ตอนที่ 357 นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร
รอยยิ้มได้ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของจัวตงหลาย
เขามองไปยังธูปดอกสูง มันเพิ่งจะติดไฟขึ้นมา ธูปก้านนี้ใช้เวลาเผาไหม้ถึง 1 ชั่วยาม นี่ก็เพื่อให้เหล่าบัณฑิตได้มีเวลาคิดอย่างเพียงพอ
เขาหันหน้าไปมองดูฟู่เสี่ยวกวน เขาคาดหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้จะต้องมีสีหน้าทุกระทม แต่คาดมิถึงเลยว่าจะเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้านั้น
คนผู้นี้…ยังยิ้มออกอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดังนั้นเขาจึงผุดรอยยิ้มออกมาบาง ๆ รอยยิ้มบาง ๆ นี้ได้ตกอยู่ในสายตาของคุณหนูถังซาน หลานสาวคนที่สามของถังจู้กั๋ว นางกำลังคิดว่าจัวตงหลายได้กำชัยชนะเอาไว้ในมือแล้ว
ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ?
เหตุผลก็คือน้อยครานักที่นางจะเห็นจัวตงหลายยิ้ม ต่อให้อยู่ต่อหน้าอู๋หลิงเอ๋อร์ เขาก็เพียงแค่ดูอ่อนโยนขึ้นมาบ้างเท่านั้น แต่ก็ยังคงยิ้มออกมาได้ยากยิ่งนัก
สำหรับจัวตงหลาย คุณหนูถังซานนั้นชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมทางด้านบู๊และด้านวรรณกรรมของสำนักศึกษาหลีชาน ทำงานอย่างมั่นคง นิ่งสงบเมื่อประสบภัย ชายหนุ่มผู้นี้ ย่อมเป็นคู่ครองที่ดีที่สุดสำหรับสตรีเยี่ยงนาง
นางมิเข้าใจว่าเหตุใดอู๋หลิงเอ๋อร์ถึงได้ชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวน ถึงแม้ชายหนุ่มผู้นั้นจะมีรูปลักษณ์ที่มิเลว แต่ก็เทียบกับจัวตงหลายมิได้เลยแม้แต่น้อย
หากกล่าวถึงด้านวรรณกรรม ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีชื่อเสียงใหญ่โตกว่า แต่เหตุผลนี้สำหรับคุณหนูถังซานแล้ว ก็เป็นเพราะความรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมของราชวงศ์หยูเท่านั้น พื้นดินที่นั่นเหมาะกับการเจริญเติบโตของนักวรรณกรรมมากกว่าก็เท่านั้น
แต่หากกล่าวถึงด้านวรยุทธ์แล้ว เกรงว่าสิบฟู่เสี่ยวกวนก็มิใช่คู่มือของจัวตงหลาย และทางราชวงศ์อู๋ สิ่งนี้ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญ !
นางคิดว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะอภิเสกสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนในฐานะองค์หญิงนั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งยามที่ทราบว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ปรี่ไปยังทางเดินฉีซาน เพราะหากอู๋หลิงเอ๋อร์ชอบพอฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาจริง ๆ ก็จะเป็นการตัดความรู้สึกของจัวตงหลายไปโดยปริยาย และตนเองก็จะได้มีความหวังมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นนางจึงคาดหวังให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นผู้ชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ แต่คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการ จนถึงขั้นมีข่าวลือว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทแพร่ออกไปในเมืองกวนหยุนที่ใหญ่โตนี้
นางได้ถามท่านปู่แล้ว แต่ถังจู้กั๋วกลับมิมีคำตอบที่ชัดเจนให้แก่นาง และคาดมิถึงว่าท่านปู่ของนางก็มิทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัดเช่นกัน กล่าวเพียงว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง
แต่ในวันนี้อู๋หลิงเอ๋อร์มิได้มา นี่ทำให้นางเชื่ออย่างสุดใจแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริง
นั่นย่อมมิใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่ !
เมื่อเป็นเยี่ยงนั้น เรื่องของอู๋หลิงเอ๋อร์และฟู่เสี่ยวกวนก็ไร้ความเป็นไปได้แล้ว เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางพอใจก็คือ ฝ่าบาทได้ถอนราชโองการฉบับนั้นไป เยี่ยงนั้นนางย่อมหวังให้จัวตงหลายสามารถคว้ารางวัลชนะมาได้
ส่วนเรื่องบุตรนอกสมรสของฝ่าบาท…อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังมิได้เป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋อย่างแท้จริง !
