ตอนที่ 329 บทสวดพระโพธิสัตว์
“เป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ? ”
ในยามนี้ทุกคนได้กลับมาถึงเรือนหลักของคฤหาสน์จิ้งหูแล้ว และได้นั่งล้อมโต๊ะแปดที่นั่ง
จนถึงตอนนี้ฝานเทียนหนิงก็ยากที่จะเชื่อฉากตรงหน้านี้ได้
คาดมิถึงว่าเยียนหานยวี่จะเชื่อคำโกหกที่ไร้ยางอายของฟู่เสี่ยวกวน !
นี่ควรกล่าวว่าเยียนหานยวี่โง่เง่า หรือต้องบอกว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถในการหลอกผู้คนมากเกินไป ?
ชายผู้นั้นถูกฟู่เสี่ยวกวนตัดแขนไปหนึ่งข้างแต่กลับไร้ซึ่งความเกลียดชังแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามใบหน้าที่เจ็บปวดจนผิดรูปนั้นยังมีร่องรอยของความหวัง โดยเฉพาะในตอนสุดท้ายที่เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ฝานเทียนหนิงเห็นประกายลุกไหม้ในดวงตาได้อย่างชัดเจน
ให้ตายเถอะ !
ฝานเทียนหนิงรู้สึกว่าโลกนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้ว การเดินทางไกลในครานี้ ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาและรู้ความมากยิ่งขึ้น
แม้แต่ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เขาจ้องมองเหตุการณ์นั้นด้วยอารามตาโตอ้าปากค้าง จนถึงตอนนี้ เส้นประสาทของเขาหมุนวนไปมานับร้อยนับพันครั้งถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้
เขายกมือใหญ่ราวกับใบพัดนั้นขึ้นมาและทำท่าจะตบลงมา แต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนขวางเอาไว้ “ศิษย์พี่รอง โต๊ะนี้เป็นไม้”
“ไอหยา…” เกาหยวนหยวนจึงวางมือลง และหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตื่นเต้นอีกครา “ข้าเข้าใจแล้ว คนเมื่อครู่โง่เขลาเกินไป เขาควรจะกล่าวว่าต้องการมือขวา แบบนั้นศิษย์น้องเล็กก็จะตัดมือซ้ายของเขาไป”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองศิษย์พี่รองด้วยอารามตะลึง หลังจากนั้นก็พยักหน้า “ศิษย์พี่รองกล่าวได้ถูกต้อง ! ”
เกาหยวนหยวนหัวเราะร่า แต่ศิษย์พี่สี่กลับจ้องเขาเขม็ง และแผ่บรรยากาศเย็นชาออกมา “คนผู้นั้นโง่เกินไป เขาควรกล่าวว่าต้องการหัวแม่มือเอาไว้ เยี่ยงนั้นจึงจะรักษาแขนทั้งสองข้างเอาไว้ได้”
“ศิษย์น้องสี่กล่าวผิดไป ศิษย์น้องเล็กให้เขาเลือกระหว่างมือซ้ายและมือขวาต่างหาก”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไม่ออก ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สี่ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ราวกับไก่ชนที่เกรี้ยวกราด พวกเขายืนอยู่ในลานบ้าน ดังนั้นในส่วนของลานบ้านจึงเต็มไปด้วยอากาศหนาวเย็นยะเยือก
“อย่าได้คิดว่าเจ้าอ้วนแล้วเจ้าจะมีเหตุผล ! ”
“อย่าได้คิดว่าเจ้าเย็นชาแล้วข้าจะยอมให้เจ้า ! ”
“ต่อจากนี้ข้าจะมิซื้ออาหารให้กับเจ้าแล้ว ! ”
“เยี่ยงนั้นข้าจะดับไฟในห้องของเจ้ายามค่ำคืน ! ”
“…..”
