ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนอย่างสง่าแล้วค่อย ๆ เอ่ยปากว่า
“หนานเซียงจื่อ ค่ำคืนแห่งฤดูหนาว
ราตรีมืดมิดอันเงียบสงบ แม้ยามใกล้ยามเหม่า1 แต่ผ้าห่มนั้นยังคงเย็นเยือกไร้คนคลุม
ไม้หอมในเตาผิงถูกเผาจนหมดมอด ช่างหนาวเหน็บ ค่ำคืนเยี่ยงนี้จะยาวนานไปถึงเมื่อใด
นอกหน้าต่างมีเพียงหิมะขาวคู่กับดวงจันทร์สกาว
ในค่ำคืนอันหนาวเย็นเฉกเช่นนี้ ภาพดอกเหมยเบ่งบานทำให้มิอาจข่มตาได้
ข้านึกถึงดอกเหมยนั้น และดอกเหมยเองก็นึกถึงข้าเช่นกัน
ครั้นตื่นขึ้น น้ำในแจกันหยกกลับกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว”
เมื่อกวีถูกกล่าวจบ ทุกคนในโถงแห่งนั้นล้วนเงียบสนิทมิมีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่ผู้เดียว
ต่งชูหลานขมวดคิ้วขึ้น ซูซูอ้าปากค้างแม้นางจะมิค่อยเข้าใจ เสวี่ยเฟยเฟยยังคงมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน แต่แววตานั้นไร้ซึ่งความกังวล หลิ่วเยียนเอ๋อร์แลไปที่กระดาษใบนั้น นางมิอาจวางพู่กันลงได้เลย
บรรดาศิษย์แห่งสมาคมหลานถิงเคยได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีความสามารถยิ่ง แต่วันนี้เพิ่งได้พบเห็นกับตาตนเอง ยิ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงเข้าไปเสียยกใหญ่
นี่คือผู้ที่เขียนกวีทำนองเพลงสายน้ำ นี่คือผู้เขียนหนังสือความฝันในหอแดง และผู้ที่เขียนหนังสือเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว !
เขาคือผู้นำด้านวรรณกรรม เขาคือเยาวชนที่มีความรู้มากมายอย่างแท้จริง !
บทกวีหนานเซียงจื่อนี้ แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของนักกวี ประโยคที่ว่าน้ำในแจกันหยกกลายเป็นน้ำแข็งนั้น ช่างมีความหมายลึกซึ้งและชวนให้ชื่นชมไม่รู้จบ
นี่คือความสามารถอย่างแท้จริง !
ผู้ที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ล้วนเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง แต่เมื่อพวกเขาหวนนึกถึงกวีหนานเซียงจื่อบทนี้ พวกเขาต่างยอมคำนับก้มหัวให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ฉินเหวินเจ๋อลุกขึ้นมาเป็นคนแรก เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพนับถือ ในใจของเขาพลันนึกถึงคำพูดของท่านปู่ เป็นไปตามนั้นจริง ๆ มิมีผิดเพี้ยน !
เขาเริ่มปรบมือขึ้น จากนั้นผู้คนต่างพากันยืนขึ้นและปรบมือด้วยความชื่นชม เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วแม่น้ำฉินหวายคล้ายเสียงฟ้ากระหน่ำ ดวงจันทราที่ลอยขึ้นสู่ยอดฟ้านั้นก็คล้ายกับกำลังเต้นระบำให้สอดคล้องจังหวะเสียงปรบมือ
ทันใดนั้น ก็มีสตรีนางหนึ่งก้าวออกมา นางกระซิบที่ข้างหูฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นได้ยื่นกระดาษใบหนึ่งแก่เขา
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย จากนั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ามีความสามารถไม่เพียงพอให้ทุกท่านชื่นชมถึงเพียงนี้ ขออภัยด้วย ทุกท่านขอรับ ข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องไปจัดการ แม้อาจจะทำให้พวกท่านรู้สึกหมดสนุก ไว้คราหน้าข้าขอเลี้ยงตอบแทนและขออภัยทุกท่านสำหรับเรื่องในวันนี้ ข้าต้องขอตัวก่อน หวังว่าพวกท่านจะเข้าใจ ! ”
เมื่อกล่าวจบ ผู้คนล้วนพากันสงสัย แต่มิมีใครคิดว่าเขาทำไม่ถูกต้อง นึกไปแล้วเขาอายุยังน้อยแต่กลับได้รับตำแหน่งเสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟูอีกทั้งไท่จงต้าฟู สองร้อยกว่าปีนี้ในราชวงศ์หยูหาได้มีผู้ใดที่อายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดปีแต่มีความสำเร็จเยี่ยงนี้ได้ !
