ตอนที่ 296 วิหคนับร้อยแห่มาชื่นชม
อู๋หลิงมิเข้าใจว่าแสงแรกแห่งสุริยันคือสิ่งใด แน่นอนว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ย่อมมิทราบเช่นกัน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้วถึงกับตกตะลึง
มิเลวเลยนี่ แสร้งทำได้แยบยล เอ่ยออกมาได้ถูกจังหวะยิ่งนัก
แน่นอนว่าคำพูดนี้มิใช่คำพูดที่ซูซูคิดขึ้นมาเอง แต่เป็นคำพูดที่คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยให้นางฟังต่างหากเล่า
จำได้เลือนรางว่าเกิดขึ้นตอนไหน วันนั้นหิมะถล่มเมืองจินหลิงอย่างหนัก ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูได้ร่วมเดินทางไปยังอารามซุ่ยเยว่
อารามซุ่ยเยว่เปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงแค่รูปปั้นของเจ้าแม่หนี่วาเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
เขาค้นภายในอารามซุ่ยเยว่อยู่แสนนาน แล้วจึงยกย้ายเก้าอี้มานั่งตรงลานด้านใน
ตอนนั้นซูซูได้เอ่ยถามว่าเขากำลังรอสิ่งใด เขาจึงตอบกลับไปเช่นนี้ “รอแสงแรกแห่งสุริยัน ! ”
ซูซูแหงนหน้าขึ้นมองหิมะที่โปรยลงมาอย่างมิขาดสาย มิรู้ว่ายามใดแสงแรกแห่งสุริยันนั้นจะปรากฏขึ้นมาให้เห็น ว่าแต่แสงสุริยันมันมีแค่ช่วงเดียวเสียที่ไหนกัน
ซูซูมิเข้าใจแต่ก็มิได้เอ่ยถาม ฟู่เสี่ยวกวนรออยู่เนิ่นนานจากนั้นจึงได้จากไปก่อนที่แสงแรกแห่งสุริยันนั้นจะมาเยือน
ทว่าครานั้นฟู่เสี่ยวกวนกลับหวังให้หิมะหยุดตกขึ้นมาจริง ๆ เพื่อที่จะได้เห็นแสงสุริยันสาดส่องเข้ามาถึงลานด้านใน
ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าที่อารามซุ่ยเยว่มีสุดยอดความลับถูกปกปิดเอาไว้อยู่ แต่หาเยี่ยงไรก็หามิเจอ
บัดนี้อารามซุ่ยเยว่นั้นถูกซูม่อเผาจนมอดไหม้มลายสิ้น แต่เขาก็ยังคงอยากกลับไปที่อารามซุ่ยเยว่แห่งนั้นเพื่อไขความลับอีกสักครา
……
ชากำลังอุ่นได้ที่พอดี
ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้ดื่มชาถ้วยแรก ดวงตาของซูซูก็ได้ส่องประกายขึ้นมา
แสงแรกแห่งอรุโณทัยได้ปรากฏขึ้นตรงปลายเส้นขอบฟ้า ราวกับประตูแห่งสรวงสวรรค์ได้ถูกเปิดแล้วแสงแห่งสุราลัยสาดส่องลงมา
จากนั้นแสงแรกแห่งอรุโณทัยนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง แดงฉานราวกับสีของโลหิต ดั่งถูกปูเอาไว้ด้วยผ้าไหมสีแดงสด แสงสุริยันมิได้ปรากฏขึ้นเหนือทะเลหมอกอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าแสงนั้นได้ปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา !
