ตอนที่ 354 ตายแล้วเยี่ยงไร
กลางตำหนักเย็น ณ พระราชวังแห่งเมืองกวนหยุน
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหลังของจักรพรรดินีเซียว นางเบิกตากว้างที่เต็มไปด้วยโทสะ
“เสด็จแม่อยากให้เขาตายมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? ”
จักรพรรดินีเซียวมิได้หันหลังกลับมามอง นางวางพู่กันในมือลง
น้ำหมึกบนกระดาษนั้นยังมิแห้งดี นางหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาเป่า “มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ตำแหน่งของน้องชายเจ้ามั่นคง นั่นคือการทำให้เขาตายไปเสีย”
“เสด็จแม่ทรงลืมองค์ชายหนิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หนิงหวังหรือ…หึ ๆ ”
อู๋หลิงเอ๋อร์ชะงักลงทันพลัน สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “หรือว่า…เสด็จแม่ทรงลงมือจัดการกับองค์ชายหนิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ในตอนนั้น เพื่อให้ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ไทเฮาก็ทรงฆ่าพี่ที่เป็นบุรุษของเขาจนสิ้น…พวกเขาเหล่านั้นมีเลือดเนื้อของจักรพรรดิองค์ก่อน หนึ่งในนั้นมียวี่หวังซึ่งเป็นโอรสในไส้ของพระนางเองอีกด้วย แต่มีดของพระนางกลับมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ข้าทำนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เปรียบเทียบมิได้กับพระนางเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่คือการแย่งชิงตำแหน่งองค์จักรพรรดิ ! ”
ในสายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์นั้น จักรพรรดินีเซียวเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนแปลกหน้า นางมิอาจทำใจเชื่อได้ว่าเสด็จแม่ของนางจะทำเรื่องอันโหดร้ายได้เพียงนี้ ! นางมิอาจเชื่อได้ว่าหัวใจของสตรีนางหนึ่งจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้
ใบหน้าของนางปรากฏความเย้ยหยันขึ้นมา “แต่ช่างน่าเสียดาย แผนการที่เสด็จแม่วางไว้ในวัดหานหลิงคาดว่าคงจะมิสำเร็จแล้ว”
จักรพรรดินีเซียวหันหลังกลับมามองอู๋หลิงเอ๋อร์ “ว่าไปแล้วเจ้าอาจจะมิเชื่อ ได้ยินมาว่าหนานกงอี้หยู่ชื่นชอบเหยี่ยวไห่ตงชิงยิ่ง สัตว์ตัวนั้นข้าเป็นผู้ให้คนจับมันมาเอง และเพราะมัน จึงทำให้ข้าพลาดไปเพียงนิดเดียว ดังนั้นใต้หล้าก็เปรียบเสมือนหมากรุก มิมีสิ่งใดแน่นอน ในวันนี้ที่เจ้าเดินทางมา เกรงว่าจะเป็นการพบกันของพวกเราสองแม่ลูกคราสุดท้ายแล้ว อย่าได้สนทนากันเรื่องนี้อีกเลย สนทนากันเรื่องอื่นดีหรือไม่ ? ”
นางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ “ข้าพบว่ากวีในหนังสือความฝันในหอแดงของเขาช่างมีความหมายยิ่ง ข้าเพิ่งจะคัดลอกลงไปเมื่อสักครู่ เจ้าลองอ่านดูเถิด”
สายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์มองไปยังกระดาษใบนั้น เป็นกวีที่มีชื่อว่า ‘ฉลาดเหนื่อย’
กลไกใดหากฉลาดล้ำเกินไป มักทำลายชีวิตจนสิ้น
ใจสลายเมื่อมีชีวิต แม้นตายไปวิญญาณยังว่างเปล่า…
คล้ายคฤหาสน์หลังโต ถูกไฟมอดไหม้
อ่า ! ความสุขที่ดูเหมือนเศร้า
ชีวิตเรา ยากจะตัดสิน… !
