ตอนที่ 2 อาจจะแปลก แต่จริง
ในวันที่ห้าเดือนห้า ตามปฏิทินจันทรคติ เทศกาลตวงโหงว แดดอ่อนยามเช้าทอแสงส่อง ท้องฟ้าสดใสตัดกับเมฆขาว
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นขึ้น แล้วมายังสวนในบ้าน
เขาเดินมาหยุดที่ใต้ต้นไทรเก่าแก่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ค่อย ๆ หายใจเข้าออกช้า ๆ ประมาณ 10 ครั้งเห็นจะได้ จากนั้นก้าวขาออก ย่อตัวลงแล้วออกหมัด……
นี่เป็นชุดหมัดทหาร ทุกท่าทางตรงตามมาตรฐานไม่มีข้อผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย เพียงแต่ร่างกายนี้ช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน จึงทำให้ออกหมัดได้ไม่รวดเร็วนัก อีกทั้งไม่มีพลังอันน่าเกรงขาม มองดูช่างเหมือนการปาหี่ที่ไร้ประโยชน์ตามตลาดไม่มีผิดเพี้ยน
ฟู่เสี่ยวกวนขยับร่างกายอย่างช้า ๆ เพื่อเป็นการสำรวจความแข็งแรงของร่างกายนี้
ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็น มันช่างแย่เสียจริง….. หากแต่ดีที่เขามีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น แม้ว่ามันจะยังสายไปบ้างแต่เขาก็เชื่อมั่นว่าใช้เวลาฝึกฝนสัก 2 ปีอาจได้สักครึ่งหนึ่งของตัวเขาเมื่อชีวิตก่อนนี้
ชุนซิ่วตกตะลึงเมื่อเห็นภาพที่อยู่ข้างหน้า
ตลอดมาคุณชายของนางจะตื่นนอนก็ต่อเมื่อถึงเวลาอาหาร แต่สองวันมานี้คุณชายของนางตื่นแต่ฟ้าสาง แล้วยังฝึกมวยที่ใต้ต้นไทรเก่าแก่ ทั้งยังวิ่งออกกำลังกายรอบ ๆ สวนอย่างไม่เคยทำมาก่อน
ว่าไปแล้ว เมื่อวานซืนคุณชายตื่นขึ้นมาวิ่งได้ 8 รอบ เมื่อวานนี้วิ่งได้ 10 รอบ เช้านี้เขาคงวิ่งได้มากกว่าเดิมเป็นแน่
สองวันมานี้คุณชายพูดจาน้อยลง เขาเพียงแต่เอ่ยถามว่าเมื่อครั้งช่วยเขาไว้เมื่อสามวันก่อนเห็นกล่องดำบ้างหรือไม่เพียงเท่านั้น
ชุนซิ่วไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้ไปถามนายท่านซึ่งก็ไม่ได้ความเช่นกัน นางจึงได้ส่งคนออกค้นหาแต่ไม่พบ คุณชายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นในครานั้นคุณชายของนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนน่าใจหาย นอกเหนือจากเรื่องอาหารการกินแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรเหมือนเดิมแม้แต่นิดเดียว
อย่างเช่น คุณชายมิเคยสั่งให้นางจัดแจงแต่งกายให้เขา ทว่าเมื่อก่อนเขาคงสั่งให้นางจัดแจงเสียทุกอย่าง
คุณชายอาบน้ำทุกวันแล้วยังมิบังคับให้นางนวดบ่าให้อย่างที่เคยทำ
คุณชายนอนเสียดึกดื่นทุกวันเนื่องจากเขาเปิดไฟอ่านหนังสือวิเคราะห์บทกวีสามราชวงศ์แล้วหัวเราะขึ้นมาในบางครั้งครา บางทีเขาก็พูดบางสิ่งที่นางไม่เข้าใจนัก
เช่น “ประวัติศาสตร์……หรือนี่อาจจะเป็นเวลาคู่ขนานสินะ”
หรือ “ดู ๆ ไปแล้วเราคงได้ใช้ชีวิตอยู่ที่โลกใบนี้อย่างมีความสุข”
ชุนซิ่วนั่งปักลายผ้าอยู่ข้าง ๆ ฟังเสียงคุณชายเปิดหนังสือ นางรู้สึกจากใจจริงว่าช่างมีความสงบสุขอย่างที่มิเคยมีมาก่อน หากแต่ว่าเมื่อนางได้ยินคุณชายพูดกับตัวเองก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาบ้าง ศีรษะของเขาถูกทุบเข้าด้วยของแข็ง นั่นย่อมเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นกับเขา ข่าวลือนี้มิได้แพร่สะพัดไป แต่นางก็พอได้ยินเข้าหูมาบ้าง
