ตอนที่ 322 จายซิงถาย
ผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือองค์ชายที่สิบสามแห่งแคว้นฝาน ฝานเทียนหนิงและศิษย์ก้นกุฏิของหัวหน้านิกายฝู คูฉาน
ฝานเทียนหนิงยกมือขึ้นคารวะมาแต่ไกล เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“บอกตามตรงว่าบัดนี้ข้าถึงได้รู้ เพียงแค่มีเงินทองมากมายก็สามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจชอบ ! คฤหาสน์จิ้งหูนี้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเสียทีเดียว คุณชายฟู่เพิ่งจะเดินทางมายังเมืองกวนหยุนได้มินาน ก็สามารถซื้อที่อยู่ใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ข้าน้อยรู้สึกชื่นชมเสียยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขายกมือคารวะตอบกลับไปแล้วยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านเป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นฝาน กล่าววาจาเช่นนี้มิเท่ากับตบหน้าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฝานเทียนหนิงเดินมาหยุดเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน เขาชายตาไปยังหินที่แตกกระจัดกระจายบนพื้นด้วยความสงสัย จากนั้นสายตาก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน “ท่านอาจมิเชื่อข้า อย่าว่าแต่หนึ่งล้านตำลึงเลย เพียงแค่หนึ่งแสนตำลึงข้ายังมิมี มองดูแล้วพ่อค้าที่ดินก็มิเลวเสียทีเดียว รอให้ข้ากลับแคว้นไปข้าจะทูลขอเสด็จพ่อให้ประทานที่ดินแก่ข้าสักหน่อย ข้าก็จะได้เป็นพ่อค้าที่ด้วย เพียงแต่ว่า…ก่อนที่จะเป็นพ่อค้าที่ดินเต็มตัว ข้าควรจะต้องเรียนรู้จากท่านเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันใด “ที่ดินเหล่านั้นท่านพ่อข้าเป็นผู้ซื้อ บิดาของท่านเป็นถึงจักรพรรดิ หากจะเปรียบเทียบกันเรื่องบิดานั้นข้าคงสู้ท่านมิได้ ! หากท่านต้องการจะเป็นพ่อค้าที่ดินก็จงได้ทำตามใจของท่าน เป็นเรื่องง่ายดายเสียทีเดียว”
“ข้ามิสนใจหรอก หากมีโอกาสเดินทางไปยังแคว้นหยู ข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ดินของท่านเพื่อศึกษาหาความรู้อย่างแน่นอน”
“ข้ายินดีต้อนรับยิ่ง…โต๊ะนี้แย่ยิ่งนัก มันแตกเสียแล้ว เชิญท่านเข้าไปด้านในเถิด”
“เดิมทีข้าประสงค์จะเดินทางไปยังจายซิงถาย เมื่อตอนเดินทางมาค่อนข้างกระชั้นชิด ตามธรรมเนียมแล้วนี่ควรจะเป็นวันฉลองบ้านใหม่ของท่าน แต่ข้ากลับมิได้นำของขวัญมา แต่ทว่าข้าได้สั่งอาหารไว้ที่เซียนเค่อหลายสำหรับหนึ่งโต๊ะแล้ว อีกประเดี๋ยวบ่าวรับใช้ของข้าคงจะนำมาให้ พวกเราไปดื่มสุราชมจันทร์ที่จายซิงถายเป็นเยี่ยงไร ? ”
เมื่อได้ยินชื่อจายซิงถาย ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ต่างก็ยังมิได้มีเวลาไปเยือน บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ในเมื่อฝานเทียนหนิงเอ่ยขึ้นมา เป็นจังหวะเหมาะเจาะที่จะเดินทางไปเสียที
เพียงแต่ว่า…
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังศิษย์พี่รอง แล้วกล่าวกับฝานเทียนหนิงว่า “โต๊ะหนึ่งคาดว่าคงมิพอ”
ฝานเทียนหนิงตกตะลึงไปชั่วครู่ เพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น เหตุใดจึงมิพอ ?
