ตอนที่ 339 เดินหมาก
ณ ตำหนักเจิ้งหยาง
จักรพรรดินีเซียวสวมชุดสีขาวและยืนอยู่เงียบ ๆ ในลานกว้างที่ใหญ่โตแต่ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด มองดูแล้วอ้างว้างยิ่งนัก
สาวใช้และขันทีที่ล้อมหน้าล้อมหลังต่างถูกนางขับไล่ออกไปด้านนอกจนหมด นางอยากอยู่อย่างสงบ
มองดูหมอกหนาปกคลุมเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ และรอให้เมฆลดระดับลงเพื่อที่จะได้เชยชมบรรยากาศของเมืองกวนหยุน
แน่นอน ว่านางกำลังรอการมาถึงของข่าวคราวอย่างสงบนิ่ง
การเตรียมการทั้งหมดเป็นไปตามความประสงค์ของนางอย่างสมบูรณ์แบบ ต่อจากนั้น ก็เป็นเวลาของประกายดาบและเงากระบี่
ในเมื่อฝ่าบาทได้บอกตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนกับนางแล้ว เยี่ยงนั้นฝ่าบาทย่อมวางแผนทั้งหมดเอาไว้เป็นแน่ แต่แล้วมันจะเป็นเยี่ยงไรได้ ?
หลังจากที่เรื่องจบ ฝ่าบาทย่อมบันดาลโทสะเป็นแน่ อาจจะถึงขั้นลงโทษนาง แต่นางสามารถแบกรับมันเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่มิใช่เพราะใจของนางแข็งแกร่งพอที่จะรับมันได้ แต่เพราะนางมีต้นทุนที่จะแบกรับมันไว้ต่างหากเล่า
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงคือคนของพระนาง โจวเปี๋ยหลีบุตรชายของจัวอี้สิงคือแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าแห่งราชวงศ์อู๋ และภรรยาของโจวเปี๋ยหลีก็คือเซียวเวยน้องสาวของพระนาง
ผู้บัญชาการราชองครักษ์เขตวังหลวงเซียวจ้านคือพี่ชายของนาง และเป็นลุงขององค์รัชทายาท
ทั้งหมดนี้คือหมากที่อยู่ในมือของนาง !
หากฝ่าบาทหงายไพ่ที่อยู่ในมือออกมา…ตนกลัวว่าจะต้องเลือกหนทางเดียวกันกับอดีตไทเฮาเมื่อสิบสองปีก่อน อดีตไทเฮาทรงทำเพื่อราชาภิเษกองค์รัชทายาท เหตุการณ์นองเลือดแห่งทะเลสาบสือหลี่ แม้แต่อดีตจักรพรรดิก็สิ้นพระชนม์ในคืนนั้นเช่นกัน !
เป็นการดีต่อปลาในทะเลสาบสือหลี่เป็นอย่างมาก
ศพเหล่านั้นได้จมลงไปใต้ทะเลสาบ จนบัดนี้เกรงว่าแม้แต่กระดูกก็คงจะมิเหลือแล้ว
ดังนั้น จากสายพระเนตรของจักรพรรดินีเซียว ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตาย ก็แค่บุตรนอกสมรสเพียงหนึ่งคน เป็นไปมิได้ที่พลเรือนและทหารในราชวงศ์จะต่อสู้กับความอยุติธรรมเพื่อบุตรนอกสมรสเพียงหนึ่งคน และเป็นไปมิได้ที่จะเป็นศัตรูกับองค์รัชทายาทเพียงเพื่อบุตรนอกสมรสเพียงคนเดียว
ส่วนเรื่องที่องค์รัชทายาทมิมีใจสู้ นั่นมิได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาอย่างมากที่สุดตนก็เพียงแค่ทำงานหนักขึ้นอีกเล็กน้อย คอยช่วยเหลือเขาบริหารบ้านเมืองอยู่หลังม่านแทน
ในตอนที่จักรพรรดินีเซียวกำลังครุ่นคิด ขันทีเกาก็ได้วิ่งเข้ามา
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี ลูกศิษย์สำนักเต๋าทั้งห้าได้เดินทางออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูแล้ว และกำลังจะถึงชางฮ่ายเจี้ยนหลูในมิช้า กระหม่อมได้ส่งผู้มีฝีมือระดับสูง 12 คนออกไปแล้ว และในขณะนี้ได้ทำการซุ่มโจมตีอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู ภายในเมืองกวนหยุน… อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ไปที่ตำหนักหยางซินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีเซียวลุกขึ้นยืนสองมือไขว้หลัง รูปลักษณ์เด่นสง่า “โจวถงถงแห่งหอเทียนจีอยู่ที่ใดกัน ? ”
สำหรับหนานกงอี้หยู่ จักรพรรดินีเซียวมิได้ใส่ใจอันใด คนผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเหวิน ลำดับตระกูลในเมืองกวนหยุนก็มิได้โดดเด่นอันใด มิได้เป็นภัยคุกคามต่อนางแต่อย่างใด แต่กับผู้ที่มีท่าทางเหมือนจะหลับมิตื่นไปทั้งวันอย่างโจวถงถง… หอเทียนจีอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่าบาทโดยตรง ถึงแม้มือของนางจะยื่นเข้าไปในหอเทียนจีแต่เนิ่น ๆ แล้ว แต่กับชายชราโจวถงถงผู้นี้นางกลับยังมองให้ขาดมิได้
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี โจวถงถงอยู่ที่หอเทียนจีตลอดและมิได้ออกมาแต่อย่างใด”
จักรพรรดินีเซียวคิ้วขมวดมุ่น หากโจวถงถงมีการเคลื่อนไหวบ้างนางคงสบายใจกว่านี้ ตาเฒ่าผู้นั้นซ่อนอยู่ในหอเทียนจีโดยมิได้ออกมาเลยเยี่ยงนั้นหรือ…หรือว่าเขาจะแก่ตัวแล้วจริง ๆ
เหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่เมื่อสิบสองปีก่อน เป็นตาเฒ่านั่นที่ร่วมมือกันกับไทเฮาจนประสบความสำเร็จ !
