ตอนที่ 210 ทำลาย
พายุหิมะพัดเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ฟืนในกองไฟระอุแรงกว่าเดิมเนื่องจากมีลมพัดเข้ามา ขี้เถ้าถ่านถูกพัดปลิวมาติดที่ใบหน้าของจีหลินชุน
แม้จะมิได้ร้อน แต่นางกลับรู้สึกว่ามันช่างร้อนยิ่ง นางอยากให้ขี้เถ้าเหล่านี้มีมากอีกสักหน่อย ให้กองทับถมนางได้เลยยิ่งดี
นางมิมีทางเลือกใด ๆ นางเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะทำได้สำเร็จ
ทุกชีวิตล้วนมีค่า แม้ว่าจะพบเข้ากับอุปสรรคต่าง ๆ คล้ายกับถ่านไม้เหล่านี้ที่สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นเถ้าถ่านสีเทา แต่อย่างน้อยในชีวิตก็เคยได้ผจญภัยพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจมาก่อน มันคล้ายกับกองไฟสว่างไสวท่ามกลางความเหน็บหนาว เป็นสีสันที่ไม่เหมือนใคร คล้ายกับดอกเหมยสีแดงที่เบ่งบานท่ามกลางหิมะขาวโพลน
สายตานางมองไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง จากนั้นมองไปยังกองศีรษะกองโต นางนึกอยู่ในใจว่าหากคนเราตายไปแล้วจะเป็นเยี่ยงไร ? จะรู้สึกหนาวหรือไม่ ?
ศีรษะเหล่านั้นเคยมีชีวิตชีวามาก่อน แต่บัดนี้กลับเยือกเย็นไร้ความรู้สึกใด ๆ
นางละสายตาออกจากที่นั่น ก้มหน้าลงคล้ายกับกำลังจะเอ่ยบางสิ่งออกมา ฟู่เสี่ยวกวนได้โบกมือห้าม
จีหลินชุนตกตะลึงอีกครา เขาเปลี่ยนใจแล้วงั้นรึ ?
เมื่อคิดดูแล้วคงเป็นเช่นนั้น เขามิรู้ว่าศัตรูของเขาแข็งแกร่งเพียงใด หากปล่อยให้เขามิรู้ต่อไปอาจยังมีโอกาสรอดชีวิตได้ หากเขารู้แล้วละก็เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตเขาเอง
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ จากนั้นด้านหลังเขาปรากฏคนกระโดดลงมาจากหลังคา จีหลินชุนจึงได้รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว
“จงไปซื้อพู่กัน กระดาษและหมึกมา” ฟู่เสี่ยวกวนส่งเงินสองตำลึงไปยังคนผู้นั้น เขาตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปท่ามกลางหิมะ
ไม่นานเขาก็กลับมา ฟู่เสี่ยวกวนกางกระดาษให้จีหลินชุน “เจ้าจงฝนหมึกด้วยตนเอง อยากเขียนอะไรก็จงเขียนออกมา”
จีหลินชุนค่อย ๆ ฝนหมึก จากนั้นก็เขียนมันลงไป ซูซูกินปิงถังหูลู่จนหมดแล้ว นางจึงได้เปิดกล่องฉินออก จากนั้นก็หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูด้วยความประหลาดใจ เมื่อรออยู่ชั่วครู่จึงได้เอ่ยถามว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะบรรเลงมันเสียอีก”
“เจ้าคิดมากเกินไป ! ”
ซูซูนั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าฉินของข้านี้มีไว้สำหรับฆ่าคน หากเจ้าอยากจะชื่นชมก็ไปชื่นชมที่หงซิ่วจาว”
ฟู่เสี่ยวกวนยืดคอไปพิจารณาฉินนั้น ด้านบนสลักคำว่าร่าวเหลียงไว้สองตัว คาดว่าเป็นชื่อของฉิน ฟู่เสี่ยวกวนมิมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
หรือแม่นางซูซูจะเป็นเหมือนกับมารพิณหกนิ้วกัน ?
