บัดนี้ยังคงเป็นยามเช้าตรู่
ฟู่เสี่ยวกวนได้ตอบทั้งสามหัวข้อแห่งการแข่งขันในงานชุมนุมวรรณกรรมเสร็จสิ้นแล้ว ทว่าวันนี้การประชุมช่วงเช้า ณ พระราชวังจวี้หัวยังมิแล้วเสร็จ
การประชุม ณ พระราชวังจวี้หัวนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด
จักรพรรดิเหวินมิได้นั่งลงเหมือนคราอื่น ๆ แต่พระองค์ทรงยืนอยู่บนแท่นมังกรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วทรงตรัสอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“อู๋กานได้เข้ามามีอำนาจในตำหนักตงกงตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่หก บัดนี้ได้ผ่านไปเป็นเวลา 4ปีแล้ว ภายในระยะเวลาสี่ปีนี้ พวกเราเองก็ทุ่มประคับประคองแล้วจนสุดกำลัง ด้านวรรณกรรมมีเหวินสิงโจวคอยเป็นอาจารย์ส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท ส่วนด้านวรยุทธ์นั้นมีเป่ยหวังฉวนคอยทุ่มกำลังฝึกฝนให้ แต่บัดนี้สภาพเขาเป็นเยี่ยงไร ? ”
“ด้านวรรณกรรมแม้ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังอธิบายความหมายออกมามิได้ ส่วนด้านวรยุทธ์ก็เพิ่งจะบรรลุเป็นผู้มีฝีมือระดับสามเมื่อปีกลายนี้เอง ! ”
“นี่คือองค์รัชทายาทที่พวกเจ้าได้เสนอชื่อให้แก่ข้า ! ”
“เป็นองค์รัชทายาทที่วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ที่หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่ สนอกสนใจแต่นางคณิกาพวกนั้น”
“จิตใจของเขามิมีคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดิเลยเยี่ยงนั้น แม้แต่ครึ่งเดียวก็มิมีเยี่ยงนั้นหรือ ? จิตใจของเขานั้นมิคิดที่ช่วยแบ่งเบาความกลัดกลุ้มของเสด็จพ่อสักครึ่งเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จักรพรรดิเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วทอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางที่สวมหมวกดำทั้งห้องโถงและได้นั่งอยู่เบื้องล่าง แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง “เขา…เขานอกจากกิน ดื่ม เที่ยวเสเพลไปวัน ๆ ก็ทำสิ่งอื่นใดมิได้ทั้งสิ้น ! ”
“ปีนี้อายุ 14 ปีแล้ว ยังคงมิได้เรื่องเยี่ยงนี้ ข้า…ผิดหวังมากยิ่งนัก ข้านึกตรึกตรองอยู่ทุกคืนวัน หากข้าส่งมอบจักรพรรดิผู้มัวแต่เพ้อฝันและไร้ความสามารถเช่นนี้ให้กับเหล่าขุนนาง ในอนาคตราชวงศ์อู๋จะแปรเปลี่ยนไปเป็นเยี่ยงไรกัน ? ”
“บัดนี้ตราบาปของเซียวเฉียงนั้นเป็นที่ชัดเจนแล้ว พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งวันหานหลิงนั้น ได้มีร่างไร้ลมหายใจของผู้ที่ก่อกบฏถึง 4,000 คน ! ”
“เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิแยแสชีวิตของราษฎร นี่ช่างบ้าคลั่งมากยิ่งนัก ! ”
“มีมารดาเยี่ยงนี้ พวกเจ้าคิดว่าบุตรชายจะดีเลิศเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เช่นนั้นแล้ว ข้าตั้งใจที่จะกำจัดองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันนั้นให้พ้นทางเสีย ! ”
เหล่าขุนนางด้านล่างต่างเงียบกริบจนถึงขั้นได้ยินเสียงเข็มหล่นกระทบพื้น สีหน้าของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั้นได้เปลี่ยนไปเป็นมิสู้ดีเท่าใดนัก
กำจัดองค์รัชทายาทเยี่ยงนั้นหรือ !
