ตอนที่ 293 เงาสะท้อนจันทรา
เมื่อจัดการพักผ่อนเสร็จเรียบร้อย นอกจากหยูเวิ่นหวินแล้ว คนอื่น ๆ ได้รับประทานอาหารเย็นกันอย่างเรียบง่าย เมื่ออาบน้ำล้างตัวเสร็จก็เข้าไปพักผ่อนยังห้องนอนของตน หลายคนมีอาการไม่สบายตัวเนื่องจากร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวในสภาวะที่มีออกซิเจนเบาบางเช่นนี้ได้ หลายคนต่างล้วนไม่อยากอาหารและไม่มีชีวิตชีวา มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่มิมีอาการผิดปกติอันใดเลย เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
ค่ำคืนนี้แสงจันทราสว่างไสว เมื่อได้มาเชยชมบนที่ราบสูงเยี่ยงนี้ราวกับฟากฟ้านั้นห่างแค่เพียงเอื้อมมือและดวงจันทร์นั้นใหญ่ยิ่งกว่าทุกคราที่แหงนมอง
ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินลงมาจากชั้นสองแล้วมาหยุดแหงนชมจันทราอยู่ที่ลานกลางจวน เติ้งซิวได้เดินเข้ามาหาแล้วโค้งคำนับให้แก่เขา “ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าฟู่ มิทราบว่าใต้เท้าฟู่จะพอใจในสิ่งที่ข้าน้อยได้จัดเตรียมไว้ให้หรือไม่ หากท่านมีความประสงค์ประการใด ขอจงได้เอ่ยกล่าว ข้าน้อยจะคอยปรนนิบัติท่านให้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนหันสายตามามองเบื้องหน้า มองเติ้งซิวแล้วจึงยิ้มตอบ “อย่าได้ใช้คำว่าใต้เท้าหรือข้าน้อยเลย ข้านั้นมาในนามของนักประพันธ์ผู้ซึ่งมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ท่านมิจำเป็นต้องมีพิธีรีตองอันใด ข้านั้นมิใช่คนเคร่งครัดเรื่องพิธีมากนัก แล้วสถานที่แห่งนี้คือสถานทูตของพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ขอรับ ใต้เท้าฟู่ ! ด้านการทูตแห่งแคว้นเรานั้นมีคณะทูตทั้งสิ้น 3 คน ท่านคงได้พบพานมาหมดแล้ว ปกติข้าน้อยนั้นจะปฏิบัติงานราชการ ณ ที่แห่งนี้ หากทางราชวงศ์อู๋มีความประสงค์อันใดต่อราชวงศ์ของเรา พวกเขาจะมอบหมายให้ผู้ส่งสาส์นนำราชสาส์นมายังที่นี่ หากแคว้นหยูของเรามีข้อเสนอประการใด ข้าน้อยและผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะนำเรื่องนี้ไปถวายแก่แผนกที่เกี่ยวข้องกับทางราชสำนัก หรือต่อองค์จักรพรรดิขอรับ”
พวกเขามีหน้าที่มิต่างอันใดกับสถานเอกอัครราชทูตในยุคปัจจุบัน ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าพลางคิดตาม สองคนได้เคลื่อนมานั่งบนม้านั่งหินอ่อน เมื่อนั่งลงแล้วและได้สัมผัสกับแผ่นหินอ่อนความเย็นนั้นได้แผ่ไปทั่วสะโพก !
“ท่านพำนักอยู่ที่นี่นานเพียงใดแล้วกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนถามด้วยความใคร่รู้
“3 ปีกับ 3 เดือนแล้วขอรับ”
“ตอนนี้คงคุ้นชินมิน้อยแล้วสินะ…”
“ขอรับใต้เท้าฟู่ แท้จริงแล้วงานนี้ถือว่าเบายิ่งนัก ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋นั้นมิได้แน่นแฟ้นมากนัก เยี่ยงงานต้อนรับเอิกเกริกเฉกเช่นวันนี้นั้นถือเป็นคราแรกของข้าน้อยในรอบสามปีที่พำนักอยู่ที่นี่ หากขาดเหลือประการใดขอท่านใต้เท้าฟู่จงเมตตาด้วยเถิด”
เติ้งซิวมิได้พูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเองดั่งที่เขาได้ร้องขอ เพราะเขารู้ซึ้งถึงบทบาทและสถานะของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าชายหนุ่มผู้ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้นี่แหละที่เป็นขุนนางผู้มีอำนาจแห่งราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง !
มิอาจกระทำสิ่งใดให้ชายหนุ่มผู้นี้ผิดใจได้เป็นอันขาด เพราะช่างยากแท้ที่จะหยั่งถึงจิตใจของชายหนุ่มผู้นี้ว่ามีความคิดอันใดซ่อนอยู่ หากตนทำตัวสบาย ๆ อย่างที่เขาร้องขอเอาไว้ อาจจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่มิดีแก่เขาได้มิมากก็น้อย
ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้จุกจิกเรื่องการใช้คำกล่าวแทนตนเองอีกต่อไป เขาจึงเอ่ยถามต่อ “ท่านมีครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวงเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ใต้เท้าฟู่ ครอบครัวของข้าน้อยนั้นมิได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ขอกล่าวตามตรงว่าสถานที่เฉกเช่นเมืองหลวงนั้นมิเหมาะกับคนอย่างข้าน้อยที่จะอยู่อาศัยยิ่งนัก ต้นตระกูลของข้าน้อยนั้นอยู่ที่เมืองหย่งหนิงแห่งซีซานเต้า เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ข้าน้อยได้สอบรับราชการ หลังจากนั้นก็รอการเรียกตัวอยู่ราว 2 ปี รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ข้าน้อยได้รับตำแหน่งเสมียนประจำที่วัดหงหลูซื่อแห่งราชวงศ์หยู และเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 นั้นเป็นปีแรกที่ข้าน้อยได้มาประจำการอยู่ที่นี่ ระหว่างนี้ข้าน้อยได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้นึกถึงเหตุการณ์ที่กงเซินจ่างได้กวาดล้างเมืองหย่งหนิง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมา “ความเป็นอยู่ของครอบครัวท่านเป็นเยี่ยงไร ? มีภรรยาและอนุกี่คน ? และมีบุตรหญิงชายทั้งหมดกี่คน ? ”
เติ้งซิวผงะเล็กน้อย เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้จึงใคร่รู้ข้อมูลส่วนตัวของตน แต่ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนถามเขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องตอบออกมา “ความเป็นอยู่ของครอบครัวข้าน้อยถือว่าดีพอควร ข้าน้อยมีภรรยา 1 คน และอนุอีก 1 คน ข้าน้อยมีบุตรชาย 2 คน ข้าน้อยนั้นสมรสกับภรรยาเมื่อคราที่รอรับตำแหน่ง และได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งสองเมื่อครานั้นเช่นเดียวกัน รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 7 เมื่อคราที่ข้าน้อยเดินทางกลับไปเยี่ยมเยือนครอบครัว ข้าน้อยได้สมรสกับอนุผู้หนึ่ง หลังจากนั้นมีจดหมายจากทางบ้านมาแจ้งว่านางได้ให้กำเนิดบุตรสาว”
เมื่อได้พูดคุยเรื่องราวภายในครอบครัว สีหน้าของเจิ้งซิวนั้นได้เผยความอ่อนโยนขึ้นมา “จนถึงบัดนี้ข้าน้อยก็ยังมิได้เห็นหน้าบุตรสาว ข้าน้อยวางแผนไว้ว่าในปีหน้าจะยื่นจดหมายลากลับบ้านไปหาลูก ๆ ของข้าเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหย่งหนิง เขากลับยิ้มตอบ “จากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสนนาน ความคิดถึงบ้านคงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านควรกลับไปเยี่ยมเยือนพวกเขาบ่อย ๆ ” แล้วเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “มิทราบว่าสถานทูตของแคว้นฝาน แคว้นอี๋ และแคว้นฮวงนั้นอยู่บนถนนเส้นนี้เช่นเดียวกันหรือไม่ ? ”
“สถานทูตของแคว้นฝานและแคว้นอี๋นั้นอยู่ภายในตัวเมือง มีเพียงแค่สถานทูตของแคว้นฮวงและแคว้นหยูเท่านั้นที่อยู่ในส่วนกลางของเมืองกวนหยุน สถานทูตของแคว้นฮวงนั้นตั้งอยู่ไกลกว่าที่แห่งนี้ไปอีก ตั้งอยู่ที่ตรอกต้วนสุ่ยเฉียวติดกับเขตนอกเมือง แล้วที่แห่งนั้นยังมีสถานทูตของอีกสามแคว้น ซึ่งเป็นแคว้นเล็ก ๆ ทางตอนตะวันตกของอาณาเขตราชวงศ์อู๋ สองในสามแคว้นนั้นเป็นแคว้นที่ติดชายฝั่งทะเล อีกหนึ่งนั้นเป็นแคว้นที่อยู่บนเกาะกลางทะเล ห่างไกลจากอาณาเขตของราชวงศ์หยูยิ่งนัก และด้วยเหตุนี้แคว้นหยูจึงไร้สถานเอกอัครราชทูตของแคว้นเหล่านั้นประจำการอยู่”
ฟู่เสี่ยวถึงกับผงะเมื่อได้ยินเช่นนั้น แคว้นริมชายฝั่งทะเลเยี่ยงนั้นรึ นี่เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญยิ่ง ไว้หากมีเวลาว่างจักถือโอกาสเข้าไปพูดคุยกับทูตของทั้งสามแคว้นนี้เสียหน่อย
อาณาเขตของแคว้นหยูนั้นไม่มีทางออกสู่ทะเล นี่จึงเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงมากยิ่งนัก แม่น้ำแยงซีเกียงนั้นย่อมไหลลงสู่ทะเล ข้อเท็จจริงนี้จำต้องรู้ให้แน่ชัด
ส่วนเรื่องที่สถานทูตของแคว้นหยูตั้งอยู่ส่วนกลางของเมืองเช่นนี้ หากลองมาพิจารณาดูแล้วคงเป็นเพราะแคว้นอู๋นั้นให้ความสำคัญแก่แคว้นฝานและแคว้นอี๋มากกว่าราชวงศ์หยู ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เป็นเยี่ยงนี้นั่นก็คืออำนาจของแต่ละแคว้นนั่นเอง
อำนาจของแต่ละแคว้นนั้นเป็นเยี่ยงไรฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยรู้แจ้งนัก เขารู้เพียงแค่ว่าอาณาเขตของแคว้นฝานนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากยิ่งนัก ส่วนแคว้นอี๋นั้นมีเพียงแค่หนึ่งในสามของอาณาเขตทั้งหมดแห่งแคว้นหยู
แคว้นอี๋นั้นกล้าที่จะยกกองทัพมาโจมตีแคว้นหยู นั่นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าแท้จริงแล้วแคว้นอี๋นั้นมีอำนาจเหนือแคว้นหยู
แคว้นที่อ่อนแอไร้ซึ่งมิตร นี่คงจะเป็นสัจธรรม คิดดูแล้วเติ้งซิวและพวกพ้องอีกสามคนที่อยู่ที่นี่คงอยู่อย่างยากลำบากมากเช่นกัน
ณ เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่มีแผนการใดที่จะพลิกแพลงสถานการณ์เยี่ยงนี้ เขาจึงเอ่ยถามต่อว่า “งานชุมนุมวรรณกรรมและงานเฉลิมพระชนมพรรษาครานี้พวกท่านจงเตรียมการให้พร้อม”
“ข้าน้อยจะพึงระลึกคำกล่าวนี้เอาไว้ และรอคอยใต้เท้าฟู่นำเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาให้แก่ราชวงศ์หยูสำหรับการแข่งขันครานี้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มโดยมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธอันใด “เวลานี้ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด”
“ข้าน้อยขอตัวขอรับ ! ”
เติ้งซิวได้เดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนได้วางมือไว้บริเวณหัวเข่าแล้วแหงนหน้าชมแสงจันทราสุกสกาวอีกครา บัดนี้เขายังมิรู้สึกอยากหลับตานอนเลยแม้แต่น้อย
……
ยังมีอีกหลายคนที่มิสามารถข่มตานอนหลับได้เช่นกัน
ราตรีนี้อู่หลิงพักผ่อนอยู่ในพระราชวังเจิ้งหยางขององค์ไทเฮา ขณะนี้นางกำลังเสวยของหวานพลางเชยชมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่แต่งไว้เมื่อคราที่อยู่เมืองฝานหนิง นางจ้องมันอยู่เยี่ยงนั้นด้วยความปิติเต็มเปี่ยม
ณ ยอดเขาเจี้ยนซานแห่งเมืองเจี้ยนหลิน สถานที่ที่ห่างออกไปไกลนับพันลี้ ลู่เสี่ยวเฟิงหัวหน้าองค์รักษ์สำนักแห่งป่ากระบี่ได้จ้องมองร่างไร้วิญญาณของลูกศิษย์ผู้มีนามว่าจั่วเฮิ่นฮวาด้วยสีหน้าพยาบาท เขาจ้องมองอยู่เยี่ยงนั้นมาเป็นเวลาสองวันสองคืน !