ทะเลหมอกถูกย้อมให้เป็นสีแดง ขอบฟ้าได้เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง
“นั่นคือแสงแรกแห่งสุริยัน ! ”
ซูซูได้เริ่มบรรเลงฉิน ดั่งลมแห่งวสันตฤดูที่พัดเอื่อยแต่ยาวนาน ดั่งธาราแห่งขุนเขาไหลรวยริน
บทเพลงที่นางบรรเลงนั้นคือบทเพลงบทสุดท้ายในสิบสองบทของหนังสือความฝันในหอแดง นั่นก็คือบทเพลงวิหคบินสู่พงพนา
แม้ว่าเสียงฉินจะมีจังหวะขึ้นลง แต่ทว่าก็ได้ทำให้รู้สึกหดหู่มากเช่นกัน
เมื่อสายลมในยามเช้าได้พัดพาเข้ามา ทำให้อากาศตรงภูผาเมฆเย็นขึ้นกว่าเก่า หยูเวินหวินสั่นสะท้านเพราะความหนาวเย็น ส่วนท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่เบื้องหลังของฝานเทียนหนิงนั้นบัดนี้ได้ถอนสายตาออกมาจากปลายเส้นขอบฟ้า และสายตาคู่นั้นได้จดจ่ออยู่ที่ร่างของซูซูแทน
ซูซูผู้ซึ่งบัดนี้กำลังดีดฉินอย่างใจจดใจจ่อ
สายตาของนางยังคงเพ่งมองที่แสงแรกแห่งสุริยัน แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับแยกออกว่าสายตาของนางนั้นมิได้เพ่งมองสิ่งใดเป็นพิเศษ บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นรูดำมืด และในนั้นมีความมืดมิดและความเจ็บปวดที่ยากแท้จะหยั่งถึงปรากฏออกมาให้เห็น
บัดนี้ซูซูได้กลับไปจมปลักอยู่ในความทรงจำของตนอีกครา !
เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่ฮ่องเต้ไท่เหอขึ้นครองราชย์ครบ 51 ปี ตอนนั้นนางอายุ 5 ขวบพอดี
ณ ตรอกชิงอีในเมืองจินหลิงมีจวนของขุนนางผู้หนึ่งถูกเผาจนวอดวาย ทั้งหมดเป็นแผนการของเส้าชิงหลินที่ต้องการฆาตกรรมหมู่ทั้งครอบครัว สุดท้ายนั้นสมาชิกในครอบครัวและบริวารได้ถูกอัคคีภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันคร่าชีวิตไปทั้งหมด 136 ชีวิต แต่มิมีผู้ใดล่วงรู้รู้ว่าตระกูลหลินนี้ได้มีเด็กหญิงผู้หนึ่งรอดชีวิตมาได้ และบัดนี้นางผู้นั้นได้อายุใกล้ครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว
นางได้กลายเป็นเด็กกำพร้าและมิได้มีแซ่หลินอีกต่อไป นามของนางนั่นคือซูซู นางพร่ำอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจว่าแท้จริงนั้นชื่อของนางคือหลินซูซู !
นางรู้ดีว่านั่นมิใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด นางยังจำชื่อของผู้ร้ายได้ขึ้นใจ เพียงแต่ว่าเวลานี้เขาผู้นั้นมีฐานะที่สูงส่ง ลำพังเพียงแค่สถานะของนางในตอนนี้คงเป็นการยากที่จะตามล้างแค้น
ทุกวันนี้นางใช้ชีวิตดั่งเด็กสาวที่แสนบริสุทธิ์สุดสดใส แม้แต่ศิษย์พี่ในสำนักเต๋าเองก็คิดว่านางนั้นมิต่างอะไรกับพวกเขามากนัก พวกเขาต่างก็คิดว่านางลืมอดีตที่แสนขมขื่นเหล่านั้นไปทั้งหมดแล้ว
นางปรารถนาที่จะลบเลือนภาพหยาดโลหิตที่ไหลท่วมเจิ่งนองจวนในครานั้น แต่ภาพนั้นกลับยิ่งฝังลึกเข้าไปและชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของนาง
ทันใดนั้นเสียงฉินก็ได้ดังกึกก้องขึ้นมา และซูซูก็ได้เปล่งเสียงขับร้องบทเพลงวิหคบินสู่พงพนาออกมาให้ได้ยิน
เหล่าขุนนางงานบ้านเรือนย่อมล้มเหลว
ผู้ร่ำรวยสูงส่งเงินทองนั้นมากมี
ผู้จิตใจดีพระย่อมคุ้มภัย
ผู้ไร้เมตตากรรมย่อมตามสนอง
ติดค้างชีวีมิได้หวนคืน
ติดค้างหยาดน้ำตาได้ไหลจนรินหมดสิ้น
……
เสียงร้องของนางทำให้ทุกคนประทับใจมากยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้คนทุกคนจึงจดจ้องไปที่นาง ทว่าสายตาคู่นั้นของนางยังคงเพ่งมองไปที่แสงแรกแห่งสุริยัน !