เขามองซูซูถือฉินนั้นไว้ในมือ เสียงที่ออกมาจากฉินของนางสามารถฆ่าคนได้…ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งคาดหวังว่าจะเห็นมันยิ่ง
“ร่าวเหลียง…นี่คือฉินเทพร่าวเหลียงั้นรึ ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวนึกขึ้นมาได้ นางเดินมาหยุดอยู่ข้างซูซูแล้วมองดูฉินนี้ด้วยท่าทีจริงจัง
“เทพงั้นรึ ? หนักจะตายไป ที่ข้าไม่สูงก็เพราะท่านอาจารย์มักให้ข้าแบกฉินหนัก ๆ นี้เอาไว้ตลอดน่ะสิ” ซูซูเอ่ยอย่างโมโห แต่ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวกลับยิ่งเป็นประกาย
“เป็นฉินของเทพร่าวเหลียงมิผิดแน่ ช่างในราชวงศ์ก่อนได้ทำขึ้น เจ้าดูนี่ สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของฉินเทพเป็นรูปค้อน ให้ตายสิ ! ข้าได้พบเห็นฉินเทพร่าวเหลียงในตำนานรึนี่ !”
ซูซูมองดูเยี่ยนเสี่ยวโหลวด้วยท่าทางประหลาดใจ นี่เป็นเพียงฉินโบราณธรรมดามิใช่รึไง ? เหตุใดต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ?
ท่านอาจารย์เรียกมันว่าฉินโบราณ แต่มิเคยบอกกับนางว่าฉินนี้มีชื่อว่าร่าวเหลียง ดังนั้นซูซูจึงตั้งชื่อฉินนี้ว่าฉินโบราณตามท่านอาจารย์ตลอดมา
ในขณะที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกำลังดีใจอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นท่ามกลางลมหิมะ ไม่ช้าไม่เร็ว เป็นจังหวะจะโคน
ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นใครบางคนขี่ม้าและถือดาบไว้ในมือ เขาคือฮั่วหวยจิ่นนั่นเอง
ฮั่วหวยจิ่นหยุดม้าแล้วมองไปยังศาลาที่ตั้งไว้กลางถนน จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ทิศ เขากระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
“ข้าคิดมาตลอดว่างานอดิเรกข้ามิเหมือนผู้ใด มองดูแล้วเจ้าเองก็เป็นเช่นเดียวกับข้า”
“หากต้องการชมละคร ควรหาสถานที่เหมาะสม มิเช่นนั้นคงมิได้อรรถรส”
ฮั่วหวยจิ่นยิ้มขึ้น จากนั้นก็ปักหอกในมือของเขาลงไปข้าง ๆ ตัว หอกนั้นได้ปักลึกลงไปและตั้งตรงอยู่ข้าง ๆ เขา
“มิเลว ! ”
“เห้อ…”ฮั่วหวยจิ่นถอนหายใจออกมา เขาหยิบสุราเทียนฉุนออกมารินใส่ถ้วย “หากเปรียบเทียบเรื่องกังฟู ข้านั้นมิอาจเทียบได้กับศิษย์พี่ใหญ่สำนักเต๋า”
ซูซูหันกลับมามองฮั่วหวยจิ่น นางนึกในใจว่า เจ้าคิดว่าจะสู้กับข้าได้งั้นรึ ?
ในขณะเดียวกัน ณ ตรอกซานเยวี่ยก็ได้มีคนสี่เดินเข้ามา หยูเวิ่นเต้า สีฉวินเหมย หนิงหยู่ชุนและหยูเวิ่นหวิน
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มให้หยูเวิ่นหวิน นางจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน มิได้พบกันเพียงไม่กี่วัน เขากลับรื่นเริงจัดงานเลี้ยงท่ามกลางหิมะขึ้น อีกทั้งยังมิได้เอ่ยชวนตน !
