ตอนที่ 204 ความมืดในทุกค่ำคืน ( II )
แสงไฟในจวนชือมิได้ดับลง
นายท่านผู้เฒ่าชือเดินไปมาอยู่ในจวนรอบแล้วรอบเล่า เขายังมิอาจตัดสินใจได้
หลังจากที่เขาได้เจรจากับฟู่เสี่ยวกวนเป็นการส่วนตัวคราที่แล้ว เขาก็รับรู้ได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ไม่ธรรมดา เดิมทีเขาก็มองว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีความสามารถทั่วไป แต่เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาต้องมองฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่อีก
คนเพียง 2 คนกับดาบ 2 เล่ม สามารถเอาชนะทหารม้า 400 นายได้ !
แม้สภาพแวดล้อมจะถูกจำกัด แต่พวกเขาก็เป็นถึงทหารม้า !
มิใช่ว่าฮุ่ยชินอ๋องจัดตั้งกองทัพขึ้นมาส่วนตัวรึ ในฐานะฮุ่ยชินอ๋อง เขาสามารถมีทหารส่วนพระองค์ได้ถึง 800 นายพร้อมกับม้า
ทหารของฮุ่ยชินอ๋องนั้น พวกเขาล้วนเป็นทหารปลดประจำการและผู้ที่รับผิดชอบในการฝึกอบรมพวกเขาก็เป็นนายพลของกองทัพฝ่ายหนึ่งอีกด้วย
เรื่องนี้ฮุ่ยชินอ๋องมิได้ปิดบัง ในกิจกรรมล่าสัตว์หลวงช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะนำทหารม้าของเขาไปแสดงต่อหน้าฮ่องเต้
การทำตัวเปิดเผยและตรงไปตรงมาเช่นนี้ทุกคนล้วนรับรู้
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นทหารม้าที่มีประสิทธิภาพในการรบอย่างแท้จริง แต่กลับล้มเหลวในการสังหารฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งเกือบจะถูกกวาดล้างโดยสำนักเต๋าเสียจนสิ้นซาก
“ท่านพ่อ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้……คงมิง่ายที่จะจัดการเขา ! ” จากเหตุการณ์นี้ชือเฉาหยวนก็ได้ทำความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่ นับจากเรื่องคืนนี้ เกรงว่าฮุ่ยชินอ๋องอาจจะถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงก็เป็นได้ อีกทั้งคงมิได้กลับมายังเมืองหลวงนี้อีก
เพียงเวลาแค่วันหนึ่ง ฮุ่ยชินอ๋องก็ถูกเขาจัดการจนยากที่จะลืมตาอ้าปาก เห็นได้ชัดว่าภายนอกอันแสนเงียบสงบของเขานั้นเป็นรูปลักษณ์ที่หลอกตา
“ผู้ที่จะฆ่าฟู่เสี่ยวกวนได้ เจ้าหาพบแล้วหรือไม่ ? ”
“ท่านพ่อ ข้าได้หาพบแล้ว เพียงแต่…จะยังฆ่าเขาอยู่งั้นรึ ? ”
“เหตุใดถึงมิฆ่า ? ” ผู้เฒ่าชือถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวแล้วยืนอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปยังค่ำคืนอันมืดมิด “คืนเทศกาลหยวนเซียว ฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าไปยังหลานถิงจี๋อย่างแน่นอน……เรื่องนี้เจ้าจงรายงานกับองค์ชายใหญ่ให้รับรู้ ดูว่าพระองค์มีท่าทีเยี่ยงไร”
ชือเฉาหยวนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลังจากท่านพ่อได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงได้มุ่งมั่นเช่นนี้ แน่นอนว่าตัวเขาเองก็อยากฆ่าฟู่เสี่ยวกวนยิ่งนัก แต่นั่นเพราะเขาต้องการระบายความแค้นในใจออกมา แต่หลังจากเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น เขาก็มิได้มีความคิดที่อยากจะฆ่าฟู่เสี่ยวกวนอีก
อีกอย่างหนึ่งเพราะเจ้าหมอนี่ตายยากยิ่ง ดีมิดีอาจถูกแว้งกัดได้ แม้แต่ชินอ๋องเองยังถูกเขาแว้งกัดเอา นับประสาอะไรกับตระกูลชือเล่า
ผู้เฒ่าชือมิได้เข้าใจเขามากนัก เพียงแต่พึมพำออกมาว่า “ท้องฟ้ามืดเช่นนี้ คาดว่าหิมะจะตกในไม่ช้า”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนและองค์ชายห้าอีกทั้งฮั่วหวยจิ่นนั่งดื่มสุรา ณ ศาลาเถาหราน คนจากจวนฟู่มิอาจนิ่งนอนใจได้