“คอยจับตามองให้ข้า… ไม่ เจ้าจงไปที่หอเทียนจีด้วยตนเอง และต้องเห็นตาเฒ่านั่นด้วยตาของตนเองเท่านั้น ! ”
“กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้ขอรับ ! ”
ในตอนที่ขันทีเกาได้หันหลังกลับและกำลังจะเดินออกไป จักรพรรดินีเซียวกลับเรียกเขาเอาไว้อีกครา “ประเดี๋ยวก่อน นำจดหมายฉบับนี้ของข้าไป และส่งให้ถือมือพี่ชายของข้าด้วย ! ”
ขันทีเกาตื่นตกใจ ชำเลืองมองจักรพรรดินีเซียวด้วยความตื่นตระหนก นี่คือการลงมือกับฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับลากองครักษ์หลวงเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ…
“มิมีอะไร เจ้าทำตามที่ข้าสั่งเอาไว้ก็พอ หลังจากที่ประสบความสำเร็จ ข้าจะมอบความมั่งคั่งให้เจ้าไปชั่วชีวิต นอกจากนี้ บุตรชายของเจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์ไปกับเจ้าด้วย”
ขันทีเการีบคุกเข่าลงและโขกศีรษะลงกับพื้น หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไป ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ในเมื่อลงเรือของจักรพรรดินีเซียวแล้ว เยี่ยงนั้นก็เสี่ยงโชคเพื่อความร่ำรวยเถิด !
…..
…..
หมากรุกภายในตำหนักหยางซินก็ใกล้จะจบลงแล้ว
หมากบนกระดานนั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมากขาวของหนานกงอี้หยู่ มองไปแล้วดูไม่เป็นระเบียบยิ่ง
เขาจะไปมีกะจิตกะใจมาเล่นหมากรุกได้เยี่ยงไรกันเล่า !
“พระนางจะเขวี้ยงมุสิกแล้วกลัวจะกระทบภาชนะอื่นเยี่ยงนั้นหรือ… ? ”
“เล่นหมากกับเจ้ามาสิบปี เจ้ามักจะกล่าวเสมอว่าข้านั้นลงหมากได้แย่ยิ่ง แต่หากเจ้ายังมิมองกระดานนี้ให้ถี่ถ้วนขึ้นอีกนิด เจ้าจะพ่ายอย่างน่าเวทนาเป็นแน่ ! ”
“ฝ่าบาท ! ”
จักรพรรดิเหวินมองเขาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ข้าทราบว่าเจ้ากังวลกับสิ่งใด มิใช่องครักษ์หลวงหรอกหรือ หรือว่าเซียวจ้านผู้นั้นกล้าที่จะต่อต้านจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่เองก็มองจักรพรรดิเหวิน และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่งว่า “กระหม่อมขอบังอาจกล่าวอะไรที่มิน่าฟังเสียหน่อย ค่ำคืนเมื่อสิบสองปีก่อนที่ทะเลสาบสือหลี่ อย่าได้เกิดขึ้นซ้ำอีก ! ”
จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “นี่มันมิเหมือนกัน เมื่อสิบสองปีก่อนเป็นพี่ชายของข้าที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทของข้า ไทเฮาต้องลงมาจัดระบอบบ้านเมืองอย่างมิมีทางเลือก แต่เรื่องยุ่งยากในตอนนี้คือกลับเป็นนางที่ต้องการสังหารฟู่เสี่ยวกวน บางที…ก็คงอยากลองสังหารข้าเช่นกัน นี่คือแผนการร้ายเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ของนาง อาชญากรรมครานี้…ทำให้นางสมควรตายได้แล้วใช่หรือไม่ ? เจ้าคงมิเขียนหนังสือขอความเมตตาให้แก่นางหรอกใช่หรือไม่ ? ”
หนานกงอี้หยู่หน้าซีดเผือดทันพลัน เขาเข้าใจแล้ว ทั้งหมดนี้ คือหมากที่ฝ่าบาททรงวางไว้ทั้งสิ้น !