อ๋องได้สิ้นพระชนม์แล้ว บัดนี้ฝ่าบาททรงมีแค่พระราชธิดาอู๋จ้าวเพียงพระองค์เดียว หากสูญเสียองค์รัชทายาทพระองค์นี้ไปเสีย…หรือว่าพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะมอบราชสมบัตินี้ให้กับโอรสนอกสมรสของพระองค์เยี่ยงนั้นหรือ ?
จัวอี้สิงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ก้าวเดินมาด้านหน้า
สองมือของเขาคารวะต่อองค์ฝ่าบาท จากนั้นจึงเอ่ยความอย่างช้า ๆ “กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทควรตรึกตรองให้ถี่ถ้วนอีกสักคราเสียจะดีกว่า”
“ข้าได้ตรึกตรองมานับสิบคราแล้ว ! ”
“ขอองค์ฝ่าบาททรงระงับความโกรธแล้วฟังกระหม่อมด้วยเถิด”
จัวอี้สิงเงยหน้าขึ้นมามองจักรพรรดิเหวิน จากนั้นจึงได้เอ่ยกล่าว “องค์รัชทายาทนั้นมีอายุเพียง 14 พรรษา ยังเหลือเวลาอีก 6 ปี หากลองย้อนถามตนเอง มีชายหนุ่มผู้ใดบ้างเล่าที่มิเพ้อฝัน ? ”
แล้วเขาก็ได้หันหน้าไปหาเหล่าขุนนาง “ตอนเป็นหนุ่ม พวกเราล้วนเคยเสเพลมาก่อน ทว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทนั้นทรงกระทำถือว่าเลยเถิดเกินที่จะรับไว้ได้หรือไม่ ก็มิใช่…กระหม่อมเล็งเห็นว่านี่มิใช่แค่มิเกินเลย แต่นั่นเป็นภาพลักษณ์ของพระองค์ที่คนหมู่มากได้มองมาก็เพียงเท่านั้น”
จากนั้นเขาก็ได้หันหน้าไปหาจักรพรรดิเหวินอีกครา “ตราบาปของจักรพรรดินีเซียวนั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับองค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าแม้พระองค์จะทรงอาฆาตจักรพรรดินีเซียวนั้นจนแทบจะอยากจับมาหั่นเป็นชิ้น ๆ เเต่พระองค์ก็มิควรที่จะนำความพยาบาทไปลงกับองค์รัชทายาทเช่นกัน โบราณกล่าวไว้ว่าโกรธเคืองผู้ใดก็อย่าได้นำครอบครัวของเขาไปเกี่ยวข้อง กระหม่อมกล้าเอ่ยอย่างหาญกล้าว่า ณ ท้องพระโรงแห่งนี้ย่อมมีผู้ที่มีความขุ่นหมองกันแต่มิได้นำไปกล่าวโทษบุตรหลานของคู่กรณี”
“กระหม่อมจำได้ดิบดีว่าเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สอง ฝ่าบาทได้ทรงยกเลิกกฎหมายประหารเก้าชั่วโคตรด้วยตัวพระองค์เอง ทว่าเมื่อถึงคราขององค์รัชทายาท เหตุใดพระองค์ถึงต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดกัน ? ”
จัวอี้สิงโค้งคำนับจนตัวแทบจะจรดกับพื้น จากนั้นจึงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เพื่อสันติสุขแห่งราชวงศ์อู๋ กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะทรงเพิกถอนคำบัญชา ! ”
เมื่อคำเอ่ยนั้นได้หลุดออกมาจากปากของเขา เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังของจัวอีสิงก็ได้เอ่ยพร้อมกันจนเสียงดังกึกก้อง “ขอองค์ฝ่าบาททรงเพิกถอนคำบัญชาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
จักรพรรดิเหวินทรงกริ้วเสียจนใบหน้าแดงก่ำ พระองค์ทรงกัดฟันตะโกนด้วยความพิโรธ “โอรสพระองค์นี้มันมิได้เรื่อง พวกเจ้าต้องการปรารถนาจะฝังข้าที่สุสานราชวงศ์อู๋ที่ภูเขาเจียงซานหรือเยี่ยงไร ? ”