ฟูเสี่ยวกวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะนางจำคำร้องผิดไปประโยคหนึ่ง ประโยคที่ว่าติดค้างชีวีหวนคืนสิ้น ซูซูได้ร้องเป็นติดค้างชีวีมิได้หวนคืน หรือนางอาจจะจำผิดก็เป็นได้ เขาเลยมิได้เอาไปคิดใส่ใจมากนัก เพราะเดิมทีซูซูคนที่เขารู้จักนั้นเป็นเพียงเด็กสาวที่รู้แต่เรื่องกินมิได้สนใจสรรพสิ่งอื่นใดในใต้หล้านี้
ซูซูมิแม้แต่จะสังเกตว่าสายตาของทุกคนได้เปลี่ยนจากความประหลาดใจมาเป็นความชื่นชมแทน เสียงบรรเลงฉินของนางได้ดังเอื่อยอีกครา ทันใดนั้นภาพสุดมหัศจรรย์ที่มิเคยปรากฏมาก่อน ณ กวนหยุนถายก็ได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็น
วิหคนับร้อยพันจากส่วนที่ลึกที่สุดในทะเลหมอกได้บินออกมารวมกันเป็นกลุ่ม !
หมู่มวลวิหคบินวนอยู่เหนือทะเลหมอก ร้องเสียงดังเจื้อยแจ้ว จากนั้นก็บินเข้ามาที่กวนหยุนถายอย่างบ้าคลั่ง !
ทะมึนดั่งเมฆดำที่บดบังแสงสุริยันและได้แผ่ปกคลุมทั่วทั้งท้องนภาเหนือกวนหยุนถายเสียจนมิด
คล้อยตามเสียงบรรเลงฉินของซูซูที่บัดนี้ได้ก้องกังวานมากขึ้นกว่าเก่า วิหดบางส่วนได้เหินบินขึ้นไปสู่ท้องนภา บางส่วนได้เกาะพักบนกิ่งก้านของต้นสนโบราณ อีกทั้งยังมีบางส่วนที่เกาะอยู่บนบ่าของซูซู
ทุกคนต่างตกตะลึงหรือแม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองบัดนี้ก็ได้ตกตะลึงเสียจนตาเบิกโพลง
นี่สินะวิหคนับร้อยแห่มาชื่นชมดังที่กล่าวขานกันมา !
บัดนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่ทั้งสองแห่งสำนักเต๋าได้กินนกเข้าไปหลายตัวเหลือเกิน !
อ่า ! เพียงแค่ยื่นมือออกไป เจ้านกหน้าโง่เหล่านี้ก็โดนจับได้แล้ว !
ทำนองเสียงบรรเลงของซูซูได้เปลี่ยนไปอีกครา ครานี้เปลี่ยนเป็นสะเทือนใจ ตีบตันใจ และเสียงขับร้องใสราวกับแก้วนั้นได้ดังขึ้นมาอีกครา
หากใคร่รู้ว่าเหตุใดชีวิตถึงสั้นจงถามตนเองว่าทำเรื่องชั่วใดมา
หากแก่ตัวลงมีกินดีอยู่ดีนั้นนับว่าโชคดี
ผู้ที่รู้ว่าสักวันก็ต้องตายย่อมหลีกเลี่ยงการเข้าหาธรรมะ
ผู้ที่ยึดมั่นในความฝันย่อมสละชีวีเพื่อไขว่คว้า
ดั่งฝูงวิหคแย่งชิงอาหารประทังชีพ
เมื่อกินเสร็จทิ้งไว้แค่พื้นเปลือยปล่าวสะอาดตา
ทันใดนั้นเสียงบรรเลงได้เปลี่ยนเป็นเสียงแหลม และหมู่วิหคนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นมาในบัดดล
พวกมันต่างก็เหินสูงขึ้นไปและยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วพุ่งลงมาชนกับพื้นธรณีบนกวนหยุนถาย !
หนึ่งตัว สองตัว สิบตัว ร้อยตัว…….
ราวกับว่าหมู่มวลวิหคเหล่านี้ได้บ้าคลั่งจนเสียสติ พวกมันได้พุ่งลงมาชนกับพื้นธรณีอย่างมิขาดสาย โลหิตสีแดงสดไหลอาบพื้นธรณีเป็นวงกว้าง ซากมวลวิหคกองเกลื่อน
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเป็นอย่างมาก จึงตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน “พอได้แล้ว ซูซู ! ”
เสียงบรรเลงแสนกึกก้องได้หยุดลงในทันใด นัยน์ตาของซูซูราวกับเพิ่งรวบรวมสติกลับมาได้ จึงค่อย ๆ มีสีสันขึ้นมา นางผละสายตาออกจากแสงแรกที่สอดส่องอยู่ที่ปลายขอบฟ้า
นางหันไปมองศพของหมู่วิหคที่กลาดเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นธรณี แล้วจึงก้มศีรษะลงด้วยความเสียใจ
ฉินนั้นมีไว้สังหารคน เหตุใดข้าจะต้องเล่นฉินด้วย ?