การที่เขามีธุระมากมายต้องจัดการจึงเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากเสมียนกลางเป็นสถานที่สำคัญยิ่งในราชวัง เนื่องจากต้องจัดการทุกเรื่องในประเทศ
ฉินเหวินเจ๋อทำการคารวะ “น้องฟู่คือแบบอย่างของผู้ร่ำเรียนวรรณกรรมเช่นพวกเรา เป็นผู้ซึ่งส่องสว่างเฉกเช่นดวงอาทิตย์และแข็งแกร่งราวกับอินทรี น้องฟู่คือเยาวชนของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง ! ”
“คุณชายฟู่ ได้โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย ! ”
เมื่อสิ้นเสียง ฉินเหวินเจ๋อพวกเขาทั้งหลายต่างโค้งคารวะฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีจริงใจ
ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่ยิ้มอยู่ลึก ๆ ในใจ
นับจากนี้ไป เยาวชนของราชวงศ์หยูคงจะเดินตามรอยของฟู่เสี่ยวกวนกันมากมาย
ฟู่เสี่ยวกวนคาราวะกลับจากนั้นได้เดินออกไป ทุกสายตาจับจ้องเขาไปจนลับตา
“นี่คือผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ! ” ฉินเหวินเจ๋อยกจอกสุราขึ้น จากนั้นหันไปทางพวกเขาทั้งหลายแล้วเอ่ยว่า “บัดนี้ พวกเราจงมาศึกษากวีหนานเซียงจื่อนี้โดยละเอียดกันเถิด”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเรือเล็กออกจากหงซิ่วจาวไปยังท่าเรือ
“เกิดเรื่องใดขึ้นงั้นรึ ? ” ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนที่มีสีหน้ากังวลแล้วเอ่ยถาม
“ปู้เนี่ยนซือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่ยังมิตาย ! ”
ต่งชูหลานมิได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใดนัก นางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแต่มิได้เอ่ยถามอันใดขึ้นมาอีก นางได้แต่ถอนหายใจ เนื่องจากเขามีเรื่องต้องจัดการมากขึ้นเสียทุกวัน
หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ได้เดินทางไปยังหลินเจียง เขามีชีวิตอย่างอิสระ ใบหน้ามักแฝงไปด้วยรอยยิ้มเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรือนซีซาน เขาได้พูดคุยกับชาวบ้านอย่างไม่ถือตัว อีกทั้งยังลงไปในนาด้วยตนเอง เขานั่งลงพูดคุยกับพวกเกษตรกรถึงซีซานและความใฝ่ฝันในอนาคต
ในตอนนั้นเขาเองก็วุ่นมากเช่นกัน แต่ดูไปช่างมีความสุข มิได้เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
บัดนี้เขาได้ตั้งหลักปักฐานที่เมืองหลวง อีกทั้งยังเข้าทำงานในเสมียนกลาง งานเขายุ่งมากกว่าเดิมมากนัก อีกทั้งรอยยิ้มของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงแต่อุบายต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขาดูเป็นกังวลตลอดเวลา
มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เขาถึงดูกังวลใจยิ่งนัก
ช่างเป็นดังที่ว่ามีเพียงหิมะและดวงจันทร์สกาว น้ำในแจกันหยกกลับกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว !
“ข้าหวังให้เจ้ามีความสุข”
ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือนางไว้ “เจ้ามิต้องเป็นห่วงข้าไปหรอก หาได้มีเรื่องใหญ่อันใดไม่”
ต่งชูหลานเหล่ตามองเขา นางนึกในใจว่าหากมิใช่เรื่องใหญ่ เขาจะออกมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้เพื่อเหตุใดกัน ?
ซูซูจ้องมองทั้งสองตาเขม็ง นางเบ้ปากแล้วนึกในใจว่า เชอะ ! ชายหญิงคู่นี้ มิเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้างเลยรึเยี่ยงไรกัน ?
ศิษย์พี่รองเคยบอกไว้ว่าหากกุมมือกันอาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังท่าเรือฉินหวาย เขามิได้ใส่ใจแววตาของซูซูแม้แต่น้อย บัดนี้เขานึกเพียงแต่ว่าเฟ่ยอันรู้ได้เยี่ยงไรว่าปู้เนี่ยนซือไท่ยังมิตาย ?