แต่เมื่อเขามองไปยังเกาหยวนหยวนแล้วก็เข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงได้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็สั่งเพิ่มอีกหนึ่งโต๊ะ เพียงแต่ว่า…”
ผู้ที่ติดตามเขามานั้นมีเพียงคูฉาน เขาเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้านิกายฝู มิใช่บ่าวรับใช้ของเขา แต่ตัวเขาเองก็ประสงค์จะสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน จะให้ผู้ใดไปจึงจะเหมาะสม ?
ทันใดนั้นหนิงซือเหยียนที่ยืนพิงประตูดื่มสุราอยู่นั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เห้อ…เช่นนั้นก็คงจะต้องเป็นข้าที่เดินทางไป แต่ข้าขอบอกก่อนว่า จะคิดค่าตอบแทนเป็นสุราเทียนฉุนจำนวน 2 ลัง ท่านว่าเยี่ยงไร ? ”
ฝานเทียนหนิงมิรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของเดิมของที่แห่งนี้ แต่เมื่อมองไปยังท่าทางที่เขายืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์เช่นนั้น มองไปคงมิใช่บ่าวรับใช้ธรรมดาเป็นแน่ บ่าวผู้ใดจะกล้าทำเยี่ยงนี้เล่า ?
ดังนั้นเขาจึงได้ตอบตกลงหนิงซือเหยียน พร้อมทั้งกำมือขึ้นคารวะ “เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านแล้ว”
หนิงซือเหยียนยักคิ้วแล้วหันหลังเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนพาผู้คนทั้งหลายเดินมายังจายซิงถาย
จายซิงถายตั้งอยู่บนเขาแห่งหนึ่งภายในคฤหาสน์จิ้งหู
ภูเขานี้แม้จะมิสูงมาก แต่เดิมทีเมืองกวนหยุนก็สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ที่เชิงเขามีหินก้อนหนึ่งตั้งอยู่ บนหินก้อนนั้นเขียนไว้ว่าเหยียนซาน คาดว่าหนิงฝาเทียนคือผู้เขียน เขาใช้คำแรกของชื่อเหยียนหรูยวี่มาตั้ง
ถนนที่ขึ้นไปบนภูเขาเต็มไปด้วยบันไดปูด้วยหินอ่อนสีขาว บันไดนี้ตั้งอยู่ระหว่างต้นสนและใบไผ่เขียวชอุ่ม แสงมืดสลัวลงทันใด พวกเขามองเห็นเสาธงมากมาย บนเสาข้างทางนั้นมีโคมไฟแขวนอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองดู เขาคิดในใจว่าหากโคมไฟเหล่านี้ถูกจุดขึ้นทั้งหมดคงจะงดงามมิน้อย
ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ซูปิงปิงก็ลอยตัวมาหยุดอยู่บนเสานั้น นางมองไปยังด้านในโคมไฟ จากนั้นก็หยิบตะบันไฟออกมา ด้านในโคมนั้นเต็มไปด้วยน้ำมัน !
ใส้ในก็ยังดีอยู่ ดูไปราวกับยังมิเคยถูกจุดเสียด้วยซ้ำ
เขาไล่จุดโคมไฟทีละดวง จากนั้นก็กลับมายังข้างกายฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวว่า “ข้ามิชอบความมืด”
ซูซูได้ยินดังนั้นก็มองไปยังพี่สี่แล้วนึกอยู่ในใจว่า เขากลัวความมืดล่ะสิมิว่า !
ที่ยอดเขาเหยียนซานนั้นเป็นพื้นที่ราบโล่ง จายซิงถายตั้งอยู่ในที่ราบนี้นั่นเอง
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ มันถูกล้อมรอบด้วยรั้วหินอ่อนสีขาวและพื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาว งานแสนละเอียดและประณีตเหล่านี้ ทำขึ้นโดยบรรดาราชวงศ์ในอดีต หรือเป็นหนิงฝาเทียนที่ตกแต่งหลังจากที่ซื้อที่นี่แล้วกัน ?