ฮูหยินต่งเป็นผู้ที่กังวลมากที่สุด นางขมวดคิ้วขึ้นมองดูต่งคังผิง แล้วเอ่ยถามว่า “ในค่ำคืนนี้ฮุ่ยชินอ๋องจะลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ? เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเองดีหรือไม่ ? ”
ต่งคังผิงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้กังวลใจไป รอสักประเดี๋ยวเถิด”
“รอสิ่งใดอีกเล่า ? ”
“รอข่าวจากฟู่เสี่ยวกวน”
แม้จวนต่งจะมีรากฐานที่ดีในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็มิได้มีเส้นสายมากนัก เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้จะเป็นอย่างไรพวกเขาก็มิอาจรู้ได้ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อตอนเย็น พวกเขากลับกังวลใจขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าในคืนนี้จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ขอให้พวกเขาอย่าได้ออกมาข้างนอก ชูหลานเองก็อย่าได้ไปที่จวนฟู่ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วเขาจะส่งคนมาแจ้งข่าว
หรือว่าจะเกิดเหตุขึ้นงั้นรึ ?
เหตุใดบัดนี้ยังมิมีข่าวคราวใด ๆ แม้แต่น้อย ?
ต่งชูหลานเองก็กังวลใจเช่นกัน นางอยากเดินทางไปที่จวนฟู่ด้วยตนเอง แต่เมื่อนึกถึงประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าให้ระมัดระวังตนเป็นพิเศษ นางจึงได้ถอดใจ
เขาผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริง กล้าทำร้ายองค์ชายจนพิการ อีกทั้งยังต่อสู้กับทหารม้ากว่าสี่ร้อยนาย !
เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร ?
เขามิคิดบ้างหรือว่าหากพ่ายแพ้แล้วถูกฮุ่ยชินอ๋องสังหาร นางและเวิ่นหวินจะทำเยี่ยงไร ?
เรื่องนี้นางจะต้องตักเตือนเขาสักหน่อย เขาใกล้จะมิใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว หากทำการใดโดยไม่คิดเช่นนี้ หากทว่า…เกิดเรื่องใดขึ้นกับเขา พวกนางจะทำเยี่ยงไรเล่า ?
ในขณะที่พวกเขาคิดไปต่าง ๆ นานาก็มีรถม้าคันหนึ่งมาหยุดลงที่หน้าจวนต่ง ชุนซิ่วเดินลงมาจากรถนั้น
นางกำลังจะทำความเคารพ แต่ต่งชูหลานกลับรีบคว้านางไว้ “ราบรื่นดีใช่หรือไม่ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยท่าทางวิตกกังวล
ชุนซิ่วยิ้มออกมา “นายหญิง ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”
คำว่านายหญิงนี้ทำให้ต่งชูหลานหน้าแดง นางรีบเอ่ยต่อว่า “รีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า”
ชุนซิ่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ณ จวนฟู่ออกมาอย่างละเอียด ฮูหยินต่งฟังแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ “โชคดีที่องค์ชายห้าส่งคนมาคุ้มครองไว้ ฮุ่ยชินอ๋องนั่นมิเพียงแต่บุตรชายของเขาจะก่อเรื่องแล้ว เขากลับยังต้องการฆ่าฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย สมควรตายยิ่งนัก ! ”
ต่งซิวเต๋อยักไหล่ “พวกเจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่าเขาจะมิเป็นไรแน่”
ฮูหยินต่งจ้องไปยังเขา “เจ้าตัดสินจากอะไรกัน ?”
“คนดีมักอายุไม่ยืน คำกล่าวนี้ว่ากันมาแต่โบราณ”
“เจ้าหมายความว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนไม่ดีงั้นรึ ?”
เมื่อต่งซิวเต๋อเห็นว่ามารดากำลังอารมณ์เสียจึงได้หยุดลง ในใจเขาพลันคิดว่าหากฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนดี จะมีผู้ใดในใต้หล้านี้มิดีอีกเล่า !