เขามิเข้าใจว่ารูโหว่ตรงศีรษะของจั่วเฮิ่นฮวานั้นเกิดขึ้นด้วยอาวุธชนิดใด เขาคิดเท่าใดก็คิดมิออก จากนั้นจึงหันหน้าทอดมองไปทางใต้ ที่แห่งนั้นมีเทือกเขาทอดยาวอยู่ และเทือกเขาแห่งนั้นก็เป็นที่ตั้งของสำนักเต๋า หรือว่าท่านเจ้าอาวาสเคยมาเยี่ยมเยือนที่เขตชายแดนแห่งนี้ ?
หรือว่าท่านเจ้าอาวาสจะฝึกวิชาดัชนีในตำนานได้สำเร็จ ?
ในเมือท่านเจ้าอาวาสคอยเกื้อหนุนฟู่เสี่ยวกวนอยู่ เช่นนั้นแล้วข้าจะเชือดคอมันให้ดู !
“ทุกคน… ! ”
คืนนั้นเองที่ทั้งสามองค์รักษ์ผู้เกรียงไกรได้ออกเดินทางจากป่ากระบี่ไปยังเมืองกวนหยุน
ค่ำคืนนี้จัวตงหลายก็ยากที่จะข่มตาให้นอนหลับได้
เขาสวมชุดสีขาวยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมลำธารหลานซีแล้วมองเงาสะท้อนจันทราบนผิวน้ำของลำธารหลานซี
ประโยคที่ว่าหม่อมฉันจะเลี้ยงดูท่านเองที่อู่หลิงได้เอ่ยต่อฟู่เสี่ยวกวนนั้นบัดนี้ได้ถึงหูเขาแล้ว ดวงใจของอู่หลิงอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวนไปแล้วทั้งดวง เรื่องที่ว่าทั้งจัวตงหลายและอู่หลิงเป็นคู่สร้างคู่สมตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ !
เขาภาคภูมิใจในฐานะผู้โดดเด่นด้านวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋ของตนมาเสมอ และยังคงรักษาความสัมพันธ์สุดลึกซึ้งระหว่างเขาและอู่หลิงไว้อย่างสม่ำเสมอ
และในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลที่สูงส่งที่สุดแห่งราชวงศ์อู๋ เขายิ่งต้องหมั่นพากเพียร หมั่นฝึกฝนยุทโธปกรณ์และขยันอ่านหนังสือหาความรู้ เขามุ่งมานะที่จะเป็นดาวดาราที่เด่นที่สุดในราชวงศ์อู๋
ความพยายามของเขานั้นเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง ที่จนถึงบัดนี่เขาก็ยังมิเคยพบเจอหน้าฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่เพียงครั้งเดียว !
เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงในลำธารหลานซีอย่างสุดกำลัง ลำธารที่ไหลเอื่อยนั้นได้มีน้ำกระเพิ่มขึ้นมา ทำให้เงาจันทราแตกเป็นเสี่ยง เขายิ้มออกมาด้วยความโศกเศร้า ความรู้สึกระหว่างเขาและคู่สร้างคู่สมตั้งแต่วัยเยาว์นั้นช่างเปราะบางเฉกเช่นเงาจันทราที่สะท้อนบนผืนน้ำแห่งนี้ เพียงแค่ก้อนกรวดกระทบเงา เงานั้นก็อันตรธานหายไป