า “ข้ายินดีชดใช้ขนมแก่เจ้า…!”