เมื่อพบว่าต่งชูหลานก็มิได้อยู่ ณ ที่นี้ นางก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
นอกจากหยูเวิ่นเต้าที่พอจะเดาออกถึงเหตุการณ์นี้แล้ว คนอื่น ๆ มิได้มีผู้ใดเข้าใจถึงสถานการณ์นี้ เขาจัดงานเลี้ยงและดื่มสุราท่ามกลางหิมะอยู่หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง คงจะต้องการประกาศชัยชนะเป็นแน่
“ฮุ่ยชินอ๋องเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“จะเป็นเยี่ยงไรไปได้อีกเล่า ? เขากระอักเลือดเพราะคำพูดของเจ้ามากเพียงนั้น จึงได้เป็นลมและถูกส่งตัวไปรักษาในวัง เจ้าจงระวังตัวไว้ให้ดีเถิด ข้าได้ยินมาว่าไทเฮาทรงกริ้วเป็นอย่างมาก”
เนื่องจากมิมีกับแกล้ม ฟู่เสี่ยวกวนจึงรินเหล้าให้แก่ทุกคน หนิงหยู่ชุนยกดื่มในอึกเดียวแล้วกล่าวขึ้นว่า “วังหลวงมีประกาศว่า เมื่อฮุ่ยชินอ๋องหายดีแล้ว เรื่องนี้จะทำการสอบสวนขึ้นอีกครา คาดว่าคงมิสามารถประหารเขาได้…อย่างมากก็ถูกขับไล่ออกไปจากเมืองหลวงและยึดจวนคืน”
“อืม” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจมากนัก
ไม่นานต่อมา รถม้าแปดคันจากหอซื่อฟางได้เดินทางมาถึงพร้อมกับอาหารสิบสองอย่าง
ซูซูยังมิได้เก็บฉินลง แต่นางกลับสะพายมันขึ้นทั้งอย่างนั้น แม้จะดูประหลาดแต่นางหาได้สนใจไม่
หยูเวิ่นหวินมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นระยะ นางมิพอใจเท่าใดนัก เหตุใดแม่นางคนนี้จึงได้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวนกัน ? ชูหลานมิได้ห้ามปรามเขาหรือเยี่ยงไร ?
เรื่องของหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและฟู่เสี่ยวกวนได้กำหนดไว้แล้ว และทุกคนในเมืองหลวงย่อมรู้ดี หรือตระกูลเยี่ยน…จะต้องการฟู่เสี่ยวกวนกัน ?
มิได้การแล้ว เรื่องนี้นางจะต้องไปถามชูหลานให้รู้เรื่อง
ฟู่เสี่ยวกวนยกแก้วขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอดื่มเพื่อพวกท่านทุกคน อีกประเดี๋ยวเชิญชมการแสดงพร้อมกัน”
เมื่อเหล้าลงสู่กระเพาะ อีกทั้งความร้อนจากกองไฟ ทำให้ความหนาวเหน็บจางหายไปในทันที จากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
“เจ้ากำลังทำสิ่งใดอีกกัน ?” หนิงหยู่ชุนรู้สึกถึงลางไม่ดี
“ฮ่า ๆ ๆ มิใช่อย่างที่ท่านคิด อีกประเดี๋ยวจะมีชาวยุทธปรากฏตัว พวกท่านอย่าได้กลัวไป มีองค์ชายอยู่ที่นี่ อีกทั้งแม่นางซูซูก็อยู่ที่นี่ด้วย”
สีฉวินเหมยหน้าแดงเพราะฤทธิ์เหล้า เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าหมายความว่า…ที่จวนฮุ่ยชินอ๋องนี้ยังมีชาวยุทธอยู่งั้นรึ ? ”
“ท่านเสนาบดีสี ท่านอย่าได้ลืมไปว่าฮุ่ยชินอ๋องส่งชาวยุทธไปสังหารข้า ! อีกทั้งยังทำลายจวนข้า อีกประเดี๋ยวพวกเขาต้องปรากฏตัวเป็นแน่…หากโชคดีอาจจะได้ปลาตัวใหญ่อีกด้วย ! ”
นี่เขากำลังเพิ่มโทษให้แก่ฮุ่ยชินอ๋องงั้นรึ ?
“การที่เชิญทุกท่านมาในวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ทุกท่านเป็นพยานและชมฉากต่าง ๆ ด้วยตาตนเอง มาเถิด ๆ ๆ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ เชิญกินให้อิ่มหนำแล้วค่อยชมการแสดง”
สีฉวินเหมยมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหนุ่มนี่เจ้าเล่ห์นัก คงจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี
ทุกคนเริ่มลงมือกิน เหลือเพียงจีหลินชุนเท่านั้นที่ยังนั่งเขียนหนังสือ
หนิงหยู่ชุนรู้สึกถึงความผิดปกติ เหตุใดแม้แต่กินข้าวยังต้องบันทึกกัน ?
“แม่นางคือ… ?”
