“วันนี้พอเพียงเท่านี้ เลิกประชุม…ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าอยู่ก่อน”
เพียงหนึ่งประโยคของฮ่องเต้ ก็ทำให้เหล่าขุนนางต่างมองฟู่เสี่ยวกวนเป็นตาเดียวอีกครา
นึกย้อนไปถึงคราแรกที่คนผู้นี้ได้ขึ้นมาบนพระราชวังจินเตี้ยน ฮ่องเต้ก็ได้ตรัสออกไปเยี่ยงนี้เช่นกัน เมื่อลองคิดดูแล้วเกรงว่าคนผู้นี้จะได้รับความโปรดปรานจากพระองค์อย่างแท้จริง เยี่ยงนั้นเกรงว่าเรื่องระหว่างคนผู้นี้และองค์หญิงเก้าที่เป็นข่าวลือในเมืองหลวงคงจะเป็นเรื่องจริง
ดังนั้นเมื่อทุกคนเดินออกไปในยามที่เดินผ่านฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันมายิ้มและคำนับให้ ฟู่เสี่ยวกวนยืนนิ่ง ครุ่นคิดไปแล้วก็โค้งคำนับกลับไป
“ตอนบ่ายข้าจะพาเจ้าไปที่เสมียนกลางสำนักตรวจสอบพระราชโองการและทำความรู้จักกับสหายร่วมงานของเจ้า…ภายภาคหน้าหากมีเรื่องลำบากอันใดก็จงมาบอกกับข้า แต่เจ้าต้องพึงระลึกไว้เกี่ยวกับ นโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาท เจ้าจงใช้ช่วงเวลานี้ไปคิดให้ดี”
แท้จริงแล้ว จิ้งจอกเฒ่านี่ก็ต้องการให้เขาไปเสมียนกลางก็เพื่อสิ่งนี้
“ขอบพระคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนที่สนับสนุนให้เลื่อนขั้น ยามบ่ายข้าจะเฝ้ารอท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนอยู่ที่เสมียนกลาง”
“อย่าทำให้เรื่องของข้าสูญเปล่า…” เยี่ยนเป่ยซีเหลือบมองซ้ายขวา เหล่าขุนนางได้เดินออกไปกันได้พอประมาณแล้ว เขาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว “เรื่องหลานสาวของข้า เจ้าไตร่ตรองว่าเยี่ยงไรแล้วบ้าง ?”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างอึดอัด กางเกงชั้นในของนางเขายังวางมันไว้ที่จวนกำลังครุ่นคิดว่าควรจะหาเวลาเอาไปคือเยี่ยนเสี่ยวโหลวดีหรือไม่ เมื่อคิดถึงใบหน้าแดงระเรื่อของเด็กสาวผู้นั้น อือ สวยสะคราญตาน่ามองเชียว
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าจะบอกความจริงกับท่านหนึ่งอย่าง เรื่องระหว่างข้าและองค์หญิงเก้า…”
เยี่ยนเป่ยซีโบกมือ “ข้ามิสนเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นของเจ้า โดยสรุปแล้ว ข้าขอให้เจ้าจงจำไว้ ใจของหลานสาวข้าอยู่ที่เจ้า ข้ามิอยากเห็นนางต้องเสียใจ” กล่าวจบเยี่ยนเป่ยซีก็เงยหน้าขึ้นมา และกล่าวโดยแฝงความนัยเอาไว้ว่า “ภายภาคหน้าเจ้าสามารถทำงานในเสมียนกลางได้ โดยอยู่ภายใต้สายตาของข้า หากอยากให้ชีวิตในแต่ละวันสะดวกสบาย เจ้าจงทำเรื่องนี้ให้สมบูรณ์แบบเพื่อข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า ปีนี้ ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งปี หากเจ้ารังแกหลานสาวของข้า ข้าสาบานว่าภายภาคหน้าเจ้าจะมิได้อยู่ดีกินดีเป็นแน่”
กล่าวจบเยี่ยนเป่ยซีก็สาวเท้าจากไป
“เฮ้เฮ้เฮ้…” ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนเสียงดังขั้นมาสามครั้ง เยี่ยนเป่ยซีก็มิได้หันกลับมา แต่บนใบหน้าของชายชรานั้นกลับเผยรอยยิ้มที่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเห็นมาก่อน
เวรเอ๊ย ! นอกจากชายชราผู้นี้จะพาตนเองมาทำเรื่องเสมียนกลางแล้วก็คาดไม่ถึงว่าจะยังเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ !
ผิดพลาดไปหมดแล้ว !
“อือ เสี่ยวกวน เมื่อครู่อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวสิ่งใดกับเจ้ากัน ?”
ในยามนี้บนพระราชวังจินเตี้ยนเหลือเพียงฮ่องเต้กับขันทีเจี่ยและมีฟู่เสี่ยวกวนเป็นสามคน ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาก่อนจะตอบ “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวว่า…ต้องการให้กระหม่อมจัดการเรื่องนโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ตาเฒ่าผู้นี้ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งนัก !
“ลำบากเยี่ยงนั้นรึ ?”
“ทูลฝ่าบาท ลำบากพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ มีจุดที่ลำบากก็ถูกแล้ว หากง่ายดายเยี่ยงนั้น อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็จะมิฝากฝังงานนี้ให้กับเจ้า”
ไม่ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหลังจากที่เขากล่าวว่าลำบากแล้วฮ่องเต้จะขอให้เยี่ยนเป่ยซีหาผู้อื่นมารับผิดชอบเรื่องนี้แทน แต่มิคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทรงเห็นด้วยกับเยี่ยนเป่ยซี
เขาไร้โอกาสจะคัดค้าน “พระสนมซั่งต้องการพบเจ้า…ช่วงปีใหม่เจ้ามิได้เข้ามาในวังหลวงเลย เจ้ามีธุระอันใดเยี่ยงนั้นรึ ?”
เรื่องนั้นหมายถึงช่วงเวลาก่อนสนามรบนองเลือดที่ถนนเส้นยาวและงานเลี้ยงหน้าประตูจวนฮุ่ยชินอ๋องในเมื่อวาน
“ทูลฝ่าบาท เป็นความผิดของกระหม่อม เพียงแค่ช่วงหลายวันนี้ กระหม่อมยุ่งเป็นอย่างมาก จนไร้หนทางปลีกตัวมาได้ อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะเข้าไปรับผิดกับพระสนมซั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะ ไปได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปอย่างไม่เร่งรีบ ฮ่องเต้หยูยิ่นมองตามแผ่นหลังของเขา ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าว่า…เขาจะรับภาระไว้ได้หรือไม่ ?”
ขันทีเจี่ยกระวนกระวายค้อมตัวและตอบกลับไป “พระเนตรของฝ่าบาทจับจ้องไปที่เขาแล้ว เขาย่อมทำได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นยกยิ้ม “ชายชราเยี่ยงเจ้า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งกลับกลอก ข้ายังมิได้ลงโทษที่เจ้าแถลงราชโองการเท็จ”
เสียง ฟุบ ดังขึ้น ขันทีเจี่ยลงไปคุกเข่ากับพื้น “กระหม่อมผิดไปแล้ว ฝ่าบาทโปรดลงทัณฑ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“พอแล้ว ๆ เรื่องนั้น…เจ้าทำได้มิเลว แต่ครั้งหน้าจะมิมีการผ่อนปรน”
…..
ภายในวังเตี๋ยอี๋อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
บนโต๊ะนั้นมีอาหารที่สวยงามวางอยู่จนเต็มโต๊ะ และในนั้นก็มีหงเซาซือจึโถว่ที่ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบมากที่สุด แน่นอนว่ายังมีซุปที่เขาชอบมากที่สุดอยู่อีกด้วย
“คิดว่าเจ้าคงจะหิว ทานกันก่อนเถอะ” พระสนมซั่งยิ้มแย้ม หยูเวิ่นหวินดูขัดเขิน แต่หยูเวิ่นเต้ากลับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง
ถือดีอันใดกัน ?
เสด็จแม่ลำเอียง !
ในเวลาปกติที่มาหาเสด็จแม่อย่างมากที่สุดก็จะมีกับข้าว 3 อย่างและซุปอีก 1 ถ้วย แต่พอบอกว่าวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมา คาดไม่ถึงว่าจะทำซุป 1 ถ้วยและกับข้าวถึง 8 อย่าง
พระสนมซั่งกลับมิได้สนใจเขา และหันไปกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าฉลองช่วงข้ามปีที่บ้านของชูหลาน ?”
