รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 9 เดือนที่สองวันที่หนึ่ง ฮ่องเต้ได้ออกพระราชโองการมาสองสามฉบับ ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
ประการแรกได้แต่งตั้งให้พระสนมซั่งเป็นฮองเฮา เป็นผู้นำวังหลัง และเป็นมารดาของใต้หล้า !
ประการที่สองมีรับสั่งให้องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายแดนตะวันออก และให้เฟ่ยอันเป็นผู้บัญชาการของกองทัพชายแดนตะวันออก แล้วให้ออกเดินทาง เพื่อปราบปรามแคว้นอี๋โดยทันที
ประการที่สามรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นราชทูตในงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู่ และให้ออกเดินทางในเดือนสองวันที่ห้า
เกี่ยวกับพระราชโองการฉบับที่หนึ่งและฉบับที่สาม ไม่ว่าจะเป็นทางราชสำนักหรือประชาชนในเมืองหลวงต่างก็ไร้คำคัดค้าน ต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คู่ควร มีเพียงราชโองการฉบับที่สอง ที่เบื้องบนและเบื้องล่างต่างมีการต่อต้านกันอย่างรุนแรง
บนราชสำนักเยี่ยนเป่ยซีได้ลุกออกมา และอธิบายการกระทำขององค์ชายใหญ่ให้เหล่าขุนนางฟัง ถึงแม้ในใจของขุนนางเหล่านั้นจะยังมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็ยังคงเชื่อ หรือหากจะต้องกล่าวก็คือเชื่อในตัวเยี่ยนเป่ยซี
แต่ประชาชนก็ยังคงวิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างดุเดือด จนกระทั่งหลังจากที่ฮ่องเต้ได้แจกจ่ายประกาศไปอีกครา ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเป็นการใส่ร้ายองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ทำให้ตนเองเสื่อมเสียเพื่อบ้านเมือง ถึงได้ทำให้ตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยต้องล้มลง
และในตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็จะออกเดินทางไปเพื่อบ้านเมือง ฮ่องเต้ได้ออกมาส่งที่ประตูทางตะวันออกด้วยตนเอง ทั้งยังสวมเสื้อคลุมให้เขาด้วยพระองค์เอง นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าองค์ชายใหญ่มิได้ก่อกบฏ ท้ายที่สุดแล้วหากเป็นบุตรของตนก่อเรื่องใหญ่ ข้าเองก็คงจะต้องตบตีสั่งสอนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไหนเลยจะมาแสดงท่าทีรักใคร่เยี่ยงฮ่องเต้กัน
ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮาซั่งก็ได้มาส่งด้วยตนเอง ทั้งยังมอบกระบี่ให้แก่องค์ชายใหญ่อีกด้วย
ดังนั้นเสียงจากประชาชนจึงกลับตาลปัตรทันพลัน และส่งผลกระทบต่อขุนนางจำนวนมาก ขุนนางที่เคยมีข้อสงสัยก็ได้ปล่อยวางข้อสงสัยไปในที่สุด และยอมรับว่าที่องค์ชายใหญ่แสดงเป็นกบฏก็เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น
เพียงแต่…เหล่าขุนนางที่ถูกจำคุกกับองค์ชายใหญ่กลับมิได้ถูกปล่อยตัวออกมา อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวว่าขุนนางเหล่านั้นสร้างปัญหาไว้มากมาย พวกเขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของขุนนางที่คิดฉ้อโกงของทั้งสิบสามกรมแห่งราชวงศ์หยู และมิได้เกี่ยวข้องกับองค์ชายใหญ่
คำอธิบายเยี่ยงนี้ดูฝืนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เหมือนกับจะอธิบายได้เพียงเท่านี้
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มาร่วมส่งองค์ชายใหญ่ด้วยเช่นกัน
หยูเวิ่นเทียนกระซิบข้างกูฟู่เสี่ยวกวนว่า “ช่วยข้าดูแลโหรวอี๋ด้วยเถิด ข้าให้นางไปพักที่หอเยียนหยู่ บัดนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใดเชียว ! ”
ให้ตายเถอะ !