ดังนั้น สายตาของนางจึงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วหล้า ในขณะนี้กำลังคิดหนักอยู่หรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังยิ้ม และยิ้มสดใสเป็นอย่างมาก ส่วนฝานเทียนหนิงที่อยู่ข้างเขา นางได้ลอบคิดว่าชายผู้นี้มองดูแล้วมีบรรยากาศของความเศร้าแฝงอยู่แต่บางคราก็ดูมีความสุขยิ่ง
“พี่ฟู่ ข้ากล่าวตามตรง อย่างน้อยซั่งเหลียนแผ่นแรก ก็มิยุติธรรมต่อท่านแล้ว”
“น้องฝานเหตุใดจึงกล่าวเยี่ยงนั้น ? ”
ฝานเทียนหนิงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ครุ่นคิดอยู่ห้าอึดใจ “ท่านพี่ถามเยี่ยงนี้ข้าก็ยากที่จะตอบให้ได้ แต่ราชวงศ์หยูมิมีวัดแม้แต่อารามเดียว หรือว่าพี่ฟู่เคยได้ศึกษาพระไตรปิฎกมาก่อน… ? ”
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวบทสวดนั้นให้แก่คูฉาน จากนั้นก็ตกใจเสียจนผงะ แล้วยังกล่าวอีกว่า “ข้าหลงลืมไปแล้วอย่างแท้จริง ว่าท่านพี่นั้นมีความเข้าใจในรสพระธรรมอย่างลึกซึ้ง กล่าวได้ว่า ท่านพี่มีเซี่ยเหลียนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้มีเซี่ยเหลียนให้สองโคลงนี้แล้วจริง ๆ เพราะเขาเคยเห็นสองโคลงนี้มาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว !
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้จริง
“มีความคิดบางอย่างอยู่ในใจแล้ว”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน เป็นไปได้หรือไม่ที่ในหัวของเขาได้มีแสงพาดผ่านมาอีกคราแล้ว ?
ซูซูกินขนมปิ้งที่ซื้อมาจากเมืองกวนหยุน นางชำเลืองมองซั่งเหลียนสองแผ่นนั้นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก็มิได้สนใจอีกต่อไป ทั้งยังอ่านมิเข้าใจ เรื่องนี้มันมิได้เกี่ยวข้องกับนาง
ศิษย์พี่รองมิแม้แต่จะชำเลืองมองบทโคลงนั้นด้วยซ้ำ เขาจ้องขนมปิ้งในมือของซูซู แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ศิษย์น้องหก เมื่อยามอู่ศิษย์พี่รองทานมิอิ่มอย่างแท้จริง”
ซูซูยกแขนเสื้อของนางลงมาปิดขนมปิ้งในมือจนมิดทันที และเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย นางมองเกาหยวนหยวนด้วยหางตา “อย่าแม้แต่คิด ยังต้องอยู่ที่นี่อีกตลอดทั้งบ่าย มันคงจะน่าเบื่อยิ่งในตอนที่มิมีของกิน ท่านอาจารย์กล่าวว่าท่านต้องลดน้ำหนักได้แล้ว ! ”
“ท่านอาจารย์มิเคยกล่าวเยี่ยงนั้น ! ”
“ไม่ เมื่อวานที่ข้าฝัน ท่านอาจารย์กล่าวกับข้าเยี่ยงนี้ ! ”
“…..”
มีบัณฑิตบางคนนั่งลงกับพื้น และยื่นมือไปเขียนบนพื้น
บางคนก็ก้มหน้าเดินไปมาอยู่ในลานแห่งนี้ ในหัวครุ่นคิดถึงซั่งเหลียน ใคร่ครวญว่าจะแต่งเซี่ยเหลียนออกมาเยี่ยงไรดี
และก็มีบางคนที่ยังนิ่งเฉย เมื่อมองไปแล้วราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แต่แท้จริงแล้วกลับเข้าใจอย่างดีว่านี่มิใช่ทางของตนเอง
คิดมิออกเลย คิดให้หัวแตกก็มิมีประโยชน์ มิคิดเสียจะยังดีกว่า
ฟู่เสี่ยวกวนได้คิดเซี่ยเหลียนให้ซั่งเหลียนสองแผ่นนี้ได้ตั้งนานแล้ว เขาเงยหน้ามองก้านธูปนั้น ความยาวเหลือมิถึงจ้างแล้ว !
เขามิอยากรอแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับฉินเหวินเจ๋อและบัณฑิตราชวงศ์หยูคนอื่น ๆ ว่า “พวกเจ้าจงไตร่ตรองให้ดี อาจารย์ขอตัวไปต่อซั่งเหลียน 2 แผ่นนั้นก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงพาหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและซูซูเดินออกไปทั้งอย่างนั้น และทิ้งลูกศิษย์นับร้อยเอาไว้ พวกเขาต่างก็มองหน้ากันไปมา
“อาจารย์หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“เจ้าหูหนวกเยี่ยงนั้นหรือ ? อาจารย์กล่าวว่าจะไปตอบแล้ว ! ”
“เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ ? …เยี่ยงนั้นคำว่าเซียงเหว่ยหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“เจ้าโง่ ! เจ้าเข้าใจว่าเป็นธิดาบุปผาก็ได้แล้ว …มิใช่ พวกเจ้าว่าอาจารย์คิดเซี่ยเหลียนออกมาได้ในเวลาสั้น ๆ จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“บัดซบ ! เจ้าก็ถามโง่ ๆ อาจารย์คือผู้ใดกัน เซียนที่ประพันธ์บทกวีได้ภายในสามก้าว กับตุ้ยเหลียนนี้ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง”
“พวกเจ้ายังมิเข้าใจอาจารย์อย่างถ่องแท้ ที่ซ่างหลินโจวหลินเจียงได้เกิดบางอย่างขึ้น องค์หญิงเก้าเคยได้ออกซั่งเหลียนให้แก่เยี่ยนซีเหวิน เยี่ยนซีเหวินคิดไปสามวันสามคืนก็คิดมิออก ต่อจากนั้นเขาได้นำซั่งเหลียนนี้ไปแขวนไว้ที่ศาลาหลานถิง และวางเงินไว้ถึง 2,000 ตำลึงเพื่อให้ต่อเซี่ยเหลียน พวกเจ้าก็น่าจะทราบกันดี หลังจากนั้นองค์หญิงเก้าและคุณหนูต่งก็ได้ไปเยือน และคว้าเงินของเยี่ยนซีเหวินไปถึง 4,000 ตำลึง”
“มิถูก ซั่งเหลียนเพียงหนึ่งบท มิใช่กล่าวว่า 2,000 ตำลึงเพื่อขอเซี่ยเหลียนหรือ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็น 4,000 ตำลึงกันเล่า ? ”
“เจ้าเป็นคนโง่หรือเยี่ยงไร เขาได้ประพันธ์เซี่ยเหลียนออกมาสี่วรรค กล่าวไปก็คืออาจารย์ได้ประพันธ์ออกมา เมื่อรวมเข้ากับเซี่ยเหลียนดั้งเดิมแล้ว กล่าวได้อีกนัยคือซั่งเหลียนวรรคนั้น อาจารย์ได้ประพันธ์เซี่ยเหลียนออกมาถึงห้าวรรค เข้าใจแล้วหรือไม่ ! ”
“ไอหยา…” ลูกศิษย์หลายคนที่มิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนต่างก็ถึงกับหยุดหายใจ คาดมิถึงว่าอาจารย์จะประพันธ์ตุ้ยเหลียนได้น่ากลัวถึงเพียงนี้
ฝานเทียนหนิงที่ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง
ให้ตายเถอะฟู่เสี่ยวกวนจะมิมีจุดอ่อนเลยหรือเยี่ยงไร ?
เมื่อครู่เขายังกล่าวอยู่เลยว่ามีความคิดบางอย่าง คิดยังมิทันถึงสิบอึดใจเสียด้วยซ้ำ เขากลับจะไปตอบคำถามแล้ว เมื่อครุ่นคิดถึงคำกล่าวที่เหล่าลูกศิษย์ของเขาได้กล่าวมาเมื่อครู่ โคลงกลอนของเขาต้องยอดเยี่ยมมากเป็นแน่
ฝานเทียนหนิงรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ายิ่ง แต่คูฉานกลับกล่าวว่า “ท่านได้หลงลืมความตั้งใจไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ใช่ ข้ามาเพื่อเป็นปลาเค็ม1 !
ฟู่เสี่ยวกวนท่ามกลางสายตาของผู้คนในที่นั้น ได้พาสาวงามล่มบ้านล่มเมืองมาด้วยถึง 3 คน และเดินไปยังโต๊ะอักษรด้วยท่าทางอวดเบ่ง
ต่งชูหลานฝนหมึก ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันขึ้นมา
เหวินสิงโจวและถังจู้กั๋วที่ยืนอยู่บนเวทีและยังมิได้ไปไหนต่างก็ตกตะลึงทันพลัน คนผู้นี้ต้องการทำอันใดกัน ?
บัณฑิตทุกคนที่อยู่ในลานต่างก็หันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน รอยยิ้มบนใบหน้าของจัวตงหลายค่อย ๆ หายไป และดำดิ่งอยู่ในใจ พลางขมวดคิ้วมุ่น “เขาหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
1 ปลาเค็ม หมายถึงคนไร้ความฝัน ไม่ได้คาดหวังชัยชนะ