เหตุใดเขาจึงไว้ชีวิตปู้เนี่ยนซือไท่ ?
เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?
เรือน้อยลอยใกล้ฝั่ง พวกเขาขึ้นสู่ท่าเรือแต่มิได้เดินทางไปยังจวนฟู่ แต่กลับไปยังอารามซุ่ยเยว่
เขาต้องการไปดูให้ชัดเจน
แม้เขาจะอยากรู้เรื่องราวของอารามซุ่ยเยว่ แต่เกรงว่าคงมิสามารถหาข้อมูลใดได้เลย
……
ค่ำคืนเริ่มมืดสนิท เมืองจินหลิงไร้ซึ่งเงาผู้คนและเสียงใด ๆ
ภายใต้แสงนวลจันทร์ ทำให้ได้ยินเสียงเกือกม้าเหยียบย่ำบนพื้นธรณีได้อย่างชัดเจน
ระหว่างทาง ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยกับต่งชูหลานว่า บิดาของเขากำลังเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อสู่ขอนาง
เขามิได้คาดคิดถึงสิ่งที่ต้องจัดการมากมายเหล่านี้ ต่งชูหลานหน้าแดง แต่ก็มิได้ตอบกลับฟู่เสี่ยวกวน นางเพียงแค่ชายตามองเขาแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวิ่นหวินด้วย ดังนั้นเรื่องพิธีการเกรงว่าจะยุ่งยากสักหน่อย…บัดนี้จิตใจของเจ้ามิได้อยู่กับเรื่องนี้ เจ้าเองก็มิต้องกังวลเกี่ยวกับข้า จงไปทำในสิ่งที่เจ้าต้องการเถิด ข้าจะไม่เป็นภาระแก่เจ้าแน่ แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากกำชับกับเจ้าว่า ไม่ว่าเรื่องใดจงครุ่นคิดให้ดีก่อนกระทำการ อย่าได้เสี่ยงอันตราย จงจำให้ขึ้นใจ ! ”
“อืม ! ” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปเปิดม่าน ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงบนี้ พวกเขาได้ยินยามตีฆ้องบอกเวลา “โหม่ง โหม่ง โหม่ง ! บัดนี้เวลายามจื่อ2 แล้ว ! ”
ซูซูได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าฉินขึ้นมาไว้ในมือ
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูซูซูด้วยความตกใจ
ซูซูเงี่ยหูฟัง จากนั้นนางจึงเอ่ยออกมาว่า “มีคนมา”
“ที่ใด ? ”
“บินไปแล้ว”
ในเมืองหลวงก็หาได้ปลอดภัยไม่ !
เหตุใดถึงยังมีชาวยุทธบินไปมาเช่นนี้กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรเอ่ยให้หนิงหยู่ชุนฟังเสียหน่อย
เนื่องจากเมืองหลวงนี้ควรจะเป็นสถานที่ที่ห้ามใช้พลังตัวเบาลอยไปลอยมาถึงจะถูกมิใช่รึ ?
รถม้ายังคงเดินหน้าไป จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูอารามซุ่ยเยว่
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ลงจากรถ เขาเพียงเปิดม่านออกไปมองดูประตูนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “กลับจวน ! ”
ผู้ขับรถม้าแปลกใจยิ่ง แต่เขาก็บังคับม้าให้กันกลับจวนฟู่ตามคำสั่ง
“เป็นอะไรไป ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ฟู่เสี่ยวกวนเอื้อมมือไปลูบแก้มนางแล้วเอ่ยว่า “จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเข้าไปดูก็มิมีความหมาย สู้กลับบ้านนอนเสียดีกว่า”
ซูซูจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวนเป็นความหมายว่า โกหก !
มีคนอยู่ในอารามซุ่ยเยว่ !