จัวอีสิงยืนตัวตรงตระหง่านแล้วจ้องมองไปยังจักรพรรดิเหวินอย่างมิลดละเช่นกัน “กระหม่อมกราบขอให้ฝ่าบาททรงพิจารณาอีกครา เมื่อคราที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุได้ 14 พรรษาพระองค์ได้กลายเป็นความหวังของราชวงศ์แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? กระหม่อมจำได้แม่นยำว่าพระองค์ทรงเสวยราชสมบัติเมื่อพระชนมายุได้ 20 พรรษา เมื่อครบ 25 พรรษาถึงฝึกบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง บัดนี้องค์รัชทายาทยังเหลือเวลาอีกตั้ง 11 ปี ฝ่าบาททรงเอาสิ่งใดมาตัดสินว่าภายใน 11 ปีนี้องค์รัชทายาทจะมิเปลี่ยนแปลงตนเอง ? ”
“ท่านมันเป็นตาแก่จอมทึ่มจะไปรู้เรื่องอันใด เขาเป็นลูกชายแท้ ๆ ของข้า ดั่งที่กล่าวขานกันว่ามิมีผู้ใดรู้จักลูกได้ดีเช่นพ่อเขาเอง ข้าใช้เวลา 4 ปีจับตาเฝ้ามองดูเขามาโดยตลอด ข้าดูออกว่าเขาเป็นคนที่มิได้เรื่องได้ความอันใดอย่างแท้จริง ! ”
“สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสนั้นแฝงไปด้วยอคติ อีกทั้งยังมีโอรสพระองค์ที่กลับคืนมาเพื่อหวังสมบัติที่ยังมิถูกกล่าวถึงอีกด้วย และทุกวันนี้องค์รัชทายาทได้ทรงกระทำสิ่งใดที่ผิดบาปมหันต์เยี่ยงนั้นหรือ ก็มิมีเลย ฝ่าบาทรงคิดการใดอยู่ทั้งราชวงศ์อู๋ต่างก็ล่วงรู้ กราบขออภัยโทษที่กระหม่อมจำต้องกล่าววาจาที่มิน่าฟัง ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสในพระองค์ แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นโอรสนอกสมรส ต่อให้ชื่อของเขาได้ถูกสลักบนสมุดปกทอง เขาก็ไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ ! ”
คำเอ่ยนั้นดังกึกก้องทั่วทั้งท้องพระโรง !
พระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินนั้นชาวาบราวกับโดนแช่แข็ง
พระองค์ทรงจ้องมองจัวอีสิงด้วยความไม่สบอารมณ์ ทว่าจัวอีสิงก็มิยอมลดละเช่นกัน
เวลานี้ตกเข้าสู่สภาวะเงียบงันอีกครา ราวกับมีเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว
จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลอย่างเย็นยะเยือก “สิ่งที่คนดื้อด้านเช่นท่านเอ่ยมานั้นมิผิดเพี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนก็คือโอรสนอกสมรสของข้า ! ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่าขุนนางที่ก้มหัวให้อยู่นั้นต่างก็แหงนหน้าขึ้นมามองพระองค์ในทันใด
เรื่องสถานะของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ถูกเอ่ยถึงกันอย่างแพร่หลายในอาณาเขตของราชวงศ์อู๋ แต่ทว่าฝ่าบาทยังมิทรงประกาศอย่างเป็นทางการเลยสักคราภายในราชสำนักของราชวงศ์อู๋
แต่วันนี้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กำจัดองค์รัชทายาทกะทันหัน นี่ก็เป็นสัญญาณที่จัดเจนอยู่แล้วว่าการกระทำนี่หมายถึงสิ่งใด เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายก็เริ่มมั่นใจได้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นคือโอรสในฝ่าบาท ทว่าเมื่อครู่ฝ่าบาททรงตรัสด้วยพระองค์เองทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงและยังคงยากที่จะเชื่อว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นจริง