ต่งชูหลานเองก็มองไปทางต่งซิวเต๋อ จากนั้นหันมายังชุนซิ่วและกล่าวว่า “เช่นนั้น…บัดนี้เขากำลังทำอันใดอยู่กัน ? ”
“นายหญิง บัดนี้คุณชายกำลังดื่มสุราอยู่เจ้าค่ะ”
ดื่มสุรางั้นหรือ ? ต่งชูหลานตะลึงเล็กน้อย “ดื่มกับผู้ใด ?”
“องค์ชายห้า เยี่ยนซือเต้าและนายพลผู้ที่เพิ่งรู้จักกันเจ้าค่ะ”
……
……
คนที่องค์ชายห้ารอคอยก็คือเยี่ยนซือเต้านั่นเอง
เยี่ยนซือเต้าได้ออกจากจวนเยี่ยนไปเมื่อเวลาใกล้ค่ำ จากนั้นก็ไปยังจวนเฟ่ย
เขาเดินทางไปพบเฟ่ยอัน เนื่องจากก่อนหน้านี้สองวัน เฟ่ยอันได้เดินทางมาพบเขาเช่นกัน
เยี่ยนซือเต้าดื่มสุรากับเขาสองสามจอก จากนั้นขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มิอาจเอ่ยโทษเขาข้อหาออกจากกองทัพเป็นการส่วนตัวได้ เนื่องจากเขามีหนังสืออยู่ในมือ อีกทั้งเขาเป็นผู้บังคับบัญชาทหารม้า เขามิต้องรายงานผู้ใดรวมถึงฝ่าบาทด้วย”
“การเดินทางของเขาครานี้มีเหตุผลอันใด ?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
เยี่ยนซือเต้ามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ภายใต้แสงไฟสลัว ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนคล้ายคลึงกับหยุนชิงมากเสียทีเดียว
เขาตกตะลึงชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“จะเป็นเรื่องอื่นนอกเสียจากเรื่องบรรเทาสาธารณภัยได้เยี่ยงไร”
จากนั้นเยี่ยนซือเต้าได้เล่าเรื่องราวให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังโดยละเอียด เขารู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนควรจะได้รับฟังมัน
“เมื่อปีก่อนฝ่าบาทได้ตรวจสอบการทุจริตอย่างละเอียด และจับกุมเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนจากทุกระดับ บัดนี้พวกเขาถูกคุมขังอยู่ในคุกของวัดต้าหลี่ เมื่อเห็นว่าเรื่องราวใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเข้ามาแล้ว หลาย ๆ คนมิอาจนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป รวมถึงตระกูลเยี่ยนด้วย”
เรื่องความกล้าหาญของเยี่ยนซือเต้านี้ ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมเขายิ่งนัก แต่องค์ชายห้ากลับนิ่งเฉย
“นี่มิใช่เรื่องน่าอายใด ๆ เนื่องจากตระกูลเยี่ยนถือเป็นผู้นำของหกตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง นับจากรุ่นที่ท่านปู่ได้สืบทอดกันมา เกรงว่าแม้แต่ท่านพ่อเองก็คงมิทราบว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดพึ่งพิงตระกูลเยี่ยนจนได้ดิบได้ดี”
เขาดื่มสุราเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นเมื่อถึงช่วงปลายปี เพื่อยุติการสอบสวนของฝ่าบาท ทหารของแคว้นอี๋จึงได้ออกมาเคลื่อนไหว พวกเขาไปยังที่ราบสีหม่าข้ามแม่น้ำบริเวณชายแดนตะวันออก และมีรายงานว่าพวกเขากำลังส่งเสบียงและน้ำจำนวนมาก อีกทั้งยังมีแม่ทัพเดินทางมาตรวจงานด้วยตนเอง”
“เหตุการณ์เหล่านี้แสดงว่าทางตะวันออกเริ่มไม่สงบแล้ว ดังนั้นฝ่าบาททรงครุ่นคิดแล้วตัดสินพระทัยประหารผู้ทำผิดทุกคนโดยไม่สอบสวน นับว่าเป็นการอ่อนข้อให้แล้ว และบรรดาตระกูลใหญ่ก็ได้วางใจลงไม่น้อย”