“อ้อ มิต้องสนใจนางหรอก นางได้กระทำความผิดและควรต้องเขียนหนังสือสำนึกผิด”
สตรีนางนี้คือคนของฟู่เสี่ยวกวนงั้นรึ ?
หนิงหยู่ชุนมิได้เอ่ยถามอันใดอีก มิมีผู้ใดเอ่ยเรื่องจวนฮุ่นชินอ๋อง แต่กลับกินดื่มอย่างสำราญใจ
“ในวันรุ่งขึ้น ข้าคาดว่าฝ่าบาทจะทรงกล่าวถึงเรื่องเทศกาลฤดูหนาว จิ่วชางกวนเหวินซิ่วกล่าวว่าเขาได้เตรียมการไว้ตั้งแต่ก่อนตรุษจีนแล้ว โดยให้เจ้าเป็นผู้นำ คาดว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วย ต่อจากนี้เจ้าต้องคัดเลือกคนเอาไว้ นักเรียนจำนวน 100 คนหาได้มิยาก เพียงในวังเจ้าก็สามารถจัดหานักเรียนชั้นเลิศได้ง่ายดายนัก แต่ในเรื่องของทหารอารักขา…ข้าอยากจะเตือนให้เจ้าเตรียมไว้มากเสียหน่อย
สีฉวินเหมยพูดด้วยท่าทางที่เป็นกังวล
เจ้าเด็กหนุ่มนี่ยิ่งมองยิ่งคล้ายสวี่หยุนชิง เห้อ…มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องช่วยเขาเสียหน่อย
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เคยได้ยินมาว่าเมื่อสมัยหนุ่มๆ ท่านเคยชอบพอกับแม่ของข้างั้นรึ ? ”
สีฉวินเหมยหน้าแดงทันที ยังดีที่เดิมทีดื่มสุราเข้าไปทำให้หน้าแดงอยู่แล้วจึงมองไม่ค่อยออกนัก
“ในยามนั้นคนที่ชอบพอแม่เจ้ามีมากมายนัก ! ”
“แม่ข้ามิได้ชอบพ่อข้าใช่หรือไม่ ?”
สีฉวินเหมยหยุดชะงักลงชั่วครู่ จากนั้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเรื่องราวผ่านไปแล้ว เจ้าจะรื้อฟื้นเพื่อสิ่งใดกัน มา ๆ ๆ ดื่มด้วยกันเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คะยั้นคะยอเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาเพียงแค่เอ่ยถามไปเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน ซูซูได้หยิบพิณมาไว้ด้านหน้า นิ้วของฮั่วหวยจิ่นจับลงไปที่หอก
“ดูสิ การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว ! ”
หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง ประตูใหญ่ได้ถูกเปิดออก ด้านในมีชายผู้หนึ่งเดินออกมา เขากำดาบเล่มยาวไว้ในมือ ทหารรักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนยังมิทันได้ตั้งตัว เขาก็ได้พุ่งตัวเข้ามาทันที
นิ้วของซูซูแตะลงไปที่สายฉินเส้นหนึ่ง ฮั่วหวยจิ่นมองไปยังนาง จากนั้นจึงผ่อนคลายหอกในมือลงแล้วยกถ้วยสุราขึ้นดื่ม
“เช้ง !…”
ในขณะที่ชายผู้นั้นกำลังจะทะยานขึ้นสู่ฟ้าและฟันดาบนั้นลง ซูซูก็ได้ดีดสายฉินเส้นนั้นเช่นกัน
มิมีเสียงใด ๆ
แต่ฟู่เสี่ยวกวนเห็นกับตาว่าเมื่อเสียงเช้ง ! นั้นสิ้นสุดลง หิมะนอกศาลาที่พวกเขานั่งอยู่ได้ถูกตัดขาดเป็นสองส่วน !
คล้ายกับมีดาบล่องหนแหวกออกไป ทำให้กองหิมะเหล่านั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกองอย่างไร้ร่องรอย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที เลือดสีแดงสดพุ่งกระจายกลางอากาศร่างของชาวยุทธคนนั้นขาดออกเป็นสองท่อน !
ร่างทั้งสองท่อนของเขาตกลงสู่พื้น เลือดสีแดงสดของเขาได้ย้อมไปที่หิมะที่ขาวโพลน คล้ายกับกลีบดอกเหมยที่เบ่งบานไปทั่วพื้นธรณี