ซูซูตบหน้าผาก ซูโหรวปักผ้าไปด้วยและมีเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ซูเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และขยับหมวก “พอได้แล้ว ! ”
“ในตอนนี้ให้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนจัดการ”
ราวกับว่าซูเจวี๋ยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาอย่างมากมาย เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องรองไปนั่งสมาธิในห้อง ศิษย์น้องสี่ไปทำให้ทะเลสาบจิ้งหูกลายเป็นน้ำแข็ง หลังจากนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงจะบอกว่าพวกเจ้าทั้งสองคนใครกันแน่ที่สมเหตุสมผล”
ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สี่มองหน้ากัน แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ซูเจวี๋ยจึงจะหันมากล่าวกับฟู่เสี่ยวกวน “ภายภาคหน้าศิษย์น้องเล็กจะคุ้นชินไปเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนลอบคิดว่าแท้จริงข้ากังวลเป็นอย่างมากว่าจะตามพวกเขามิทัน
ดังนั้นหัวข้อสนทนาจึงกลับมาที่เยียนหานยวี่อีกครา ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขำ ๆ “ความโลภของมนุษย์นั้นไร้ที่สิ้นสุด ทุกคนต่างมีความโลภหลบซ่อนอยู่ภายในใจ อย่างเช่นข้าในตอนนี้ชอบเงินมากยิ่งนัก อย่างเช่นเยียนหานยวี่ที่โหยหาอำนาจ”
“เขาเข้าใจว่าตนเองนั้นมิมีโอกาสจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ เขาทำได้เพียงพึ่งพิงกองกำลังภายนอกเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่าจะสังหารพี่ชายทั้งสามของเขา จากที่มองดูแล้วมิมีทางเป็นไปได้ แต่หากข้าเชิญสำนักเต๋าและหนิงซือเหยียนไปลอบสังหารถึงแคว้นอี๋ แคว้นอี๋ก็จะไร้ผู้แข็งแกร่งชั้นปรมาจารย์ มีความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะเยียนหานยวี่จะต้องร่วมมือกับข้าอย่างแน่นอน”
“ข้าก็เพียงแค่ให้ความหวังอันริบหรี่แก่เขาเท่านั้น แต่กลับจุดไฟแห่งความโลภที่ซ่อนอยู่ภายในใจของเขาขึ้นมา จนถึงขั้นทำให้เขายอมสละแขนไปหนึ่งข้าง เพื่อความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เลือนลาง”
“ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า รากเหง้าทุกชีวิตนั้นโง่เขลา ต่างมืดบอดไปด้วยการเสพสุข เยียนหานยวี่ก็คงเป็นเยี่ยงนั้นเฉกเช่นเดียวกัน”
คูฉานชะงัก ทันใดนั้นก็เกิดประกายขึ้นมาในดวงตา แต่ซูซูและคนอื่นกลับตกตะลึง คิดว่าในอีกไม่ช้าเขาจะกลายเป็นศิษย์น้องเล็กของสำนักเต๋าแล้ว เหตุใดจึงได้กล่าวคำสอนเยี่ยงนั้นออกมา นั่นมีความหมายว่าเยี่ยงไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และกล่าวว่า “ทุกสิ่งมีชีวิตต่างอาศัยอยู่ในใต้หล้า สติปัญญาย่อมได้รับการแต่งแต้มสิ่งสกปรกมา ดังนั้นจึงมีความหวังไปต่าง ๆ นานา ความหวังเหล่านี้จะทำให้ดวงตาของพวกเรามืดบอด จนทำให้พวกเราสูญเสียความสามารถในการแยกแยะ และทำให้พวกเราเลือกเดินบนเส้นทางที่ผิด ทั้งยังห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความเห็นชอบ”
ซูซูและคนอื่นก็ได้เข้าใจในทันพลัน แต่คูฉานกลับกล่าวขึ้นมาว่า “เยี่ยงนั้นต้องทำเช่นไรเพื่อมิให้สติปัญญาได้รับสิ่งการแต่งแต้มจากสกปรกเหล่านั้นขอรับ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ทันตอบคำถาม ก็เห็นหนิงซือเหยียนได้เดินนำชายชราผู้หนึ่งเข้ามาข้างใน
เขายังคงอยู่ที่หน้าประตูเช่นเดิม และตะโกนเข้ามาด้านในว่า “อาจารย์เหวินสิงโจวมาขอพบ ฟู่เสี่ยวกวนรับแขก ! ”
เขาคือเหวินสิงโจวเยี่ยงนั้นหรือ ?