หูของซูซูนั้นดียิ่ง นางย่อมได้ยินเป็นแน่ แต่นางคาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงมิได้ยิน เนื่องจากเขายังฝึกวิชาไปได้ไม่ถึงไหน
ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าภายในอารามซุ่ยเยว่นั้นมีคนอยู่ แต่เขามิได้รับรู้จากการได้ยิน หากแต่เขาเดาเอาต่างหากเล่า
ประตูของอารามซุ่ยเยว่ถูกปิดไว้ แต่กลอนประตูด้านนอกยังคงสั่นไหว
ลมหนาวนี้สามารถโบกพัดโคมไฟให้ปลิวได้ แต่มิอาจพัดกลอนประตูนั้นได้ อีกทั้งประโยคที่ซูซูกล่าวว่ามีคนมา ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเดาได้ว่าคนเหล่านั้นคงเดินทางมาที่อารามซุ่ยเยว่เป็นแน่
หากมิใช่เพราะต่งชูหลานเดินทางมาด้วย เขาคงต้องเข้าไปดูให้แน่ชัด แต่ต่งชูหลานอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ เขาจะกล้าเสี่ยงอันตรายได้เยี่ยงไร
……
ณ อารามซุ่ยเยว่มีคนสองคนยืนอยู่ และอีกคนที่นั่งอยู่
พวกเขาอยู่บริเวณใกล้กับต้นเหมยนั้น
ชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสง่างามนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับสตรีที่ปิดผ้าบังหน้าไว้
บัดนี้ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มขึ้น ส่ายหัวคล้ายกับผิดหวัง “ข้าคาดว่าคืนนี้จะได้พบกับเขาเสียหน่อย คาดมิถึงว่าเขาจะระมัดระวังถึงเพียงนี้ เสียโอกาสอันดียิ่ง”
เอ่ยจบก็ลุกขึ้น เขายกมือขึ้นจับไปยังกิ่งของต้นเหมย เด็ดมันออกมาดอกหนึ่ง นำมาดมแล้วออกคำสั่งว่า “มีอยู่สองเรื่อง ! ”
คนชุดดำทั้งสองยกมือกำขึ้น “เชิญคุณชายสั่งการ ! ”
“หนึ่ง จงไปตามหาปู้เนี่ยนซือไท่ จำไว้ว่าจับเป็นเท่านั้น”
“สอง…งานเทศกาลโคมไฟ งานกวีหลานถิงจี๋ จงฆ่าฟู่เสี่ยวกวนเสีย และต้องแน่ใจว่ามันได้ตายไปแล้ว ! ”
คนชุดดำทั้งสองรับคำสั่งแล้วจากไป ที่แห่งนั้นกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดูดวงจันทร์ จากนั้นก้มลงมองดอกเหมยในมือ ด้านหลังเขาปรากฏสตรีในชุดสีแดงขึ้นนางหนึ่ง
“เจ้ามิได้อยากพบเขาในวันที่สองเดือนสองหรอกรึ ? เหตุใดจึงรีบร้อนฆ่าเขาเช่นนี้ ? ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาดีดนิ้วขึ้น ดอกเหมยดอกนั้นลอยขึ้นสู่อากาศ มันถูกตัดออกเป็นส่วน ๆ แล้วร่วงลงสู่พื้น
“เขาช่างอันตรายเสียเหลือเกิน ข้าคิดว่ามิอาจควบคุมเขาได้…เช่นนั้นให้เขาตายไปเสียดีกว่า”
สตรีนางนั้นหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยถามอีกครั้งว่า “เช่นนั้นนายพลเฟ่ยเล่า ? ”
ชายหนุ่มเก็บรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ผู้ที่รู้จักวิชากัศยปแสร้งตายของราชวงศ์ก่อนนั้นมีไม่มากนัก ผู้ที่รู้จักองค์หญิงจิ้งอันยิ่งน้อยกว่า เฟ่ยอันมิใช่ผู้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เจ้าจิ้งจอกนี่ยังมั่นคงนัก ! ”
“ด้านในนั้นคนของพวกเราได้ค้นหาทั้งสิ้นแล้ว มิพบสิ่งใด ปู้เนี่ยนซือไท่ขนย้ายไปแล้วงั้นรึ ? หรืออาจจะตกอยู่ในมือของปู้เนี่ยนซือไท่ ? ”
ชายผู้นั้นส่ายหัว “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก่อน จากแผนการแสร้งตายของปู้เนี่ยนซือไท่นั้นแน่นอนว่านางมิได้นำหนังสือเล่มนั้นไว้ที่ตัวเป็นแน่”
“เช่นนั้นนางซ่อนไว้ที่ใดกัน ? ”
ชายหนุ่มยื่นมือออกมาหยิบดอกเหมยไปอีกดอก จากนั้นเอ่ยว่า “ข้าในฐานะองค์ชายก็ประมาทเกินไป ข้าควรให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามา บางทีเขา…อาจจะหามันพบ”
1 ยามเหม่า คือ 05.00 – 06.59 น.
2 ยามจื่อ คือ 23.00 – 24.59 น