นางได้ยินข่าวลือนี้มาจากปากของผู้ดูแลสวนซึ่งเขาบอกว่าได้ยินมาจากหลงจู๊อีกทีหนึ่ง
ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจนัก แม้ว่าคุณชายจะแปลกไปจากเดิมบ้าง แต่นางชอบที่เขาเป็นแบบนี้เสียมากกว่า เรื่องนี้นางไม่กล้าพูดออกไปแน่นอน แต่สำหรับนางแล้วในใจยังคงคอยปกป้องคุณชายของตนตลอดเวลา
ตอนนี้คุณชายไม่ออกไปดื่มสุราเมามาย ไม่รังแกสตรีตามท้องถนนยามเมาไม่ได้สติ อีกทั้งไม่ออกจากบ้านเป็นเวลาหลายวัน แต่กลับนั่งอ่านหนังสือ
การอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่สูงส่ง อย่างน้อยในใจของชุนซิ่วคิดว่านี่คือเรื่องที่คุณชายควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ขอเทพเจ้าคุ้มครอง ให้การที่คุณชายถูกทำร้ายครั้งนี้เป็นเสมือนการปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ต่อจากนี้ในเรือนฟู่จะดียิ่งขึ้น ในฐานะสาวใช้อย่างน้อยคงมีชีวิตที่ดี
ฟู่เสี่ยวกวนฝึกหมัดทหารได้ 2 รอบ เมื่อได้ออกกำลัง ร่างกายจึงอบอุ่นขึ้น เขาเริ่มวิ่งไปรอบสวนอย่างช้า ๆ หนึ่งรอบประมาณ 400 เมตร สิบรอบได้ 4 กิโลเมตร เมื่อรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า คงถึงจุดที่ร่างกายนี้เกินจะรับไหว
ที่แห่งนี้เป็นของฟู่เสี่ยวกวน นอกจากซุนซิ่วแล้วจากเดิมยังมีคนสวนอีกนับสิบคน บรรดาพรรคพวกที่เคยมีนิสัยเกเรชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นนั้น บัดนี้ได้ถูกส่งออกไปอยู่นอกเรือนเสียหมดแล้ว
เขามิชอบฝูงชนมิชอบสถานที่ที่วุ่นวาย บรรดาคนสวนเหล่านั้นมิกล้าเอ่ยอะไรต่อหน้าเขาแม้แต่น้อย นิสัยนี้ของเขาติดมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดเรื่อง เมื่อได้รับคำสั่งให้วางแผนลอบสังหาร เขาก็ออกปฏิบัติภารกิจเพียงลำพัง ทำให้เขาเคยชินเป็นนิสัย ทว่ามิสามารถปรับเปลี่ยนมันได้ในเวลาอันสั้น
เขาคิดว่าจากนี้คงต้องปรับเปลี่ยนเสียหน่อย เพราะอย่างไรเสียโลกของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งไปพลางคิดไป เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าฟู่ต้ากวนกำลังเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา
เขาได้ยกมือขึ้นเพื่อทักทายฟู่ต้ากวน แต่มิได้ทำให้เขาหยุดฝีเท้าลงสักนิด
ฟู่ต้ากวนตกตะลึงแทบหยุดหายใจ ชุนซิ่วเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน เอ่ยถามว่า “ลูกชายข้า……”
ชุนซิ่วโค้งเคารพตอบกลับว่า ว่า “นายท่าน คุณชายเป็นเฉกเช่นนี้มาสามวันแล้ว……นายท่านมิอยู่ ข้าน้อยจึงยังมิได้ไปรายงานเจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วพูดต่อว่า “คุณชายบอกว่าร่างกายนี้อ่อนแอเหลือเกิน จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน ตอนนี้คุณชายกำลังฝึกฝนร่างกายอยู่เจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าอันบ่งบอกถึงความเป็นอยู่ที่ดีของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
เขานำมือลูบเครา นิ่งไปชั่วครู่แล้วถามว่า “คุณชายมีอะไรผิดปกติอีกหรือไม่?”