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นใบหน้าของชายชราจึงลุกขึ้นยืน และรีบรุดไปต้อนรับ โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้า ฟู่เสี่ยวกวน มิทราบว่าท่านอาจารย์เหวินจะมาเยี่ยม เลยมิได้เตรียมต้อนรับ อาจารย์เหวินโปรดให้อภัยข้าด้วยขอรับ”
“ศิษย์น้องฟู่อย่าได้พิธีรีตองให้มากความ ข้ามาโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า คงจะรบกวนไปมาก หวังว่าศิษย์น้องฟู่จะมิถือโทษข้าที่พรวดพราดเข้ามา”
“มิกล้าขอรับ ในตอนที่อยู่เมืองหลวงข้าได้ฟังท่านอาจารย์ฉินกล่าวถึงชื่อเสียงของท่านอาจารย์เหวินมาหลายคราแล้ว เดิมทีควรเป็นข้าที่ควรจะไปเยี่ยมท่านถึงเรือน มิเหมาะสมที่จะต้องให้อาจารย์เหวินมาเหน็ดเหนื่อยเยี่ยงนี้”
ในขณะที่กล่าวฟู่เสี่ยวกวนก็เชิญเหวินสิงโจวมานั่งร่วมโต๊ะ เหวินสิงโจวสำรวจมองคนที่นั่งล้อมโต๊ะ และกล่าวอย่างขำ ๆ ว่า “ข้าทราบว่าเจ้ายุ่งวุ่นวายมากยิ่งนัก แต่เพราะรีบร้อนที่อยากจะพบเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าจึงได้รีบเดินทางมา อาจารย์ฉินสบายดีหรือไม่ ? ”
“สบายดีขอรับ ในช่วงนี้เขากำลังทำงานเพื่อบัณฑิตของเขา ค่อนข้างใช้งานสมองหนัก ข้าเกลี้ยกล่อมอันใดเขามิได้เลยขอรับ”
เหวินสิงโจวเงียบไปหลายอึดใจ และถอนหายใจออกมา “เพียงพริบตาก็จะ 8 ปีแล้วที่ข้ามิได้เจอพี่ฉิน พี่ชางกวนและหลี่ชุนเฟิง คิดถึงพวกเขาเสียจริง ยังจำได้เลยว่าปีนั้นที่พวกข้าอายุพอ ๆ กับเจ้า ก็ได้นั่งสนทนาเยี่ยงนี้ที่จินหลิงเช่นกัน… เมื่อครู่พวกเจ้าสนทนากันถึงเรื่องใด ข้ามาที่นี่เพื่ออยากพบเจ้า อย่าได้ทำให้การสนทนาของพวกเจ้าล่าช้าไปเลย”
คูฉานนึกชังชายชราผู้นี้เล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้ตอบคำถามของตน ก็ถูกชายผู้นี้แทรกขึ้นมาเสียได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ข้า สาวกนิกายฝู คูฉาน กำลังจะให้คุณชายฟู่ชี้แนะคำสอนอยู่ขอรับ”
เหวินสิงโจวได้ยินเยี่ยงนั้น ก็ตกใจในทันพลัน บทกวีและบทความของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเขาอยู่สูงจนไร้พ่ายจึงเปลี่ยนมาเข้าสู่พุทธศาสน์ศึกษาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
“พวกเจ้ากล่าวกันต่อเถิด ในช่วงนี้ข้าก็สนใจพุทธศาสน์ศึกษา เช่นกัน โปรดกล่าวให้ข้าฟังด้วย”
คูฉานก็มิเกรงใจ และเอ่ยถามอีกคราว่า “คุณชายฟู่ขอรับ เยี่ยงนั้นต้องทำเช่นไรเพื่อมิให้สติปัญญาได้รับการแต่งแต้มจากสิ่งสกปรกเหล่านั้นขอรับ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าเคยฟัง ‘บทสวดพระโพธิสัตว์’ มาก่อนหรือไม่ ? ”
คูฉานครุ่นคิด และส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในโลกนี้ไม่มีบทสวดที่มีชื่อเสียงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
“เยี่ยงนั้นข้าจะขับให้เจ้าได้รับฟัง”
ทันใดนั้นคูฉานก็นั่งตัวตรง ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ต่างก็อดกลั้นลมหายใจ หรือว่าศิษย์น้องเล็กจะเข้าถึงฌานอย่างถ่องแท้แล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
ดวงตาของเหวินสิงโจวมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยประกายแผดเผา คิดว่าที่ตนเองมาที่นี่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว ได้มาฟังความเข้าใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ที่มีต่อหลักคำสอนอย่างพอดิบพอดี
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดปากอย่างเชื่องช้า และเริ่มขับขาน
“โพธิเดิมไร้ต้น กระจกเงานั้นไร้แท่น
พุทธลักษณะมักสงบ ฝุ่นเกาะได้ที่ใดกัน
กายของเราคือต้นโพธิ ใจของเราคือกระจกเงาใส
เดิมทีกระจกนั้นใสสะอาด ฝุ่นเกาะได้ที่ใดกัน
โพธิเดิมไร้ต้น กระจกเงานั้นไร้แท่น
เดิมทีมิมีสิ่งใด ฝุ่นเกาะได้ที่ใดกัน ! ”
ในชั่วพริบตาที่คูฉานดำดิ่งก็ตรัสรู้ได้ในทันที เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง มันเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง !