วันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม ตรงกับเทศกาลฤดูหนาว ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้จัดการเรื่องที่พักให้แก่บัณฑิตทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย
การแข่งขันในครานี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประเภทที่หนึ่งคือตุ้ยเหลียน ค่อนข้างง่าย จะแข่งขันในช่วงบ่ายของวันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม
ประเภทที่สองคือกวี เป็นประเภทหลักของการแข่งขัน จะจัดขึ้นในวันที่ยี่สิบหกเดือนสามทั้งวัน
ประเภทที่สามคือบทความ มีความซับซ้อนยุ่งยากเล็กน้อย จัดแข่งขันขึ้นในวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสามช่วงเช้า
บัณฑิตทั้งหลายจะเดินทางกลับไปยังเมืองกวนหยุนวันที่ยี่สิบเจ็ดช่วงบ่าย ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับที่หนึ่งในครานี้ คือผู้ที่มีคะแนนมากที่สุดในการแข่งขันจากทั้งสามประเภท แต่ละประเภทจะต้องเป็นหนึ่งในสาม วันประกาศผลคือวันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม เวลาบ่ายสาม ณ หลิวหยุนถายทะเลสาบสือหลี่
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นไปลูบที่จมูก เขานึกในใจว่ากวีเหล่านี้คงมิอาจหนีพ้นเรื่องทางโลกเหล่านั้นได้
หลังจากจักรพรรดิเหวินทรงออกคำสั่ง ราชองครักษ์กว่าพันคนก็ได้มาทำการคุ้มกัน และเดินทางออกจากกวนหลี่เตี้ยนไปทางทิศเหนือ
ระยะทางในครานี้มิได้ยาวไกลนัก ใช้เวลาประมาณราว 1 ชั่วยาม
ส่วนเรื่องสถานการณ์ของวัดหานหลิง เมื่อคราที่ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เดินทางออกมาจากเมืองจินหลิง ก็ได้ให้คนจากหอซี่หยู่รวบรวมข้อมูลไว้ไห้แล้ว
วัดหานหลิงนั้นเป็นเพียงวัดทั่วไป ตั้งอยู่บนเขาหานหลิง ฝั่งตะวันตกของเมืองกวนหยุน
ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานราว 500 ปีเห็นจะได้
เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่ราชวงศ์อู๋เพิ่งจะก่อตั้งขึ้น อู๋ไท่หวงได้สร้างเมืองกวนหยุนไว้บนที่ราบสูงหลีลั่ว หลังจากอู๋เซิ่งหวงโอรสของเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้อภิเษกกับองค์หญิงเจิ้้งหยางแห่งแคว้นฝาน
องค์หญิงเจิ้้งหยางนับถือศาสนาพุทธ อู๋เซิ่งหวงจึงได้สร้างวัดหานหลิงนี้ขึ้นมา โดยองค์หญิงเจิ้งหยางทรงประทานชื่อวัดนี้ว่าหานหลิง
อีกทั้งวังหลังของพระราชวังตำหนักเจิ้งหยาง ก็ตั้งตามพระนามขององค์หญิงเจิ้งหยางเช่นกัน
ดังนั้นผู้ที่สามารถประทับ ณ ตำหนักเจิ้งหยางได้ จึงมีเพียงจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์อู๋เท่านั้น
องค์หญิงเจิ้งหยางพานักบวชมาจากแคว้นฝานด้วย ศาสนาพุทธจึงได้เผยแผ่ไปในราชวงศ์อู๋ แม้จะมิได้รับยกย่องเป็นศาสนาประจำราชวงศ์อู๋ แต่วัดหานหลิงนั้นก็ได้รับความเคารพบูชาจากชาวราชวงศ์อู๋มิน้อย
นักบวชเหล่านั้นเดินทางไปทั่วราชวงศ์อู๋เพื่อเผยแพร่ศาสนา บัดนี้ผู้นับถือศาสนาพุทธมีอยู่ทั่วไป ประกอบกับวัดหานหลิงเป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธ แน่นอนว่าจะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของพวกเขา
ผ่านไปห้าร้อยปี บริเวณของวัดหานหลิงได้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
พื้นที่กว้างขวางขึ้น ตรงกลางมีห้องโถงใหญ่ ด้านในมีโบสถ์สิบกว่าแห่ง สำนักสงฆ์กว่าร้อยแห่ง และนักบวชกว่าพันคน อยู่ท่ามกลางป่าสน มีกฎที่เคร่งครัดยิ่ง
และระฆังตีบอกเวลานั้นเป็นที่เลื่องชื่อยิ่งของวัดหานหลิง มันดังมากว่าห้าร้อยปีแล้ว !