“คุณชาย……ดูหนังสือจนดึกดื่นเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนตกตะลึงยิ่งขึ้น รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “หนังสืออะไร?”
“มีคัมภีร์หลุ่นอวี่ คำภีร์จงยงและคัมภีร์ซือจิงเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้ว “สามคืนอ่านครบสามเล่มเลยงั้นหรือ?”
“นายท่าน มิใช่สามคืน แต่เป็น……สองชั่วยาม อีกอย่างคุณชายมิได้อ่าน……เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคืออะไร?”
“เพียงเปิดดู……คุณชายเปิดหนังสือเหล่านั้นเพียงแค่ผ่านตาและหยุดดูบ้างบางเวลา หนังสือที่คุณชายดูมากที่สุดคือหนังสือวิเคราะห์บทกวีสามราชวงศ์ ข้าน้อยเห็นคุณชายท่านอ่านหนังสือเล่มนี้มาสองคืนแล้วเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดแล้วกำชับด้วยเสียงอันเบาว่า “ร่างกายคุณชายยังอ่อนเพลีย คอยเตือนให้เขาพักผ่อนมาก ๆ……ส่วนเรื่องหนังสือนั้น เพียงมีความสนใจอ่านก็เพียงพอแล้ว มิต้องทุ่มเทมากนัก เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ”
“เจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วไม่ได้ตอบไปว่า นางเคยพูดกับคุณชายแล้ว แต่เขาหาได้ฟังนางแม้แต่น้อย
คุณชายเคยบอกว่า ยังไม่ตีหนึ่งเลย จะให้นอนหลับได้อย่างไร
แต่นางฟังไม่เข้าใจนัก ภายหลังได้เข้าใจว่าเป็นยามหนึ่ง
“สองวันนี้คุณชายมีความอยากอาหารบ้างหรือไม่ ? ”
“คุณชายทานอาหารได้มากกว่าแต่ก่อนอย่างน่าใจหาย มื้อเช้ามีโจ๊กหนึ่งถ้วยกับไข่ต้มและไข่ดาวพร้อมเครื่องเคียงสามอย่างอีกทั้งหมั่นโถวสองลูก มื้อกลางวันข้าวหนึ่งถ้วยกับผักสองอย่างและเนื้อสามอย่างอีกทั้งซุปหนึ่งหม้อ ส่วนมื้อเย็นนั้นเช่นเดียวกับมื้อกลางวัน เพียงแต่อาหารเปลี่ยนไปเท่านั้น……คุณชายสั่งว่าเมื่อนายท่านกลับมา ให้ขอนายท่านสร้างห้องครัวในเรือนนี้ คงสะดวกขึ้นกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้าแล้วมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้งหนึ่ง แววตาของเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของลูกชาย
เดิมทีลูกชายของเขามีนิสัยอย่างไรเขานั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ สองวันมานี้เขาวิ่งเต้นจัดการเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้าที่ลูกชายสร้างไว้ ดูแล้วบรรดาผู้มั่งคั่งเหล่านั้นจะไม่ติดใจเอาความแล้ว ทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย เพียงแต่การที่ลูกชายของเขาลุกขึ้นฝึกฝนร่างกายกระทั่งอ่านหนังสือ เรื่องนี้ทำให้จิตใจฟู่ต้ากวนสั่นไหวไม่น้อย
นี่คือเรื่องน่ายินดีหรือไม่?