เขารู้สึกว่าท่านพ่อใช้เงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงซื้อสถานที่แห่งนี้ไว้ช่างคุ้มค่ายิ่ง คฤหาสน์ที่เขาสร้างขึ้น ณ ภูเขาเฟิ่งหลินหากเปรียบเทียบกับที่นี่แล้วช่างแตกต่างกันมากยิ่งนัก
ด้านของซูปิงปิงนั้นมิได้ชื่นชมสิ่งเหล่านี้ เขาคล้ายกับจะชื่นชอบการจุดไฟเสียมากกว่า
เขาจุดโคมไฟทุกดวงขึ้น จากนั้นไปยังจายซิงถาย เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มองไปยังจายซิงถายที่มีดวงไฟกำลังส่องสว่างขึ้นทีละชั้น ก็รู้สึกตกตะลึงยิ่ง !
คูฉานมองไปยังจายซิงถายแล้วอุทานออกมาว่า “ความจริง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า “ความจริงอันใดกัน ? ”
“เจดีย์เจ็ดยอดแห่งความจริง ! ”
เจดีย์เจ็ดยอดนั้น ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์พระสูตรเจี้ยนเป่าถาผิ่นว่า ในเวลาก่อนพุทธกาลนั้นมีเจดีย์เจ็ดยอดอยู่ ซึ่งสูงห้าร้อยโยชน์และกว้างกว่าสองร้อยห้าสิบโยชน์ผุดขึ้นมาจากพื้นดินสู่ยอดฟ้า สมบัติมากมายซ่อนอยู่ในนั้นนับมิถ้วน…!
ขนาดของจายซิงถายนี้ตรงตามที่กล่าวไว้พอดี เพียงแต่ในตำนานกล่าวว่าเจดีย์เจ็ดยอดที่ว่านั้นเป็นสถานที่สำหรับเก็บอัฐิเช่นนั้นที่นี่คงมิเหมาะสมเท่าใดนัก
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คัดค้านแต่ประการใด เขาและคนอื่น ๆ พากันเดินเข้าไปในจายซิงถาย เมื่อเดินขึ้นไปจึงได้พบว่าบันไดนั้นสูงขึ้นไปโดยมิได้แบ่งชั้น ด้านนอกมีหน้าต่างมากมาย แต่ด้านในเป็นเพียง…กำแพงที่ทำด้วยหิน !
กระทั่งพวกเขาเดินออกมาจากบันได และยืนอยู่บนยอดเจดีย์จึงได้รู้ว่าที่จายซิงถายใช้ขี่ม้าได้ !
บนนั้นมีสิ่งก่อสร้าง 9 แห่ง สวนดอกไม้ 3 แห่ง ภูเขาจำลอง 2 ลูกและทะเลสาบ !
ทุกคนล้วนพากันตกตะลึง !
พวกเขาจึงพึ่งได้รู้ว่าที่แห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งในสามสถานที่ที่สวยงามที่สุดของเมืองกวนหยุน ช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปยังศาลาท่ามกลางทะเลสาบแห่งนั้น แต่เมื่อเขามองออกไปก็พบกับป้ายชื่อที่เขียนไว้ว่า หยุนถิง !
คำว่าถิงนี้มิใช่ศาลา แต่เป็นจวน !
ต้องการสื่อความหมายว่าเยี่ยงไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิรู้
พวกเขานั่งลงที่โต๊ะหนึ่งในหยุนถิง ในนี้มีโต๊ะตั้งอยู่สามตัว รอบข้างค่อนข้างกว้างขวาง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ เขารู้สึกว่าหากจัดงานเลี้ยงขึ้นที่นี่คงจะสามารถตั้งโต๊ะกลมได้ราวสิบกว่าโต๊ะเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าซ่างหลินโจวของจวนชินอ๋องแห่งเมืองหลินเจียงนั้นใหญ่โตมากแล้ว หากเทียบกันกับที่นี่ ซ่างหลินโจวนั่นเทียบมิติดเลยแม้แต่น้อย !
สายตาเขาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกนั้นราวกับสามารถยื่นมือออกไปคว้าดวงดาวมาได้ ส่วนด้านล่าง…
ด้านล่างมองออกไปเสมือนเห็นควันบาง ๆ สีขาวลอยอยู่ มิรู้ว่านี่คือเมฆหรือหมอกกันแน่
“จายซิงถายมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสี่ร้อยสามสิบปีมาแล้ว เดิมทีเคยเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์อู๋ใช้ในการสักการะสวรรค์” ฝานเทียนหนิงกล่าวออกมา “ต่อจากนั้น…”