ตอนที่ 337 ล่อเสือออกจากเขา
ห่านฟ้าจากไป นกกระจอกบินผ่านกลุ่มหมอกมากมายเพื่อกลับไปยังรัง
อาทิตย์อัสดง เหลือเพียงเส้นสีแดงเรือง ๆ ที่ขอบฟ้า
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกำลังลิ้มรสมันเทศที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ ๆ รู้สึกว่ารสชาตินี้ช่างหอมหวานมากยิ่งนัก และได้รู้สึกเสียใจกับสาวน้อยซูซูอยู่มิน้อย
ครุ่นคิดว่าซูซูจะต้องชอบรสชาติของมันเทศนี้มากเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่นางติดตามศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูไปแล้ว กล่าวว่าจะไปตามล่าเป่ยหวังฉวน ส่วนเรื่องของยุทธภพเหล่านั้น ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมิได้นำมาใส่ใจ ยุทธภพนั้นอยู่ห่างไกลจากพวกนางอย่างมาก สิ่งที่สำคัญกับพวกนางมากที่สุดในตอนนี้คือเปิดร้านแรกที่เมืองกวนหยุนนี้
ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังฝึกพลังตัวเบาอยู่ที่ลานบ้าน หนิงซือเหยียนก็ได้เดินเข้ามา และส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่เขา
“กล่าวว่าข้าต้องส่งให้ถึงมือของเจ้าด้วยตนเอง”
“ผู้ใดส่งมากัน ? ”
“หลังจากที่กล่าวเยี่ยงนั้นและส่งจดหมายให้ข้าแล้ว ก็เดินจากไปทันที”
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะไม้ ในขณะที่กำลังแกะจดหมายก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “โต๊ะหินก่อนหน้านั้นซื้อจากที่ใดกัน หากสะดวกก็ซื้อมาอีกสักตัวเถอะ วางโต๊ะไม้เยี่ยงนี้ไว้ภายในเรือนมันค่อนข้างจะ…”
เขายังกล่าวออกมาไม่จบประโยค เพราะเขาได้เปิดจดหมายฉบับนั้นและได้อ่านมันแล้ว
สองตาของเขาเบิกกว้าง และกล่าวออกมาด้วยความตกใจอย่างยิ่ง “นี่มันอะไรกัน ! ”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างแตกตื่น และปรี่มาทันพลัน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ข้อความบนจดหมายมีอยู่ว่า
“ตามรายงานลับในวังหลวง เมื่อคืนวาน ณ ตำหนักเจิ้งหยางจักรพรรดิเหวินได้กล่าวกับจักรพรรดินีเซียวด้วยตนเองว่า ฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของข้าและสวี่หยุนชิง ที่คลอดที่เมืองจินหลิง !
ยามที่ได้ยินข่าวนี้ ข้าน้อยตกตะลึงมากยิ่งนัก จึงนึกถึงข่าวที่เคยลือกันในวังหลวงขึ้นมาได้ ข่าวลือมีอยู่ว่าจักรพรรดิเหวินมิได้ชอบจักรพรรดินีเซียว เพราะเขารักสวี่หยุนชิงแต่เพียงผู้เดียว ระหว่างทั้งสองคนในรัชสมัยไท่เหอปีที่สี่สิบจนถึงปีที่สี่สิบสาม ได้ไปมาหาสู่กันหลายต่อหลายครา ทั้งยังคลอดบุตรชายมา 1 คน
ข้าน้อยได้ตามสืบข่าวนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังมิมีผลลัพธ์ใด ๆ เพราะประวัติที่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทอู๋ฉางเฟิงในสามปีนั้นได้หายไป ปัจจุบันนี้ได้ยินมาว่าตกอยู่ในมือของไทเฮา
ข้าน้อยไร้หนทางที่จะเข้าไปในตำหนักของไทเฮา ยากจะบอกได้ว่าเป็นความจริงหรือความเท็จ เดือนสิบสองโปรดนำไปแจ้งให้เจ้านายรับทราบด้วย มิว่าจะจริงหรือเท็จ ก็ต้องระมัดระวังเอาไว้