หรือการถูกทุบศีรษะในครานั้นจะช่วยเปิดทางสว่างแก่ลูกชายเขา?
ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นเถิด อย่างน้อยบัดนี้ลูกชายของเขามิได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ก็ดีเหลือเกินแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น……คงปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรมของเขาเถิด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฟู่ต้ากวนหันไปกล่าวกับชุนซิ่วว่า “อาหารเช้าน่าจะจัดเตรียมเรียบร้อยเมื่อเขาวิ่งเสร็จ จงบอกให้คุณชายไปร่วมโต๊ะกับข้า” พูดจบก็มองไปรอบ ๆ แล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อลูกชายข้าต้องการสร้างห้องครัว เจ้าจงไปหาผู้ดูแลแล้วบอกเรื่องนี้กับเขา เขากลับมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน”
ชุนซิ่วตอบรับ ฟู่ต้ากวนมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเดินจากไป
เมื่อวิ่งครบสิบรอบ ฟู่เสี่ยวกวนรับผ้าขนหนูจากชุนซิ่วไปเช็ดเหงื่อแล้วรับน้ำอุ่นไปดื่ม หลังดื่มน้ำเสร็จเขาเดินไปรอบ ๆ สวน จากนั้นเดินไปทางห้องอาบน้ำ
ชุนซิ่วเตรียมน้ำอุ่นและเสื้อผ้าไว้เรียบร้อย นางบอกกับเขาว่า “นายท่านเชิญคุณชายไปร่วมรับประทานอาหารที่เรือนนายท่านเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป เขาปิดประตูลงแล้วย่างกายเข้าแช่น้ำในถังไม้ ความรู้สึกนี้ดีทีเดียว
เมื่อชาติที่แล้วบรรดาพรรคพวกเคยถามเขาว่า “ถ้าออกจากหน่วยทหารแล้วเขาจะทำอะไรต่อไป?”
คำตอบของเขาคือ “ไปยังที่มีภูเขา ทุ่งหญ้าและแม่น้ำ มีท้องนาอีกทั้งบ่อปลา ยามว่างจากทำนาจะได้ตกปลา เป็นแบบนี้ตลอดไป”
เป็นไปตามนั้นจริง ๆ!
เขาหัวเราะขึ้น
ชีวิตของเขาฆ่าคนมาไม่รู้กี่ชีวิต เขาเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ
ในวันนี้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แม้ว่าเขายังไม่ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยหลายวันมานี้เขาได้นอนหลับเต็มตาโดยไม่ฝันถึงสิ่งใด
ที่นี่มีพ่อที่รักและเป็นห่วงเขา มีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์จริงใจ และมีแม่ที่เขาเองไม่เคยเจอ แน่นอนว่าการที่เป็นผู้มั่งคั่งในเมืองหลินเจียงนั้น เขาคงมีพื้นที่เพาะปลูกมากมาย
มันช่างดีเสียจริง
ส่วนฝานตั่วเอ๋อร์ที่หออี้หงนั้น เขาไม่ได้หยิบมาใส่ใจ
แต่ในความทรงจำนั้นปรากฏภาพสตรีนางหนึ่งในชุดสีขาวที่สง่างามและชัดเจน อืม นางงดงามเสียจริง เพียงแค่นั้น
ในใจของฟู่เสี่ยวกวนมิได้รู้สึกใด ๆ เมื่อนึกถึงนาง
……
……
เรือนของตระกูลฟู่นั้นช่างใหญ่โตเหลือเกิน
ห้องอาหารนั้นก็ใหญ่โตเฉกเช่นกัน
ฟู่ต้ากวนผู้เป็นพ่อของเขานั่งอยู่ด้านบนสุด โดยมีฉีซื่อฮูหยินรองนั่งอยู่ด้านซ้าย ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่งตรงข้ามกับฟู่ต้ากวน
