ตอนที่ 327 หนึ่งกระบี่
หนิงซือเหยียนคิ้วขมวด
การทานอาหารคือเรื่องศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะการทานอาหารเช้า
เมื่อวานได้แอบไปขโมยแม่ไก่มาหนึ่งตัวจากบ้านกระโจมแถบชายฝั่งของทะเลสาบสือหลี่ เช้าวันนี้ถึงได้นำไก่ตัวนั้นมาย่าง ในตอนที่กำลังจะใช้ช่วงเวลาที่แสนสำคัญอย่างมีความสุข แต่แล้วก็มีกลุ่มคนเข้ามาทำลายบรรยากาศ นั่นมันน่าโมโหมากยิ่งนัก
“เจ้าสามารถรอได้หรือไม่ ? ”
ในตอนที่ผู้มีฝีมือสองคนที่อยู่ข้างกายของเยียนหานยวี่ต้องการจะชักกระบี่ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาหนึ่งประโยค ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปมองเยียนหานยวี่
“รออันใด ? ”
เยียนหานยวี่เองก็ผงะ การสังหารมิจำเป็นต้องรอ หรือว่าคนเฝ้าประตูผู้นี้กลัวเขาแล้วคิดจะหาช่องว่างเข้าไปเรียกฟู่เสี่ยวกวนออกมาเยี่ยงนั้นหรือ
จากนั้นเขาก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือก
“เนื้อไก่หากเย็นแล้วจะแข็ง รสชาติจะแย่ไปในทันที ทานเข้าไปก็ยากที่จะกลืน พวกเจ้ารอข้าสักครึ่งก้านธูป ให้ข้าทานไก่ตัวนี้ให้หมดเสียก่อน ดีหรือไม่ ? ”
ข้าจะมาสังหารฟู่เสี่ยวกวน ยังจะต้องมายื่นมองเจ้ากินไก่อยู่ที่ตรงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เยียนหานยวี่เดือดดาลทันพลัน “เจ้าหลีกทางให้ข้าแล้วไปกินที่ข้างทางเสีย ! ”
หนิงซือเหยียนส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ต่างก็เคยท่องเที่ยวในยุทธภพกันมาหมดแล้ว คาดว่าคงเข้าใจหลักการนำเงินของผู้คนมาขจัดภัยนี้แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนใช้ซีชานเทียนฉุนจ้างให้ข้าเฝ้าประตู ข้าย่อมมิสามารถหลีกทางให้เจ้าได้ แต่ว่าพวกเจ้า…ปรี่มาโวยวายกันถึงที่นี่ตั้งแต่เช้า หากฟู่เสี่ยวกวนมาได้ยินเข้า เกรงว่าจะตำหนิข้าที่เฝ้าประตูได้มิดี เยี่ยงนั้นพวกเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ? ”
หนิงซือเหยียนเอ่ยไปด้วยในขณะที่กำลังหั่นเนื้อ เยียนหานยวี่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็ดีใจ ลอบคิดว่ากฎของราชวงศ์อู๋นั้นใช้ได้มิเลว แม้แต่ผู้เฝ้าประตูต่างก็มีจรรยาบรรณในอาชีพอย่างเคร่งครัด หากเป็นเวลาปกติ เขาคงนั่งลงดื่มสุรากับคนเฝ้าประตูที่น่าสนใจผู้นี้อย่างมินึกรังเกียจ แต่บัดนี้ยังมิได้
ในตอนนี้เขาควรได้เข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหู และสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่สมควรตายผู้นั้นเสีย !
“ข้านับสาม หากเจ้ายังมิถอย แล้วอย่าได้กล่าวโทษกระบี่ที่ไร้ตาของข้า” สีหน้าของเยียนหานยวี่มืดครึ้ม หนิงซือเหยียนถอนหายใจหนัก ๆ หวังว่าการนับสามนั้นจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ยังเหลือไก่อีกครึ่งตัวเลยนี่ เสียดายยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงหั่นเนื้อ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หั่นก็จุ่มลงไปในน้ำจิ้มและโยนใส่ปาก เสียงของเยียนหานยวี่ดังอยู่ข้างหูของเขา
“สาม ! ”
เขาเคี้ยวจนแก้มป่อง หลังจากที่กลืนลงไป ก็ได้โยนอีกสองชิ้นเข้าปากตามติดไป
“สอง ! ”
เขาหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาจิบ และหั่นเนื้อต่อไป
เยียนหานยวี่เชื่อว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอคนที่รักการกินมากกว่ารักชีวิตมาก่อน !