“แต่เฟ่ยกั๋วกลับมารายงานกับข้าในครานี้ กล่าวว่าฝ่าบาทมิทรงเปลี่ยนแปลงความคิดนั้น สิ่งเหล่านี้เขาเพียงเอ่ยให้พวกเราฟัง แท้จริงแล้วเขาหมายความว่า…สงครามทางตะวันออกยังคงดำเนินต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นฝ่าบาทจะทรงมิมีเวลามาใส่ใจในตระกูลทั้งหก พวกเขาจึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเยี่ยนซือเต้าและฟังคำพูดของเขาอย่างตั้งใจ “เหตุใดเขาจึงตัดสินเช่นนั้น ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเกรงว่าเรื่องที่ทางบ้านเขาขนส่งข้าวไปทางตะวันออกถูกค้นพบเข้าแล้วหรือ แต่เยี่ยนซือเต้าเอ่ยว่า “เขากล่าวว่า เป็นการคาดเดาของราชครูเฟ่ย”
“เหตุใดเขากล้าเอ่ยสิ่งนี้กับเจ้า ? ”
“ประการแรก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกับทหารก็มิอาจมองข้ามได้ ประการที่สอง…” เยี่ยนซือเต้าสาดสุราในถ้วยลงไปที่พื้น “ท่านพ่อเคยทำผิดอยู่ครั้งหนึ่ง”
“เรื่องใดกัน ?” หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถาม แต่ฟู่เสี่ยวกวนนั้นพอจะเดาได้ก่อนแล้ว
“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ฉินถงมิควรตาย แต่ตอนนั้นการงานของท่านพ่อกำลังรุ่งเรือง หลังจากสงครามที่ราบสีหม่า ราชครูเฟ่ยได้เดินทางมาพบท่านพ่อและพูดคุยอยู่เป็นเวลานาน ดังนั้นเฟ่ยปังจึงถูกย้ายไปที่กรมกลาโหมและเยี่ยนฮ่าวชูพี่ชายคนที่สามของข้าถูกย้ายไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันตก ”
“เรื่องนี้ท่านพ่อเจ้ารู้หรือไม่ ? ”
“ท่านพ่อกล่าวเรื่องนี้กับฝ่าบาทในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 5 ”
“เหตุใดเขาจึงเอ่ยออกมา ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“เนื่องจากท่านพ่อกล่าวกับข้าประจำว่า ตระกูลเยี่ยนคือผู้รับใช้ฝ่าบาทอย่างแท้จริง”
“หลังจากฝ่าบาททรงรับทราบแล้วก็มิได้กล่าวโทษเขา แต่กลับเชื่อใจเขามากขึ้น ฝ่าบาทมิได้ทรงขัดขวางแผนการของเขาที่จะจัดการกับฉินถง จุดประสงค์นี้เพื่อให้หมากนี้เดินต่อไป และเพื่อให้ตระกูลเฟ่ยคาดว่าจากการได้ร่วมมือกันในครานี้พวกเขาจะสามารถร่วมมือกันต่อไปได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมา เยี่ยนซือเต้ามองดูเขาชั่วครู่ จากนั้นรินสุราให้ฟู่เสี่ยวกวนและมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
“เกี่ยวกับทางตะวันออก ตระกูลเยี่ยนจะจัดการเยี่ยงไร ? ”
“ท่านพ่อกล่าวว่า…คงต้องทำสงคราม”
หากเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงมิได้เปลี่ยนแปลงความคิดเดิม อีกทั้งตระกูลเยี่ยนก็เข้าใจดี
ถ้าเช่นนั้นเยี่ยนเป่ยซีจะเรียกเยี่ยนฮ่าวชูกลับมาหรือไม่ ?
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนสร้างขึ้นแก่เยี่ยนเป่ยซี ณ เรือนเยี่ยน ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะตบหน้าตนเองเสียจริง
เยี่ยนเป่ยซีเป็นคนของฝ่าบาท แต่เขากลับยื่นมือเข้าไปอยากช่วยให้ตระกูลเยี่ยนรอดพ้น นี่มันช่างเป็นเรื่องโง่เขลาเสียจริง !
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฮุ่ยชินอ๋องคาดว่าจะไปหาเฟ่ยอันที่เขตหนานหลิง เฟ่ยกั๋วบอกกับข้าเอง เขากล่าวว่า…จิตใจของเฟ่ยอันได้ยอมแพ้ตั้งนานแล้ว การที่หวินกุยจะเชิญเฟ่ยอันกลับมาเป็นเรื่องโง่เขลานัก”