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย !
…..
สำนักศึกษาจี้เซี่ยอยู่ในฐานะสำนักศึกษาระดับสูงที่สุดของราชวงศ์หยู ดังนั้นจึงมีความต้องการที่สูงมากเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก และยังมีอาคารอีกหลายสิบหลัง
“สำนักศึกษานี้มีอยู่ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน ในเวลานั้นมีนามว่าสำนักศึกษาเว่ยยาง เพราะอยู่ใกล้กับทะเลสาบเว่ยยาง เพียงแต่หลังจากที่ก่อตั้งราชวงศ์หยู นามนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นสำนักศึกษาจี้เซี่ย มีความหมายว่าการศึกษาเพื่อบ้านเมือง”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่เบื้องหน้าประตูอาคารที่โอ่อ่าและสง่างามของสำนักศึกษาจี้เซี่ย ชางกวนเหวินซิ่วชี้ไปยังสี่ตัวอักขระขนาดใหญ่ที่แกะสลักอยู่บนประตู “สี่อักขระนี้คือตำราของฉินอีโหรวนักปราชญ์ในช่วงก่อตั้งของราชวงศ์หยู ก็คือบรรพบุรุษของฉินปิ่งจงในตอนนี้ รูปแบบวรรณกรรมที่ถ่ายทอดกันมาของตระกูลฉินนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่เหมือนจะขาดหายไปในรุ่นของฉินปิ่งจง ดังนั้นก่อนจะออกเดินทางเจ้าก็ควรไปเยี่ยมเขาเสียหน่อย ช่วงนี้เขาหมกมุ่นกับบทประพันธ์ของเหล่าบัณฑิต เยี่ยงนั้นเขาจะถึงแก่ชีวิตเอาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนผละสายตากลับมา ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “เหตุใดจึงจะถึงแก่ชีวิตกัน ? ”
“บัณฑิตในหลายพันปี ต้องคิดและสร้างบทประพันธ์ใหม่ออกมา ทำร้ายสมองยิ่ง ข้าจึงยกย่องเขาอย่างมาก แต่ข้าก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปี”
ชางกวนเหวินซิ่วได้พาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าประตูนั้นมา เมื่อเงยหน้ามาก็พบเห็นถนนที่กว้างขวาง สองข้างทางมีต้นดอกกุ้ยฮวาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่บนต้นย่อมมิมีดอก มีเพียงหิมะสีขาวโพลน ทั้งยังมีน้ำแข็งที่เกาะกิ่งไม้ยาวสามฉื่อ
“นี่คือถนนชูเซียงของสำนักศึกษา ในราชวงศ์ก่อนสองข้างทางนี้ได้ปลูกต้นดอกซากุระ ไท่จู่มิชื่นชอบ คิดว่าดอกซากุระนี้สวยงามเกินไป มิเหมือนดอกกุ้ยฮวาที่เรียบง่ายแต่หรูหราและมีความหอมที่หลบซ่อนอยู่ แท้จริงแล้ว มันเกิดขึ้นตอนไท่จู่ไปที่แหล่งดอกกุ้ยฮวาฉงโจวบนถนนเจี้ยนหนานซี เขาคิดถึงกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ต้นไม้เหล่านี้ถูกย้ายมาจากแหล่งดอกกุ้ยฮวาจากพื้นที่ห่างไกลไปพันลี้ จนถึงช่วงของฤดูใบไม้ผลิ สำนักศึกษาที่ใหญ่โตนี้ก็จะหอมกรุ่นไปด้วยดอกกุ้ยฮวา หากมีลมพัด ทั้งจินหลิงก็อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกกุ้ยฮวา ความหมายของข้าคือ น้ำหอมดอกกุ้ยฮวาของเจ้า อย่าได้นำมาขายในเมืองหลวงในช่วงที่ฤดูใบไม้ผลิ มิฉะนั้นย่อมขายมิได้อย่างแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนถูกจับได้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหัวเราะร่า รู้สึกว่าคำพูดของชางกวนเหวินซิ่วช่างมีเหตุผล คงต้องบอกต่งชูหลานไว้เสียหน่อย