เจ้าอาวาสวัดหานหลิงคืออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ย อายุ 40 ปี เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์ประจำสำนักฝูแห่งแคว้นฝาน ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของคูฉานอีกด้วย
เขาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ดูแลวัดหานหลิงนี้มาได้ 6 ปีแล้ว ได้ยินมาว่า เขาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในทางพุทธศาสนา วรยุทธ์ของเขาก็สูงมากเช่นกัน ส่วนสูงเพียงใดนั้นมิได้กล่าวไว้ เนื่องจากอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยมิเคยลงมือด้วยตนเอง
…….
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนั่งอยู่ในรถม้าส่วนพระองค์ขององค์หญิงเก้า
นอกจากต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน แล้วยังมีซูซูอยู่ด้วยอีกคน
นางนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นธรรมชาติ บัดนี้บนโต๊ะมีอาหารทั้งสิ้น 6 กล่อง นางวิ่งไปซื้อถึงร้านซิ่งหลินจี้ในป่าซิ่งหลินเชียว นางชื่นชอบฮะเก๋าของร้านนี้ยิ่ง
เมื่อนางเปิดกล่องอาหารออกมา ใบหน้าก็ปรากฏเป็นรอยยิ้ม “เชิญแม่นางทั้งสองรีบกินตอนร้อน ๆ เถิด มีซาลาเปามันปูและขนมที่พวกท่านชื่นชอบด้วย…”
นางหันหลังมามองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยเสริมขึ้นว่า “เจ้าก็กินด้วยกันสิ”
พวกเขาทั้งสามคนก็มิได้เกรงใจ มินานภายในรถม้าก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
“ศิษย์พี่รองไปยังซิ่งหลินจี้ คาดว่าจะมิได้กลับมา…” ซูซูกินฮะเก๋าพลางมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน
“หากว่าศิษย์พี่ใหญ่ตั้งใจกินขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าติ่มซำในร้านซิ่งหลินจะมิพอ อาหารในร้านเซิ่งหลินแพงมากยิ่งนัก แม้เจ้าจะให้เขาไปถึง 500 ตำลึง แต่คาดว่าห้าวันเขาก็กินหมดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ขาดแคลนเงินทอง แต่ศิษย์พี่รองกินเช่นนั้น…สักวันคงจะผลาญเงินเจ้าจนหมดเป็นแน่ ข้าหมายความว่า เป่ยหวังฉวนใช้ธนูยิงเจ้าถึงสองครา และช่วยชีวิตเจ้าไว้หนึ่งครา อีกทั้งซูม่อก็ได้รับโชคจากเหตุการณ์นั้น ศิษย์พี่ทั้งห้ากล่าวว่า บัดนี้ซูม่อและแม่นางถาวฮวาตัวติดเสียยิ่งกว่าขนมน้ำตาลเสียอีก คาดว่าอีกมินานคงจะได้แต่งงานกันแล้ว พวกเขาทั้งสองได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ เกรงว่าบัดนี้จะเดินทางออกจากเมืองเปียนเฉิงไปยังสำนักเต๋าแล้ว ดังนั้นจะฆ่าเป่ยหวังฉวนหรือไม่ ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง และจะให้ศิษย์พี่รองกลับไปที่สำนักหรือไม่ ? ”
ซูซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับพอใจยิ่ง