“มิขอปิดบังพระสนมพ่ะย่ะค่ะ ตัวคนเดียวในเมืองหลวงมันทำให้กระหม่อมอ้างว้างยิ่งนัก ดังนั้น…เสนาบดีต่งจึงเชิญให้กระหม่อมไปฉลองข้ามปีที่จวนของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
สองคิ้วของพระสนมซั่งเลิกขึ้น “เป็นความจริงรึ ? ”
“เอ่อ ก็มิใช่ทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะความหน้าหนาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะร่า พระสนมซั่งเองก็รื่นเริง “ข้ามิได้จะโทษเจ้าแต่อย่างใด อย่างไรแล้วในช่วงข้ามปีวังหลวงก็มีเรื่องให้ต้องทำมากมาย เจ้ามาที่นี่ก็คงจะไม่เหมาะนัก ลองชิมหงเซาซือจึโถว่ที่ข้าทำดูสิว่ารสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง เมื่อเทียบกับฝีมือฮูหยินต่งแล้ว…ประเดี๋ยวเจ้าลองกล่าวดูแล้วกัน”
จะกล่าวเยี่ยงไรออกไปได้ ?
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นแม่ยายทั้งคู่ แต่ก็มิสามารถทำให้โกรธเคืองได้แม้แต่คนเดียว !
ฟู่เสี่ยวกวนคีบหงเซาซือจึโถว่หนึ่งชิ้นวางในถ้วยและชิมอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นก็กล่าวประจบ “อือ ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อร่อยยิ่ง พระองค์ก็ลองเสวยเถิด”
“เจ้าก็ลองกล่าวมาก่อนสิ ?”
“นี่…หงเซาซือจึโถว่ที่พระองค์ทำละมุนลิ้นยิ่งนัก พอกัดกินไปแล้วชุ่มคอมีน้ำมันแต่ไม่เลี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วที่ฮูหยินต่งต่งทำเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
พระสนมซั่งจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดว่าเจ้าหนุ่มนี่จะตอบกลับมาว่าเยี่ยงไร
“ฮูหยินต่งต่งทำได้ชุ่มคอและละมุนลิ้น เลี่ยนแต่ไร้น้ำมันพ่ะย่ะค่ะ !”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะขึ้นอีกครา พระสนมซั่งส่ายหน้า “เจ้านี่นะ…ปากของเจ้านี่หลอกล่อคนให้ตายได้อย่างแท้จริง”
กะล่อนปลิ้นปล้อน ! หยูเวิ่นเต้าจ้องฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ก่อนจะคีบซือจึโถว่มาหนึ่งชิ้น อือ รสชาติมิเลวจริง ๆ เจ้าหนุ่มนี่มิได้พูดไร้สาระ
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ข้ารับใช้สตรีได้เข้ามาเก็บจานชาม ทั้งสี่คนเดินมานั่งที่หน้าโต๊ะน้ำชา หยูเวิ่นหวินเองก็ต้มชามาหนึ่งกา
“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องของฮุ่ยชินอ๋อง ข้าเพียงแค่อยากจะถามเจ้า เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่ามีทางลับใต้ดินในอารามซุ่ยเยว่ที่เชื่อมต่อไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง ?”