พวกเขาเดินต่อไปข้างหน้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พบว่าสองข้างทางของถนนชูเซียงมีอาคารสองชั้นสามชั้นอยู่เป็นจำนวนมาก
“นั่นคือสถานที่ฝึกสอนของสำนักศึกษา ด้านซ้ายและขวาคือระดับเริ่มต้น เป็นบัณฑิตที่เข้ามาเป็นปีแรก”
หากเทียบเท่ากับยุคปัจจุบันก็คือปีหนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าและเดินต่อไป จนมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนชูเซียง จึงได้พบเห็นแท่นขนาดใหญ่ บนแท่นนั้นมีรูปคนที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตอยู่สามคน
“นั่นคือสถานที่จัดงานชุมนุมวรรณกรรม เหล่าบัณฑิตจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมที่นั่น อือ รูปปั้นเหมือนเหล่านั้นคือนักปราชญ์ทั้งสาม”
“พวกเราต้องไปที่ใดรึขอรับ ? ”
“พวกเราจะไปสำนักศึกษากลาง”
“สำนักศึกษากลางอยู่ที่ใดขอรับ ? ”
“เดินผ่านมาแล้ว…ความตั้งใจของข้าคือเจ้ายังมิเคยมาสำนักศึกษาแห่งนี้ ข้าจึงพาเจ้ามาเดินรอบ ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก เดินผ่านมาแล้วหรือ ?
“ข้าคิดว่ารีบไปยังสำนักศึกษากลางเถิด เวลากระชั้นชิด รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ”
ชางกวนเหวินซิ่วค่อนข้างเสียใจ “สำนักศึกษาแห่งนี้ยังมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกมาก เช่นวงการวรรณกรรม, ชูเซียง และเสวียห่าย เป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบเว่ยยาง ทิวทัศน์ค่อนข้างงดงาม ทั้งยังมีเกาะเล็ก ๆ เป็นเกาะที่สงบ ดังนั้นจึงได้นามว่าเกาะชิงโยว เป็นสถานที่ที่เหล่าบัณฑิตชอบไปกัน”
คาดว่าที่ไปที่นั่นก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจมิใช่รึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับ และเดินไปทางตะวันออก เป็นถนนเส้นใหญ่อีกเส้น แคบไปเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับถนนชูเซียง แต่ยังคงสามารถรองรับรถม้าที่สัญจรผ่านไปมาได้ เมื่อเทียบกับตรอกและถนนที่แคบในเมืองหลวง
“ได้ยินมาว่าสำนักศึกษาเปิดสถานสอนการต่อสู้รึขอรับ ? ”
“ได้ตกต่ำลงแล้ว อยู่ด้านในสุด ตอนนี้ศิษย์ของสถานสอนการต่อสู้มีเพียง 300 คน ค่อนข้างน่าสงสาร เพราะโดนบัณฑิตที่ร่ำเรียนวรรณกรรมข่มจนมิอาจเงยหน้าขึ้นมาได้”
“มีหนทางใดที่จะฟื้นฟูสถานสอนการต่อสู้ได้บ้างขอรับ ? ”
ชางกวนเหวินซิ่วลูบเครา และส่ายหน้า “นอกจากจะให้ฝ่าบาทแก้ไขนโยบาย ยกระดับนักรบเท่านั้น มิเช่นนั้น ก็จัดการได้ยากยิ่ง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจอย่างมาก เพียงแต่ต้องทำเช่นไรจึงจะทำให้ฮ่องเต้แก้ไขนโยบายนี้ได้ ?