นอกจากนี้ หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงเมืองกวนหยุน จักรพรรดินีเซียวได้เรียกหัวหน้าขันทีเกาไปเข้าเฝ้าที่สำนักในถึงสองครา โปรดนำข้อความนี้กราบเชิญจักรพรรดิเหวิน ข้าน้อยเกรงว่าจักรพรรดินีเซียวกำลังคิดจะทำอันตรายบางอย่างต่อฟู่เสี่ยวกวน”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินแทบจะหันไปมองหน้าฟู่เสี่ยวกวนในเวลาเดียวกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“เจ้าเป็นบุตรชายของจักรพรรดิเหวินเยี่ยงนั้นหรือ ? ” สตรีทั้งสองต่างกล่าวออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง
หนิงซือเหยียนผงะ หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
“ดูเหมือนว่างานเฝ้าประตูของข้านั้นจะมิเลวเสียทีเดียว คาดมิถึงว่าเจ้าจะเป็นโอรสของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ! ”
“ไสหัวไป… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่ดีไปทั่วทั้งร่าง “นี่ต้องเป็นแผนการร้ายเป็นแน่ ! ”
“ถึงแม้เจ้าจะเก่งกาจอย่างแท้จริง แต่เจ้าคิดว่าจักรพรรดิเหวินจะวางแผนการร้ายต่อเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงตอนที่จักรพรรดิเหวินเรียกเขาให้ไปเข้าร่วมประชุมใหญ่ราชวงศ์บนพระราชวังจวี้หัว นึกถึงท่าทางดีใจและตื่นเต้นของจักรพรรดิเหวินที่แสดงออกมาตอนอยู่บนกวนหยุนถาย และนึกถึง ณ วันประชุมใหญ่ราชวงศ์ จักรพรรดิเหวินได้ถอนราชโองการที่จะให้องค์หญิงไท่ผิงสมรสกับผู้ที่ชนะงานชุมนุมวรรณกรรม… ทั้งตนเองยังเคยนินทาเอาไว้ว่าตนนั้นเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิเหวินใช่หรือไม่ เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
จ้องมองใบหน้าที่มึนงงของฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้แล้ว หนิงซือเหยียนพลางดื่มสุราไปหนึ่งอึกก่อนจะกล่าวอีกว่า “หากเจ้าเป็นองค์ชายอย่างแท้จริง ก็เป็นโชคดีของราชวงศ์อู๋แล้ว องค์รัชทายาทอู๋กานในตอนนี้…” หนิงซือเหยียนส่ายหน้า “ข้าเคยพบคนผู้นั้นที่หลิวหยุนถาย ณ ทะเลสาบสือหลี่ เขามิมีคุณสมบัติขององค์รัชทายาท และมิมีคุณสมบัติของโอรสสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นเชี่ยวชาญเรื่องเคล้าสุราและการพนันเป็นอย่างดี แต่สิ่งเดียวที่มิเชี่ยวชาญก็คือการปกครองแคว้นอู๋”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่มารดาของเขาคือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน จักรพรรดินีเซียวเป็นสตรีที่มีความสามารถยิ่ง จักรพรรดิเหวินในตอนนั้นมิปลาบปลื้มนาง แต่นางกลับหาหนทางผ่านองค์ไทเฮา กลายมาเป็นสตรีของเหวินตี้ และก็ได้กลายมาเป็นจักรพรรดินี หนึ่งในปัจจัยนั้นย่อมมีตระกูลเซียวอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แต่ที่ยอดเยี่ยมก็ยังคงเป็นความสามารถของจักรพรรดินีเซียว”
“หากเรื่องนี้เป็นความจริง…” หนิงซือเหยียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาจริงจังมากยิ่งนัก “เจ้าก็ควรจะต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว ! ”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ได้เดินจากไป แต่ในใจกลับคิดว่าหน้าที่ผู้เฝ้าประตูนี้…ดูเหมือนจะมิใช่งานที่ดีแล้ว !
…..
…..