“ข้า…ข้ามิได้เจตนา”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบศีรษะของซูซูอย่างแผ่วเบา ซูซูมิได้หลบหลีก นางรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง นางมิได้มีเจตนาสังหารหมู่มวลวิหคเหล่านั้น ที่ตำหนักสำนักเต๋าก็ได้ตายไปจนมิเหลือสักตัวแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะทำให้ศิษย์พี่ทั้งสองได้รับผลประโยชน์ แต่นางกลับมิได้รู้สึกยินดีกับการกระทำเยี่ยงนี้เลยแม้แต่น้อย
เดิมทีนางมิอยากบรรเลงฉินให้ผู้ใดฟังทั้งสิ้น วันนี้กลับมิรู้ว่าเนื่องด้วยเหตุใดทำให้นางมีอารมณ์อยากจะบรรเลงฉินขึ้นมา
กลับกัน อู๋หลิงและคนอื่น ๆ กลับรู้สึกพิศวงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นที่สุด !
ต้องเป็นคนประเภทใดกันถึงจะมีพรสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้ ?
ทั่วทั้งใต้หล้านี้จะมีผู้ใดที่บรรเลงเย้ายวนมวลวิหคได้มากถึงเพียงนี้กัน ราวกับโดนมนต์แห่งเสียงของฉินสะกดจิตถึงขั้นมิเสียดายชีวาเลยเยี่ยงนั้นรึ !
ท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลงของฟู่เสี่ยวกวนนั้นหันไปทางซูซูแล้วก้มหน้าลงคำนับ แต่มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเนื่องด้วยสาเหตุใด
สุริยันแห่งแดนไกลโพ้นบัดนี้ได้โผล่พ้นเหนือทะเลหมอกส่องประกายแสงสาดส่องลงมา
ด้วยเหตุนี้กลุ่มเมฆเหล่านั้นจึงยิ่งถูกย้อมให้เป็นสีแดงแล้วเคลื่อนตัวเข้ามา
ราวกับคลื่นที่ซัดเข้าริมฝั่งและก่อตัวขึ้นเป็นชั้น ๆ สูงขึ้นและสูงขึ้นจนต่อตัวเป็นภูเขาเมฆขนาดใหญ่
มิใช่แค่ภูเขาแต่เป็นเทือกเขา
ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังเมฆลวงตาที่บัดนี้ได้ก่อตัวเป็นดั่งหุบเขา แล้วหันไปส่งยิ้มให้ซูซู “เจ้าดูสิ นี่คงเป็นความงดงามแห่งทะเลหมอก”
อู๋หลิงต้องยับยั้งความรู้สึกพิศวงนั้นไว้ในใจ จากนั้นนางจึงกล่าวต่อซูซูด้วยความนับถือ “ใช่ ๆ แม่นางซูซูดูก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวทะเลหมอกจะเปลี่ยนไปอีกร้อยแบบพันแบบ จะงดงามขึ้นเป็นทวีคูณ”
ซูซูพยามยามรวบรวมสติแล้วกลับไปเป็นซูซูคนเดิม
นางยืนขึ้นยืดแข้งยืดขา จากนั้นนางจึงหยิบผลไม้แช่อิ่มเข้าปากบดเคี้ยวอย่างละเอียด แล้วหันสายตาไปยังทะเลหมอกที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ร้อยแบบพันแบบ
หมู่เมฆได้แปรเปลี่ยน เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ เป็นวิมานบนสวรรค์ เป็นเหล่าเทพบุตร ดั่งบุษบาที่บานสะพรั่งยามฤดูใบไม้ผลิ บัดนี้เป็นดั่งกระแสคลื่นที่พัดพามา จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นธารน้ำตกที่สูงเด่นตระหง่าน
ซูซูขบคิดในใจ นี่ช่างน่าอัศจรรย์มากยิ่งนัก !
เมฆยังเป็นเช่นนี้ มนุษย์ก็เป็นเฉกเช่นนี้ ชีวิตย่อมก็เป็นเยี่ยงนี้เช่นกัน !