นางเงยหน้าขึ้นมอง “ท่านเสียใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จักรพรรดินีเซียวทรงแย้มพระสรวลขึ้น จากนั้นมองออกไปยังแสงแดดนอกหน้าต่าง “ลูกสาวข้า ข้ามิเคยจะเสียใจเลยสักครา” ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น “แม่นั้นเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุได้ 3 ปี เข้าศึกษาเมื่ออายุ 5 ปี และเมื่ออายุ 7 ปีได้เข้าศึกษาตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า ณ สำนักศึกษาหลีซาน อภิเษกกับฝ่าบาทเมื่ออายุ 14 ปี เดิมทีคิดว่าตนนั้นคือผู้ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต แต่ทว่า ในดวงใจของฝ่าบาททรงมีสตรีนางนั้นแต่เพียงผู้เดียว…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไป เหลือไว้เพียงความเยือกเย็น
“ฝ่าบาททรงร่วมหมอนนอนเคียงคู่ เเต่ในใจกลับถวิลหาสวี่หยุนชิงที่อยู่แสนไกลนับพันลี้…นี่คือความผิดพลาดของแม่ ดังนั้นจึงได้ส่งคนไปวางยาพิษสวี่หยุนชิงเสีย”
อู๋หลิงเอ๋อร์จ้องมารดาของนางตาเขม็ง ท่านแม่เป็นอยู่เบื้องหลังการตายของสวี่หยุนชิงเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เพราะแม่คิดว่า หากสวี่หยุนชิงตายไปเสีย ท้ายที่สุดหัวใจของฝ่าบาทจะทรงมาอยู่ที่แม่ แต่คาดมิถึงว่า ข้าสู้มิได้แม้แต่สตรีที่ตายไปแล้ว ! ”
“เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
ใบหน้าของนางดูดุดันและน้ำเสียงก็แข็งกร้าวขึ้น “เพราะเหตุใดข้าจึงมิสามารถเทียบกับสวี่หยุนชิงได้ ? นางงดงามกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? นางฉลาดกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? นางอ่อนโยนและเอาใจเก่งกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?”
นางจ้องมายังอู๋หลิงเอ๋อร์ ทำให้อู๋หลิงเอ๋อร์ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ล้วนมิใช่ หลายปีมานี้ในที่สุดข้าก็ได้เข้าใจเสียที นั่นเป็นเพราะสวี่หยุนชิงได้เข้าไปอยู่ในดวงใจฝ่าบาทก่อนข้าเท่านั้นเอง”
นางมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครา สีหน้าแสดงออกถึงความเย้ยหยัน “บรรดาขุนนางทั้งหลายในใต้หล้าล้วนคิดว่าฝ่าบาททรงรักมั่นและใจเดียว พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้ มีเพียงจักรพรรดินีองค์เดียวและพระสนมอีก 1 คนเท่านั้น พวกเขาต่างก็มิรู้ว่า หากมิใช่เพราะไทเฮาทรงบังคับ หากมิใช่เพราะราชวงศ์จำต้องมีทายาทสืบสกุล…จากนิสัยของฝ่าบาทแล้ว ในหลังวังนี้เกรงว่าคงจะมิมีแม้แต่สตรีเพียงผู้เดียว”
“หากจะกล่าวให้น่าฟัง…ฝ่าบาททรงรักมั่นดั่งนกหยวนหยางผู้เศร้าโศกานั่น มองจากภายนอก ฝ่าบาททรงหลงใหลในความรัก หากกล่าวอย่างมิน่าฟัง ฝ่าบาททรงแขวนคอตายอย่างมิคิดถึงผู้มีชีวิตอยู่…”
นางมองมายังอู๋หลิงเอ๋อร์อีกคราแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์กวีคู่กับภาพนกหยวนหยางผู้เศร้าโศกานั่น เจ้ารู้หรือไม่ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงหน้าโต๊ะตัวนั้นแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบทกวี ‘เจ๋อกุ้ยหลิง ความหลงใหล’ นั้นลงไปแล้วส่งให้กับจักรพรรดินีเซียว “แท้จริงแล้วเสด็จแม่ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งใดคือความหลงใหล”
จักรพรรดินีเซียวรับมาดู จากนั้น
แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล
กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย
กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน
ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าหวงแหน
เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง
ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ”
สีหน้าของนางค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น แววตาเยือกเย็นคู่นั้นดูมืดมนราวกับหลุมดำ
มือของนางไร้เรี่ยวแรง กระดาษใบนั้นปลิวหล่นลงสู่พื้น
“ลูกสาวข้า ชีวิตต่อจากนี้เจ้าจะได้เรียนรู้ถึงความเข้มแข็ง ส่วนเรื่องความคิดนั้นเจ้าสามารถเก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจได้ แต่จงอย่าทำให้ผู้ที่รักเจ้าต้องผิดหวัง”
สีหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์ดูโดดเดี่ยวยิ่ง นางมองไปยังจักรพรรดินีเซียวด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความแค้น นางมิได้ตอบรับสิ่งใดกับคำเอ่ยของจักรพรรดินีเซียวเมื่อครู่ แต่กลับเอ่ยว่า “หากองค์ชายหนิงตาย ท่านเองก็คงมิรอด”
“ตายแล้วเป็นเยี่ยงไร ข้ามิได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย ! ”
“มิเสียใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หลังจากที่ข้าตายไป จงฝังข้าไว้ที่ข้างเรือนหยุนชิงตรงวัดหานหลิง สถานที่นั้นข้ายังมิเคยไป ข้าอยากจะไปเห็นด้วยตนเองยิ่ง”
……
……
ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังส่องแสงลงมาราวกับด้ายสีทอง
พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งวัดหานหลิงตั้งตระหง่านอยู่ข้างทะเลสาบเทียนหู ท่ามกลางแสงแดดนี้แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
การต่อสู้ภายในเริ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ และจบลงอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน
บัณฑิตที่อาศัยอยู่รอบ ๆ เห็นเพียงทหารม้ากลุ่มหนึ่งเข้าไปด้านในพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หลังจากนั้นเพียง 2 เค่อพวกเขาก็เดินออกมาอีกครา มิมีบัณฑิตคนไหนรู้ว่าใน 2 เค่อนั้นมีผู้คนเสียชีวิตถึง 4,000 คน !
ศพของพวกเขาถูกนำไปกองไว้บนเศียรของพระพุทธรูป เลือดสีแดงสดกลายเป็นแอ่งน้ำสีเลือด และไหลออกจากพระเนตรของพระพุทธรูป
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมาถึงก็พบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายแล้ว
และคูฉานกำลังมองไปยังพระเนตรของพระพุทธรูปอย่างตกตะลึง เขายกมือขึ้นชี้แล้วกล่าวกับฝานเทียนหนิงว่า “หรือมีเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกัน ? ”
ฝานเทียนหนิงเงยหน้ามองดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว กล่าวตามความเชื่อของประเทศฝาน พระพุทธรูปหลั่งน้ำตา ใต้หล้าจะเศร้าโศก !
เขาสูดหายใจลึก แล้วหันหลังไปมองดูฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะชี้นิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้าจงดูนี่”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม ในใจพลางคิดว่าหากมิได้มีเลือดไหลออกมาจากดวงตานี้ เกรงว่าลานกว้างใหญ่นี้คงจะต้องกลายเป็นสถานที่นองเลือดแทนเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักนิสัยของสตรีผู้นั้นดียิ่ง
เขายังคงจำคำเอ่ยของนางที่เอ่ยออกมาว่า ข้ามิประสงค์จะออกไป ที่นี่…สะอาดกว่าข้างนอกเสียอีก !
นี่คือสิ่งที่นางกล่าวว่าสะอาดเยี่ยงนั้นหรือ ?
ชีวิตของผู้คนสี่พันคนถูกนางทำลายจนสิ้น หากมิใช่เพราะนกเหยี่ยวตงไห่ชิงส่งสารมาบอกล่วงหน้า บัณฑิตนับพันคนในที่นี้ก็คงจะมิเหลือรอดแม้แต่คนเดียว
ช่างบ้าคลั่งเสียจริง ๆ !
“คุณชายฟู่ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา “หากการเพาะปลูกคือเหตุ เช่นนั้นการเก็บเกี่ยวคือผล ทุกสิ่งอยู่ที่ใจ ! ”