แทบจะในช่วงเวลาเดียวกัน ภายในจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย หนานกงอี้หยู่กำลังร้องเพลงหยอกล้อกับหลานชายในสวนดอกไม้ด้านหลังเรือน เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจากหอเทียนจีก็ได้เดินเข้ามาในจวนแห่งนี้ เมื่อมาถึงยังสวนดอกไม้ด้านหลัง ก็ได้ส่งจดหมายให้กับหนานกงอี้หยู่ด้วยท่าทีนอบน้อม
เขาเปิดอ่านในทันที ท่าทางมิได้แตกต่างไปจากฟู่เสี่ยวกวน เขาแทบจะกระโดดลอยตัวขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกยากที่จะเชื่อได้ “นี่มันอะไรกัน ? ”
ด้วยเสียงที่ดังมากยิ่งนัก และท่าทีที่เกินกว่าเหตุ ได้ทำให้หลานชายตัวน้อยที่กำลังหัดเดินตกใจจนล้มลง และร้องไห้จ้าในทันที
มือใหญ่ของหนานกงอี้หยู่โบกสะบัด และกล่าวกับสตรีชราผู้นั้นว่า “พากลับไปหามารดาของเขาก่อนเถิด”
เขาหันหน้าไปหาเจ้าหน้าที่ผู้นั้น “เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน โจวถงถงเล่า ข้าต้องการพบเขา ! ”
“เรียนท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่หอเทียนจีมีเรื่องด่วนให้จัดการ จึงสั่งให้ข้าน้อยนำข่าวคราวนี้มามอบให้แก่ท่าน”
“ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องอันใดที่เร่งด่วนยิ่งกว่าเรื่องนี้อีกเยี่ยงนั้นหรือ เป็นความจริงเยี่ยงนั้นหรือ หาบันทึกส่วนตัวของสามปีนั้นเจอแล้วหรือ ? เจ้าสุนัขนั่นอย่าได้ก่อเรื่องผิดพลาดน่าอับอายเหล่านั้นขึ้นมาอีกเป็นอันขาด ! ”
“เรียนท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง ย่อมเป็นความจริงขอรับ”
หนานกงอี้หยู่จึงได้สงบลงมา สองตาชราคู่นั้นกลิ้งกลอกไปมา ฝ่าบาททรงโยนเรื่องนี้ออกมาในยามนี้ พระองค์ต้องการทำอันใดกันแน่ ?
แก้ไขนามให้ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิถูกต้อง หากต้องการแก้ไขนามให้ฟู่เสี่ยวกวน ก็ต้องเป็นวันบวงสรวงสู่สวรรค์
เขานึกถึงเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกเป่ยหวังฉวนลอบสังหารที่เมืองเปียนเฉิงแห่งราชวงศ์อู๋ขึ้นมา นึกถึงการปะทะระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและเกาหยาเน่ยที่หอจิ้นสุ่ย ณ ทะเลสาบสือหลี่ และเขาก็นึกถึงตนเองที่ขัดขวางพระราชโองการฉบับนั้นอย่างสุดกำลังได้…ดูเหมือนว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริงเสียแล้ว !
ทุกอย่างที่ฝ่าบาทฝ่าทรงตรัสกับจักรพรรดินีเซียว คาดว่าเป็นเพราะจักรพรรดินีเซียวมีความประสงค์ที่จะสังหารฟู่เสี่ยวกวน
หากฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้แซ่อู๋และเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋เสี่ยวกวนจริง ๆ และได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์อู๋…เขานึกไปถึงบทสนทนาที่ได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวน ณ กวนหยุนถาย และก็ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี
องค์รัชทายาทอู๋กานในปัจจุบัน…สาหัสเกินจะทน เยี่ยงนั้นปัญหาในตอนนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยแผนการของจักรพรรดินีเซียว พระนางจะยอมให้ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงมายึดตำแหน่งรัชทายาทได้เยี่ยงไร
พระนางย่อมลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ !
แต่พระนางมิสามารถกระทำอย่างโจ่งแจ้งได้ เพราะฝ่าบาทได้เปิดเผยตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนกับพระนางแล้ว พระนางจึงสามารถกระทำได้เพียงในที่ลับ…ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีผู้มีฝีมือระดับสูงจากสำนักเต๋าถึง 5 คน แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็ยังสังหารเขามิสำเร็จ พระนางยังมีหนทางอื่นอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ในยามที่หนานกงอี้หยู่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่จากหอเทียนจีผู้นี้ก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกว่า
“ช่วงยามเย็น หอเทียนจีได้รับข่าวมาว่า ข่าวคราวที่เป่ยหวังฉวนอยู่ที่ชางฮ่ายเจี้ยนหลู มันถูกส่งผ่านทางหัวหน้าขันทีเกาไปแล้ว”
“มอบให้ผู้ใดกัน ? ”
“ลูกศิษย์สำนักเต๋ารวมตัวกันที่เมืองกวนหยุน เพื่อล่าสังหารเป่ยหวังฉวน”
หนานกงอี้หยู่จิตใจสั่นสะท้าน “ลูกศิษย์สำนักเต๋าพบเบาะแสของเป่ยหวังฉวนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พวกเขาออกไปนอกเมืองแล้ว”
“ล่อเสือออกจากถ้ำเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิดีแล้ว ! ”
“เตรียมรถ เดินทางเข้าวังหลวง ! ”
“รีบไปแจ้งให้ฟู่เสี่ยวกวนทราบ รีบไปประเดี๋ยวนี้ ! ”