ชางกวนเหวินซิ่วมิได้กล่าวว่าฮ่องเต้จะมิมีทางแก้ไขนโยบาย เพราะหากมีนักรบมากเกินไปก็มิเป็นการดีแก่ราชสำนัก
ถึงแม้นักวรรณกรรมจะไม่สามารถนำทหารได้ แต่นักวรรณกรรมสามารถจัดการได้ง่าย ต่อให้นักวรรณกรรมก่อเรื่องอันใดก็มิใช่เรื่องใหญ่ต่อประเทศชาติบ้านเมือง
แต่นักรบนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาหัวแข็ง หากควบคุมอำนาจได้ ความไม่พอใจที่มีต่อราชสำนัก คงจะลงเอยด้วยการถืออาวุธดาหน้าเข้ามาเป็นแน่
เคยเกิดเรื่องแบบนี้หลายครั้งหลายคราในยามไท่จู่และเกาจู่ ดังนั้นนโยบายการเมืองของราชวงศ์หยูจึงได้เริ่มแก้ไขขึ้นมา
วรรณกรรมเฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนด้านการทหารก็เสื่อมโสมลงเรื่อย ๆ เช่นกัน จนมาถึงวันนี้ ที่แคว้นอี๋เข้ามารุกราน คาดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะมิสำรองเงินให้เหล่าแม่ทัพ !
แน่นอนว่าความหมายของฮ่องเต้คือต้องการให้หยูเวิ่นเทียนออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงมองออกว่ามีนายพลน้อยอย่างมาก มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงมิให้เฟ่ยอันเป็นตัวเลือกที่สอง
อยากให้ประเทศมีความมั่นคงในระยะยาว จะพึ่งพาเพียงนักวรรณกรรมไม่ได้ !
แต่เขาในยามนี้ยังไร้หนทางจะไปเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้
ในตอนที่สะบัดไล่ความคิดนั้นออกไป พวกเขาก็ได้เดินมาถึงลานกว้างที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง
ฝั่งตรงข้ามลานกว้างก็คืออาคารยาวสามชั้น บนหลังคาของอาคารยาวนั้นมีอักขระว่า สำนักศึกษากลาง
“ที่นี่คือส่วนจัดการระบบทั้งหมดของสำนักศึกษา คณบดีของสำนักศึกษาเจ้าก็เคยพบพานมาแล้ว คือนักปราชญ์ใหญ่ของยุค มีนามว่าหลี่ชุนเฟิง คือชายชราผ่ายผอมที่เข้าร่วมประเมินบทกวีของเจ้าในงานกวีเทศกาลโคมไฟ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกขึ้นมาได้ ยามนั้นหลังจากที่เขาได้ประพันธ์ ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว แท้จริงแล้วมีชายชรารูปร่างผ่ายผอมท่าทางบ้าบิ่นผู้หนึ่ง ในยามนั้นชางกวนเหวินซิ่วและฉินปิ่งจงมิได้แนะนำ คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นนักปราชญ์ใหญ่ ทั้งยังเป็นคณบดีสูงสุดของสำนักศึกษาจี้เซี่ย
พวกเขาเดินเข้าไปยังอาคารใหญ่ของสำนักศึกษากลาง ชางกวนเหวินซิ่วพาฟู่เสี่ยวกวนขึ้นไปยังชั้นสาม จนมาถึงห้องทำงานของคณบดีหลี่ชุนเฟิง
“ไอหยา ชางกวน เจ้าได้ทำความดีมาหนึ่งเรื่องแล้ว ! ศิษย์น้องฟู่เข้ามา ๆ มานั่งเถิด” หลี่ชุนเฟิงเดินมาหาอย่างรวดเร็ว และกล่าวทักทายฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีกระตือรือร้นยิ่ง
“คำนับท่านคณบดีหลี่ เชิญท่านนั่งเถิด คนรุ่นหลังเยี่ยงข้านั่งลงคงได้เป็นลมล้มพับขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้องฟู่เอ๋ย การศึกษาไร้ลำดับหน้าหลัง ผู้บรรลุคือผู้มาก่อน ลองไถ่ถามสวรรค์ดูว่ายังจะมีผู้ใดที่จะได้สลักเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือถึงสามแผ่นบ้าง ข้าชื่นชมเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว มิต้องเกรงใจ ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิมีทางนั่งลงไป หลังจากที่ปฏิเสธไป หลี่ชุนเฟิงทำได้เพียงนั่งลง ในขณะที่ต้มชาก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้ามีความคิดหนึ่งที่อยากจะมากล่าวให้ศิษย์น้องฟู่ฟัง เป็นเยี่ยงนี้ ข้าอยากจะเชิญศิษย์น้องฟู่มาเป็นอาจารย์พิเศษของสำนักศึกษา… ”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ข้าทราบว่าเจ้ากำลังยุ่งกับเรื่องในราชสำนักเป็นอย่างมาก แต่คงมิได้ยุ่งไปตลอดเวลาใช่หรือไม่ สำนักศึกษามิได้มีเงื่อนไขอื่นใดกับเจ้า แค่ให้เจ้ามาบรรยายที่นี่สักหนึ่งถึงสองคาบเรียนหากมีเวลาว่าง มิมีก็มิเป็นไร ถือว่าเป็นการเพิ่มชื่อเสียงก็ได้ ถือว่ามาเพิ่มพูนวรรณกรรมให้แก่สำนักศึกษา เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่อาจปฏิเสธอย่างง่ายดาย ถึงแม้จะไม่ได้ถูกควบคุม แต่เกรงว่าตนนั้นจะมิมีเวลามาที่นี่อีก ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
หลี่ชุนเฟิงดีใจอย่างมาก “ชางกวน เจ้ามาช่วยต้มชาเถอะ ข้าจะไปที่นั่น ! ”
ชายชราที่ผ่ายผอมวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ชางกวนเหวินซิ่วกลับเอ่ยขำ ๆ “เขามีนิสัยเยี่ยงนี้แหละ เร่งรีบ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีความคิดอันใดอยู่ แต่ข้าก็ยังจะขอเอ่ยว่า”
“หากเจ้ามีเวลา ก็มาสอนเหล่าบัณฑิตที่นี่เถิด”
“ผู้ฝึกสอนมิพอรึ ? ”
ชางกวนเหวินซิ่วส่ายหน้า “ชื่อเสียงของเจ้าในหมู่บัณฑิตสูงส่งยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของเหล่าเยาวชน ผลกระทบที่ตามมาจากการที่เจ้าเข้าสอนย่อมมิมีผู้ใดเทียบได้ ต่อให้เป็นข้าหรือหลี่ชุนเฟิง ก็ทำมิได้”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหากเขาปลูกฝังการรบและการค้นคว้าให้กับเหล่าบัณฑิตแทน จะถูกหลี่ชุนเฟิงผู้นั้นตีหัวไล่ออกจากสำนักศึกษาหรือไม่ ?
เขามิได้รับปากกับชางกวนเหวินซิ่ว เพราะเขายุ่งมากจริง ๆ
หลังจากกลับมาจากราชวงศ์อู่เขายังต้องกลับไปยังหลินเจียง เขาต้องไปตรวจตราที่ซีซานอีกครา เขายังต้องไปดูพื้นที่พัฒนาของเขตเหยา หลังจากนั้นก็ต้องไปเขตชวีอี้และผิงหลิง
ยุ่งราวกับสุนัขก็ไม่ปาน !
เพียงไม่นาน หลี่ชุนเฟิงก็วิ่งกลับมาอีกครา ในมือถือเสื้อสีดำ ทั้งยังมีสัญญาว่าจ้างอีกหนึ่งฉบับ
“ท่านเตรียมไว้นานแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวยิ้ม ๆ
“แน่นอน ชุดนี้ย่อมพอดีกับร่างกายของศิษย์น้อง ส่วนหนังสือเจ้าก็ลองอ่านดู เห็นว่าเหมาะสมก็ลงลายนิ้วมือ และเจ้าก็จะได้เป็นอาจารย์รับเชิญของสำนักศึกษาแล้ว”
“แล้วรายชื่อของผู้ที่จะเดินทางไปราชวงศ์อู่ล่ะขอรับ ? ”
“ตรงนี้ ข้างบนนี้คือ 80 คน ส่วนที่เหลือ 20 คนนี้ เจ้าเขียนด้วยตนเอง !”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองชายชราผู้นั้น ชายผู้นี้มิเลว !