ระยะห่างที่เขามีให้ต่อฟู่ต้ากวนนั้น หาใช่เพราะความน่าเกรงขามในตัวพ่อของเขา แต่สืบเนื่องจากเขายังรู้สึกมิคุ้นชินกับพ่อคนนี้มากนัก เขาจึงได้เลือกรักษาระยะห่างโดยที่เขาเองก็มิได้รู้ตัว
ทำให้ฉีซื่อขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ส่วนฟู่ต้ากวนมิได้นำมาใส่ใจแม้แต่น้อย
เมื่ออาหารถูกจัดเตรียมขึ้นโต๊ะจนครบแล้วนั้น ครอบครัวทั้งสามคน……ฟู่เสี่ยวกวนฉุกคิดอย่างไม่แน่ใจว่านี่สามารถเรียกว่าทั้งสามคนได้หรือไม่ ฟู่ต้ากวนมองเขาอย่างเอ็นดูแล้วได้เอ่ยกับเขาว่า “กินข้าว”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเกรงใจ เขายกถ้วยขึ้นมาแล้วลงมือกินข้าว ทำให้ฉีซื่อขมวดคิ้วอีกคราเนื่องจากกิริยาการกินของฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่เป็นที่น่าชมสักเท่าไหร่นัก
ฟู่เสี่ยวกวนเคยชินกับการกินอย่างเร่งรีบ จึงมิได้สนใจฉีซื่อแม้แต่น้อย แต่ถึงแม้เขาจะเห็นก็มิได้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงหรือหยุดการกระทำใด ๆ ลงไป
เขาเพียงกินข้าวของเขา ผู้ใดอยากพูดอะไรก็พูดไป
“วันนี้เป็นเทศกาลตวงโหงว ข้าจะไปเดิน ๆ ดูหมู่บ้านเกษตรกรรมเสียหน่อย ลูกชายข้า เจ้าสนใจไปด้วยกันหรือไม่?”
หากเป็นแต่ก่อน ฟู่เสี่ยวกวนคงปฏิเสธอย่างแน่นอน ดินโคลนพวกนั้นมีอะไรน่าชมกัน?”
หากมีเวลาสู้ไปนั่งฟังเพลงที่หออี้หงไม่ดีกว่าหรือ
ฉีซื่อนึกว่าคุณชายที่ไม่เอาไหนคนนี้จะเป็นอย่างเช่นปีก่อน ๆ นางคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบอีกอย่าง
“ดีขอรับ ข้าเองก็อยากไปดู”
ฉีซื่อตกตะลึง ฟู่ต้ากวนหัวเราะขึ้น
“ลูกชายข้า สิ่งต่าง ๆ นี้ต่อไปก็จะกลายเป็นของเจ้าทั้งหมด……”
“แค่ก ๆ!” ฉีซื่อกระแอมขึ้นแล้วลุกยืนพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “ข้ากินอิ่มแล้ว นายท่านรีบไปรีบกลับ ข้านัดหมายกับหมอหลี่เอาไว้ ให้จัดปรุงยาบำรุงครรภ์แก่ข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้มองไปที่ฉีซื่อ นางนั้นทั้งสง่างาม หรูหรา มีบุคลิกดี บริเวณท้องนั้นมีส่วนนูนใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าหากคาดการณ์จากสายตานั้นคาดว่าอายุครรภ์คงได้ห้าหกเดือน
ฉีซื่อจ้องไปที่สายตาของฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้ม “เสี่ยวกวน เจ้าอยากได้น้องชายหรือน้องสาวงั้นหรือ?”
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับอย่างมีความสุข “น้องชายหรือน้องสาวข้าก็ชอบ”
คำพูดจากใจจริง เมื่อชีวิตที่แล้วพ่อแม่ของเขาจากไปนานแล้ว เขาเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า เขาเองหวังมาตลอดว่าอยากมีน้องชายหรือน้องสาว แม้จะไม่ใช่แม่เดียวกัน แต่เขาจะดูแลพวกน้อง ๆ ให้ดี
ฉีซื่อหันหลังไป พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม
“เจ้าเด็กนี่……เปลี่ยนนิสัยไปแล้วจริง ๆ งั้นหรือ?