“เมื่อวานกระหม่อมได้ไปอารามซุ่ยเยว่ พบว่าที่ลานตรงกลางนั้นบ่อน้ำอยู่ ล้อที่ใช้ชักน้ำในบ่อมีหิมะคลุมอยู่ แต่เมื่อข้าออกมาจากห้องโถง หิมะนั้นก็ได้หายไปแล้ว นั่นแสดงว่าย่อมมีคนไปแตะต้องล้อนั่น แต่ในยามนั้นปู้เนี่ยนชือไท่ก็อยู่ในวิหาร ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าที่ตรงนั้นมีเส้นทางลับ ส่วนเหตุใดจึงเชื่อมไปสู่จวนฮุ่ยชินอ๋อง…แท้จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่ข้าคาดเดา”
พระสนมซั่งเงียบไปอึดใจ แต่มิได้นึกสงสัย
และฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้กล่าวลงรายละเอียดอะไร
ความจริงแล้วก่อนหน้านั้นไม่กี่วันได้มอบหมายให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปทำแผนที่ป้องกันเมืองหลวงมาหนึ่งฉบับ แต่เขากลับมิได้รับแผนที่ป้องกันนี้ กลับกันเขาได้รับแผนที่ฉบับรื้อถอนของเมืองจินหลิงในราชวงศ์ก่อนมาหนึ่งฉบับ
ของสิ่งนี้มีอายุอยู่เล็กน้อย กระดาษแผ่นนั้นได้เป็นสีเหลืองไปแล้ว หากตรวจสอบย้อนกลับไป ก็มีประวัติไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี
บนแผนที่ฉบับรื้อถอนนี้ ได้ลงรายละเอียดตั้งแต่ถนนใหญ่ยันตรอกเล็กในเมืองหลวง ทั้งยังระบุโครงสร้างทางน้ำของเมืองหลวงอีกด้วย
จากที่มองในแผนที่นี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่าใต้ดินของจวนฮุ่ยชินอ๋องมีร่องระบายน้ำที่ทอดทิ้งยาวไปถึงเขตใต้อย่างพอดี ดังนั้นเขาจึงไปอารามซุ่ยเยว่ และจึงตัดสินว่าจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้อยู่ที่อารามซุ่ยเยว่
เยี่ยนเป่ยซีกล่าวว่าจีหลินชุนต้องซ่อนตัวอยู่ในจวนฮุ่ยชินอ๋อง นั่นมิใช่การหลอกเขา แต่เมื่อซูโหรวไปตามหาที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง กลับมิพบจีหลิงชุน
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าในตอนที่ความพ่ายแพ้ของฮุ่ยชินอ๋องได้ถูกกำหนดออกมา จีหลินชุนจะต้องใช้ทางลับใต้ดินเดินทางไปยังอารามซุ่ยเยว่
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะค้นหาในอารามซุ่ยเยว่ และใช้ข้ออ้างว่าเขาทำแมวหนึ่งตัวหายไป ได้เข้าไปค้นหาในห้องเหล่านั้น แต่กลับมิพบอะไรทั้งสิ้น
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงใช้กางเกงในตัวนั้นมาบังคับข่มขู่ปู้เนี่ยนชือไท่อีกครา จุดประสงค์ก็เพื่อให้ฝ่ายขุนนางมาตรวจสอบและปิดที่นั่นไปเสีย เขาก็จะมีเวลามากพอที่จะเข้าค้นหา แต่แล้วปู้เนี่ยนชือไท่ก็ออกตัวมอบจีหลินชุนให้กับเขาภายใต้สถานการณ์ที่ถูกบังคับ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าภายในอารามซุ่ยเยว่ย่อมมีบุคคลที่สำคัญยิ่งกว่าจีหลินชุน
ที่อารามซุ่ยเยว่นั้นมีคนของหอซี่หยู่เฝ้าอยู่ตลอดเวลา ปู้เนี่ยนชือไท่ก็ย่อมทราบ ดังนั้นคนผู้นี้ย่อมใช้ทางลับใต้ดินเดินทางไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง เพราะในยามนี้จวนฮุ่ยชินอ๋องได้ถูกปิดไปแล้ว
และยังมีงานเลี้ยงที่ฟู่เสี่ยวกวนจัดขึ้นในตรอกซานเยวี่ยที่หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง และรอให้คนเหล่านั้นออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋อง
มิเกินไปจากที่เขาคาดเดา คนเหล่านั้นก็ได้ออกมาจริง ๆ ซูซูใช้ฉินเหมือนกระบี่สังหารไปเสียหนึ่ง และบาดเจ็บไปอีกสิบแปด หนีไปอีกสอง และหนึ่งในสองที่หนีไปนั้นก็มีสตรีหนึ่งนาง อีกผู้หนึ่งคือชายเยาว์วัยผู้หนึ่ง เพราะมีผ้าคลุมใบหน้าอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมองมิเห็นรูปลักษณ์ของพวกเขา แต่มิต้องรีบร้อน เพราะซูโหรวติดตามพวกเขาอยู่ไกล ๆ
พวกเขาไปยังหยี่ฮวาถาย !