“ข้าขอบอกพวกเจ้าอย่างมิมีปิดบัง วันบวงสรวงสู่สวรรค์ที่เก้าค่ำเดือนสี่นี้ ข้าได้จัดเตรียมคณะดาราศาสตร์ แล้วข้าจะนำฟู่เสี่ยวกวนไปร่วมขบวนครานี้เช่นกัน”
“เห้อ… ! ” เหล่าขุนนางได้ถอนหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่ามีเพียงสามคนเท่านั้นที่มีท่าทีเรียบเฉยมาโดยตลอด
พวกเขาคืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ ผู้คุมสำนักดาราศาตสตร์หลู่ฉุนเฟิง และผู้คุมหอเทียนจีโจวถงถง
จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลอย่างเย้ยหยัน พระองค์ยังทรงจ้องไปยังจัวอี้สิงอย่างมิละสายตาตามเดิม จากนั้นทรงตรัสเสริม “เมื่อวันบวงสรวงสู่สวรรค์ได้จบสิ้นลง ค่ำที่สิบห้าเดือนสี่เป็นฤกษ์งามยามดี ข้าจะนำฟู่เสี่ยวกวนเข้าวัดไท่เมี่ยวเพื่อไหว้บรรพบุรุษแล้วสลักชื่อเขาไว้บนสมุดปกทอง หลังจากนั้นเขาก็จะมีนามว่าอู๋เสี่ยวกวน ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากจะบอกกับท่าน ข้าจะย้ายหลุมฝังศพของสวี่หยุนชิงมายังสุสานราชวงศ์ที่จิ่วกงซาน และจัดพิธีกรรมที่วัดไท่เมี่ยวให้สมพระเกียรติแล้วจากนั้นก็จะสร้างสุสานไทเฮาให้กับนาง ! ”
จัวอีสิงใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันใด เขาล้มคุกเข่าลงกับพื้นแล้วฟุบหน้าผากลงไปบนพื้นเช่นกัน
“ฝ่าบาทได้โปรด อย่าทรงกระทำเยี่ยงนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ในใจของข้านั้นมีเพียงสวี่หยุนชิง และองค์รัชทายาทหนึ่งเดียวก็คืออู๋เสี่ยวกวน พวกท่านอย่าแม้แต่จะคิดว่าเรื่องที่พวกเจ้าวางแผนลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะมิเข้าถึงหูข้า ข้าเห็นแก่คุณประโยชน์ที่พวกท่านสร้างให้แก่ราชวงศ์อู๋ตลอดมาเลยมิได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดเล็กคิดน้อย แต่พวกท่าน…ท่านกลับได้คืบจะเอาศอกเยี่ยงนั้นหรือ ! ”
“ฝ่าบาทแม้ว่าพระองค์และสวี่หยุนชิงจะทรงมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่ที่สุดแล้วสวี่หยุนชิงก็ได้สมรสกับฟู่ต้ากวน หากจัดพิธีที่วัดไท่เมี่ยวให้กับนาง จากนั้นได้ฝังนางไว้ในสุสานไทเฮา สองสิ่งนี้นับว่าผิดธรรมเนียมของราชวงศ์อู๋เป็นอย่างมาก แล้วพระเกียรติของบรรพบุรุษองค์ก่อน ๆ เล่าจะเป็นเยี่ยงไร ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสในพระองค์จริงแท้หรือไม่นั้นก็ไร้ซึ่งบทพิสูจน์ บันทึกประจำวันทั้งสามปีนั้นก็ได้สูญหายไป เช่นนี้ไซร้จะพิสูจน์ได้เยี่ยงไรว่าเขาคือโอรสของพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์จะทรงทำเยี่ยงไรให้ผู้มีความสามารถเชื่อถือ ? จะทำเยี่ยงไรให้พสกนิกรทั่วหล้าแห่งราชวงศ์อู๋เชื่อถือได้พ่ะย่ะค่ะ ? ”
เหล่าขุนนางที่คุกเข่าเหล่านั้นได้ร้องขออย่างพร้อมเพรียงกันอีกครา “ฝ่าบาทความจริงใจของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวานั้นฟ้าดินเป็นพยานได้ ขอฝ่าบาททรงเพิกถอนคำบัญชาด้วยเถิด ! ”
ในเวลานั้นเอง ประตูด้านข้างของพระราชวังจวี้หัวก็ได้มีเสียงแหลมดังขึ้นมา “องค์ไทเฮาเสด็จ ! ”