ในเมื่อเจ้าไม่เสียดายชีวิต เยี่ยงนั้นข้าก็ขอปลิดชีวิตเจ้า !
“หนึ่ง !”
“ฆ่า ! ”
ทันทีที่คำว่าฆ่าหลุดออกมาจากปาก หนิงซือเหยียนก็โยนชิ้นเนื้อที่หั่นเสร็จพอดีเข้าปากไป แต่ยังมิทันที่จะได้จุ่มลงไปในน้ำจิ้ม รสชาติจึงมิได้เลิศรสเท่าใดนัก
ผู้มีฝีมือระดับสูง 2 คนที่อยู่ข้างกายเยียนหานยวี่ชักดาบและกระบี่ออกมา ชายฉกรรจ์จากยุทธภพจำนวน 150 คนที่อยู่ด้านหลังของเขาชักดาบและกระบี่ออกมา พวกเขากู่ร้องในพลัน และปรี่ไปหาคนเฝ้าประตูที่นั่งอยู่ที่หน้าประตูตรงนั้น
ใช้คนมากมายเพื่อสังหารคนเฝ้าประตู 1 คน เยียนหานยวี่รู้สึกว่าแบบนี้มันเหมือนกับใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็มิปาน
สายตาของเขาผละออกจากคนเฝ้าประตูผู้นั้น และมองไปยังทะเลสาบจิ้งหูที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกที่ไกลสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ห่างออกไป
สถานที่แห่งนี้ถือว่าไม่เลว หากสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้แล้ว ควรจะแย่งชิงโฉนดที่ดินที่แห่งนี้ด้วยดีหรือไม่ ?
ในฐานะคนจากแคว้นอี๋ พวกเขาคุ้นชินกับคำว่าแย่งชิงเป็นอย่างมาก และเป็นความคุ้นชินที่ฝังลึกเข้าไปในกระดูก
และในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นก็เพิ่งเดินออกมาจากป่า ก็ได้ยินเสียง “ฆ่า ! ” ที่ดังลั่นนั้นพอดี
ใจของฟู่เสี่ยวกวนบีบรัด แต่มิใช่เพราะกังวลกับหนิงซือเหยียน แต่กังวลแทนกลุ่มคนที่ดวงตาไร้แววเหล่านั้น
แน่นอน พวกเขาได้เห็นแสงจากกระบี่ที่สว่างขึ้นมาหนึ่งสาย…
หนึ่งกระบี่ !
ไร้เสียงไร้ลมมีเพียงประกายสีเงินของหนึ่งกระบี่เท่านั้น !
หลังจากหนึ่งกระบี่นั้น มิมีแม้แต่เสียงโอดครวญ !
ผ่านไปหนึ่งกระบี่ให้หลังไปอีกสิบอึดใจ “ตึง ! ” ศพเหล่านั้นก็ได้พร้อมใจกันตกลงไปกับพื้น หลังจากนั้นศีรษะของแต่ละคนที่ตกลงมากับพื้นจึงได้กลิ้งไปคนละทิศละทาง และมีโลหิตจำนวนมากที่พวยพุ่งออกมาจากศีรษะเหล่านั้น
หนิงซือเหยียนถึงได้คิ้วขมวด เขามิชอบเห็นภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ และมิชอบกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งเยี่ยงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่
ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ มีศพจำนวนห้าสิบกว่าร่างล้มลง ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งสองมิได้อยู่ในกลุ่มนั้น
ชั่ววินาทีที่หนิงซือเหยียนเงยหน้าขึ้นมา พวกเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงกระชากเยียนหานยวี่ถอยหลังไปสิบก้าวในชั่วพริบตา และในขณะเดียวกันก็ดึงดาบและกระบี่ออกมาเพื่อสกัดหนึ่งกระบี่นั้น แต่ในยามนั้นกระบี่และดาบในมือของเขา ได้เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
นี่เป็นกระบี่แบบไหนกัน ?
เยียนหานยวี่ยังไม่ทันเรียกสติกลับมาได้ดี เขาถึงขั้นยังมองสองคนที่อยู่ด้านข้างด้วยคิ้วที่ขมวดนิ่ว ครุ่นคิดว่าข้าเรียกให้พวกเจ้าไปสังหารคนเฝ้าประตูผู้นั้น พวกเจ้าลากข้ามายังด้านหลังนี้ทำไมกัน ?
หลังจากที่ศพเหล่านั้นล้มลงไปกับพื้น ในยามที่เขาเห็นศพเหล่านั้น ถึงได้ตัวสั่นสะท้าน ทั่วทั้งร่างแข็งขึ้นมาทันพลัน หนาวเย็นเสียจนฟันของเขาสั่นกระทบกัน
คนเฝ้าประตูมารดามันเถอะ !