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินลอบสบตากัน พวกนางเข้าใจในความหมายของซูซูดี
ในฐานะศิษย์น้องของเกาหยวนหยวน แต่นางกลับเข้าข้างฟู่เสี่ยวกวนเช่นนี้ อีกทั้งพอนึกถึงหลายวันมานี้ซูซูติดตามพวกนางไปเรียนรู้เรื่องการค้ามากมาย คล้ายกับแฝงอะไรบางอย่าง
เพิ่งจะส่งอู๋หลิงเอ๋อร์ไปได้ บัดนี้จะมีน้องสาวเพิ่มอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่พวกนางทั้งสองชื่นชอบซูซูยิ่ง เนื่องจากรู้จักกันมาเป็นเวลานาน เทียบกับอู๋หลิงเอ๋อร์ที่เข้ามาอย่างกะทันหันแล้ว พวกนางยอมรับซูซูได้มากกว่า
อีกทั้งแม่นางซูซูช่างงดงามยิ่ง และฝีมือการดีดฉินของนางในใต้หล้านี้คาดว่าคงมิมีผู้ใดเทียบเคียงนางได้
ต่งชูหลานเลิกคิ้วให้ หยูเวิ่นหวินยิ้มออกมา
“ข้าว่าศิษย์พี่รองของเจ้าน่าสนใจยิ่ง ไหนลองเล่าเรื่องซูเตี่ยนเตี่ยนกับซูหยางหยางให้ข้าฟังหน่อยสิ”
“พวกเขามีเรื่องอันใดให้เล่ากัน ? ซูเตี่ยนเตี่ยนวิ่งเร็วยิ่ง ท่านอาจารย์กล่าวว่านอกจากปรมาจารย์แล้ว ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดวิ่งเร็วกว่าซูเตี่ยนเตี่ยนได้อีก ส่วนซูหยางหยางก็แปลกประหลาดยิ่ง เขามีความสามารถในเรื่องการสร้างกลไกต่าง ๆ เขาเคยไปขุดหลุมฝังศพของปรมาจารย์ทั้งหลาย เพียงได้ยินมาว่ามีมู่โต่วอาวุธวิเศษที่สร้างโดยปรมาจารย์จู๋ซี แน่นอนว่าเขาถูกท่านอาจารย์จับได้และขังไว้ในหลุมฝังศพ โดยบอกว่าเป็นการลงโทษกักขัง แต่ทว่าเขาก็สามารถฝ่าทะลุกลไกของสุสานและแอบออกไปทางประตูหลังได้”
“มู่โต่วเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาได้หามันพบหรือไม่ ? ”
“แน่นอนว่ามิพบ แต่จุดที่เขาออกมานั้นช่างประหลาดยิ่ง เป็นบริเวณหน้าผาซือกั่วด้านหลังภูเขา ในตอนนั้นศิษย์พี่รองได้ถูกขังไว้ในหน้าผาซือกั่วเพื่อไตร่ตรองตน อยู่ ๆ ศิษย์น้องเจ็ดก็โผล่ออกมาทำให้ศิษย์พี่รองตกอกตกใจเสียยกใหญ่ เดือนนั้นศิษย์พี่รองผอมลงไปถึง 2 ชั่ง”
ทั้งสามคนจ้องตาไม่กะพริบ นอกจากซูม่อแล้ว ศิษย์จากสำนักเต๋าทั้งเจ็ดที่อยู่ข้างกายเขา มองดูแล้วศิษย์คนที่เจ็ดนี่ปกติกว่าใครอื่น
แน่นอนว่าบัดนี้เขาได้กลายเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋าแล้วเช่นกัน แต่เป็นศิษย์ที่มิได้เรื่องเสียจริง มิเคยแม้แต่จะเดินทางไปยังสำนักเต๋า ท่านผู้นำสำนักหน้าตาเป็นเช่นใดก็มิรู้ได้
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเป็นเพียงศิษย์ในนามของสำนักเต๋าเท่านั้น หากมีเวลา จะต้องเดินทางไปด้วยตนเองให้จงได้
รถม้าขับเคลื่อนออกจากเมืองกวนหยุน ผ่านถนนอันกว้างของภูเขาหานซาน
เมื่อถึงเชิงเขาหานซาน รถม้ามิสามารถขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีภูเขาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า และมีตุ้ยเหลียนคู่หนึ่งเขียนไว้ว่า
ทางนี้ว่างเปล่า หากเข้าต้องมั่นคง
ระวังทางแยก หากผิดทางอาจพินาศ