หลังจากนั้นซูโหรวก็คอยอยู่ที่นั่นตลอดเวลา รออาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มผู้นั้นไปทำธุระส่วนตัว หลังจากนั้นจึงลอบจับชายหนุ่มผู้นั้นกลับมา
ฟู่เสี่ยวกวนอ้างอิงจากคำสารภาพของจีหลินชุน จึงทราบว่าสตรีผู้นั้นคือหนานป้าเทียน แต่จีหลินชุนมิทราบถึงตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้น คิดว่าคนผู้นั้นน่าจะมีสถานะที่สูงส่งในหยี่ฮวาถาย
และในตอนนี้ ซูเจวี๋ยก็ได้รออยู่ที่ด้านนอกหยี่ฮวาถาย มิรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่กลับไป ซูเจวี๋ยจะมีข่าวดีมาให้เขาหรือไม่
“คาดว่าไทเฮาจะเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักฉือหนิงกงในวันพรุ่งนี้ เจ้ามิต้องกังวลใจไป ในวันนี้ข้อกล่าวหาทั้งหมดของฮุ่ยชินอ๋องได้ประทับอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรของไทเฮาแล้ว เมื่อรวมเข้ากับการที่มีคนไปตีกลองร้องทุกข์ที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงอยู่ทุกวัน ไทเฮาเป็นคนที่รักษาหน้าตาและเกียรติยศเป็นอย่างมาก ต่อให้ในใจของพระนางจะมิชอบอย่างยิ่ง แต่พระนางก็ไร้หนทางจะออกหน้าปกป้องฮุ่ยชินอ๋องได้”
“ฮุ่ยชินอ๋องจะตายมิได้ นี่คือเรื่องที่เจ้าต้องจำให้มั่น เรื่องของเจ้าและเวิ่นหวิน ขอแค่เพียงไทเฮาพยักหน้า เรื่องนี้ เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน”
พระสนมซั่งยกจอกน้ำชาขึ้นดื่ม “…หรือจะกล่าวได้ว่า เป็นการประนีประนอมของไทเฮา”
ฟู่เสี่ยวกวนยังรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย ที่ฮุ่ยชินอ๋องมิตาย และไปยังพื้นที่พระราชทานหลิงหนาน นั่นคือภูเขาสูงที่อยู่ห่างไกลดินแดนของฮ่องเต้ หากเขาสร้างลูกไม้อันใดขึ้นที่นั่น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย
“หรือว่าในระหว่างที่ฮุ่ยชินอ๋องเดินทางไปยังที่พระราชทานของเขา…” เพียงดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนมืดคล้ำ พระสนมซั่งก็ส่ายหน้า
“มิได้ เยี่ยงนั้นจะไปแตะโดนเข้าที่ความอดทนสุดท้ายของไทเฮา และฝ่าบาทก็มิยินยอมที่จะแบกชื่อเสียงที่ย่ำแย่เยี่ยงนั้น ให้เขาไปเถอะ คงก่อระลอกคลื่นใหญ่อันใดมิได้อีกแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เนื่องจากพระสนมซั่งได้แสดงจุดยืนแล้ว เยี่ยงนั้นก็ให้เรื่องจบลงที่ตรงนี้ การที่สามารถใช้เรื่องนี้มาทำให้ไทเฮายอมประนีประนอมได้ สำหรับเขาแล้วเป็นผลประโยชน์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เยี่ยงนั้นเรื่องระหว่างเขาและหยูเวิ่นหวิน ก็จะมิถูกขัดขวางอีกต่อไป
“หากกระหม่อมไปแตะต้องหยี่ฮวาถาย จะมีผลเยี่ยงไรตามมาพ่ะย่ะค่ะ ?”
“มีผลลัพธ์ที่เจ้ามิอาจจะชดใช้ได้อยู่ ! ”
ทันใดนั้นสีหน้าของพระสนมซั่งก็เคร่งเครียดขึ้นมา “เจ้าสามารถตรวจสอบเรื่องของหยี่ฮวาถายได้แต่มิสามารถกระทำการอันใดได้ เรื่องนี้…ถามแล้วก็ไปจัดการเถอะ”