ฝ่าบาททรงใช้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเหยื่อ เพื่อบังคับให้จักรพรรดินีเซียวออกมาแสดงทางเลือก
นี่คือแผนการร้าย หากจักรพรรดินีเซียวมิลงมือ ฝ่าบาทจึงจะดำเนินการต่อในภายหลัง อย่างเช่นในวันบวงสรวงสู่สวรรค์จะเขียนนามของฟู่เสี่ยวกวนลงบนพระราชโองการ หรือการจัดพิธีบวงสรวงที่วัดไท่เมี่ยว คาดว่าฝ่าบาทจะให้นามของฟู่เสี่ยวกวนได้ประทับไว้ในตำราทองคำ และอย่างเช่นการหาเหตุที่จะถอดองค์รัชทายาทที่มิมีคุณสมบัติผู้นี้ออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทเสีย และให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นองค์รัชทายาทแทน
จักรพรรดินีเซียวจะรับหรือมิรับกัน ?
พระนางมีเพียงแต่ต้องรับ !
และยิ่งรับไว้เร็วเท่าใดพระนางก็จะยิ่งโชคดีมากเท่านั้น !
ด้วยเหตุนั้นหมากกระดานนี้จึงได้เริ่มต้นจากฝ่าบาททรงจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ขึ้นอย่างมิมีที่มาที่ไป และตอนนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ดังนั้นในเทียบเชิญของแต่ละแคว้น จึงมีเพียงชื่อของฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว
ประการที่หนึ่งเกรงว่าจะเป็นเพราะฝ่าบาทต้องการเห็นบุตรนอกสมรสผู้นี้ด้วยพระเนตรของพระองค์เอง ประการที่สองมีความหมายว่าต้องการเชิญเหล่ากบฏมาลงโอ่ง
“กระหม่อม เกรงว่าจะทำให้วังหลวงวุ่นวายขึ้นมาพ่ะน่ะค่ะ ! ”
“ปีที่แล้วฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้ลงตรวจสอบการทุจริตของทั้งสิบสามสำนักอย่างเต็มกำลัง โดยมิลังเลที่จะเขย่ารากฐานของแคว้น ในยามนั้นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชวงศ์หยูต่างก็กังวลว่าบ้านเมืองจะมิมั่นคง แต่ความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาชนะ ขุนนางที่ทุจริตจากทั้งสิบสามสำนักจำนวนหนึ่งพันกว่านายต่างก็ตกม้าตาย ทั้งยังใช้ประโยชน์จากตรงนั้นมาโค่นสองตระกูลจากหกตระกูลที่มีอำนาจในเมืองหลวงอย่างตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยลงมาได้”
“เจ้าอย่าได้มองว่าสถานการณ์รบทางตะวันออกของราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้ย่ำแย่ ข้าจะบอกกับเจ้าให้ มิเกินสามเดือน แคว้นอี๋จะแตกพ่ายอย่างแน่นอน ! ”
หนานกงอี้หยู่ไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาทที่ต้องการจะสื่อถึงราชวงศ์หยู เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาโดยสัญชาตญาณว่า “แต่กำลังของราชวงศ์หยูบัดนี้อ่อนแอมากยิ่งนัก คลังของแคว้นก็แทบจะมิเหลืออันใดแล้ว แล้วชัยชนะจะมาจากทางใดกัน ? ”
“เพราะภายในระยะเวลาสามเดือนนั้น กองทัพชายแดนตะวันออกจะมีปืนใหญ่หงอีอย่างน้อย 100 กระบอก…ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้สร้างของสิ่งนั้น ข้าจะกล่าวเยี่ยงนี้ให้เจ้าฟัง ของสิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์รบในภายหลังอย่างแน่นอน นั่นคือเครื่องมือสังหารที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ! ”
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ปัญหาในตอนนี้ก็คือหากราชวงศ์เกิดความโกลาหล…”
จักรพรรดิเหวินหัวเราะร่า ก่อนจะลงหมากไปหนึ่งตัว และกินมังกรใหญ่ของหนานกงอี้หยู่จนหมด
“หากราชวงศ์เกิดความโกลาหลขึ้นมา ก็โยนไปให้ฟู่เสี่ยวกวนจัดการเสีย ! ”
หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง จักรพรรดิผู้นี้ยังคงมิน่าไว้วางใจเฉกเช่นในอดีต !
“ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น เจ้าวางใจเถิด จะมิเกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นแน่… ! ” จักรพรรดิเหวินหันมองไปบนฟากฟ้า และกล่าวอย่างมิทุกข์ร้อนอีกว่า “หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริง ๆ เจ้าจงจำไว้ว่า ราชโองการของข้าซ่อนไว้หลังป้ายแผ่นนั้นในตำหนักหยางซินแห่งนี้”