คนเฝ้าประตูบ้านผู้ใดกันเก่งกาจถึงเพียงนี้ ?
แม้แต่หัวหน้าทหารยามภายในวังหลวงที่แคว้นอี๋ ก็มิมีความสามารถที่จะสังหารผู้มีฝีมือระดับสูงของยุทธภพจำนวนห้าสิบกว่าคนได้ด้วยหนึ่งกระบี่ !
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ใช้เพียงแค่ซีชานเทียนฉุนของเขา ก็ซื้อมือกระบี่ที่เก่งกาจเช่นนี้ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
และแล้วฟู่เสี่ยวกวนที่เขากำลังคิดถึง ในยามนี้ได้เดินไปยืนข้างกายหนิงซือเหยียน เขาเองก็คิ้วขมวด หลังจากนั้นสายตาก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของเยียนหานยวี่
ฟู่เสี่ยวกวนกวักมือเรียกเยียนหานยวี่ “เจ้า มานี่ ! ”
เยียนหานยวี่ถูกหนึ่งกระบี่ของหนิงซือเหยียนข่มเสียจนขวัญหนีดีฟ่อ เขาจะกล้าเข้าไปได้เยี่ยงไร และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้า…มิไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกสนุก คนผู้นี้ระดมคนมาเสียมากมาย ย่อมมิสบายใจเป็นแน่ และแน่นอนว่าเขามิจำเป็นต้องสุภาพกับคนผู้นี้
ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้ายังมิมา เยี่ยงนั้นก็จงตายเสีย ! ”
หนิงซือเหยียนเหลือบสายตามองฟู่เสี่ยวกวน ในดวงตาฉายแววมิเข้าใจ เหตุใดพวกเขาต้องกล่าวว่าจะนับสามกันด้วยเล่า ?
“สาม ! ”
การนับเลขที่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์กลับมิเหมือนกัน
เสียงนับสามของเยียนหานยวี่ทำให้หนิงซือเหยียนคร้านจะสนใจเขา แต่เพียงฟู่เสี่ยวกวนนับสามขึ้นมา ก็มากพอให้เยียนหานยวี่เดินตัวสั่นออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
แน่นอน ในใจของเขาย่อมมิอยากเดินออกมา
“สอง ! ”
ครั้งนี้เยียนหานยวี่จำเป็นต้องเดิน เขาทราบดีว่าต่อให้ตนเองเหินเวหาหนีไป ก็เหินเร็วไปกว่าหนึ่งกระบี่นั้นมิได้
เขาเดินตัวสั่นมายังเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนโดยทิ้งระยะไว้หนึ่งจั้ง “เจ้า เจ้าต้องการจะทำอันใด ? ”
คำถามนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ให้ตายเถอะ ข้าอยากถามเจ้าเสียมากกว่าว่าพาผู้คนมากมายมาทำอันใดในที่ที่ของข้า
“คนเหล่านั้นเป็นคนของเจ้าหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังผู้โชคดีนับร้อยที่อยู่ตรงกันข้าม พวกเขาที่ถูกฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปนั้น ต่างอกสั่นขวัญแขวนจนวิญญาณจะเกือบหลุดออกจากร่าง
“มิใช่ พวกข้ามิใช่คนของเขา ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด “ข้ามิได้ถามเจ้า เจ้ามานี่ ! ”
ผู้ที่กล่าวเมื่อครู่กลัวจนปล่อยของเสียไหลออกมาตามกางเกงจนนองพื้น ฟู่เสี่ยวกวนรีบโบกมือ “มารดาเจ้าเถอะ มิต้องเข้ามาแล้ว ! ”
ชายผู้นั้นชะงัก จิตใจเบิกบาน และรีบยืนขึ้นทันที
“พวกเจ้า รีบจัดเก็บที่ของข้าให้เรียบร้อยประเดี๋ยวนี้ ถอดเสื้อผ้าออกมาเช็ดเลือดที่พื้นให้สะอาด ทำเสร็จแล้วก็ไสหัวออกไปให้ไว ! ”
พวกเขาเหล่านั้นต่างคลายความกังวลใจ และเริ่มเก็บกวาดในทันที
เยียนหานยวี่ลอบคิดว่าตนเองมิมีเรื่องอันใด เยี่ยงนั้นข้าก็ขอจากไปก่อนด้วยความเคารพ
ในตอนที่เขากำลังจะหันหลัง กลับได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกลับเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าให้เจ้าไปได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”