ตอนที่ 381 คลั่งไคล้องค์ชายใหญ่
ราตรีนี้ทะเลสาบสือหลี่มิได้หลับใหล !
ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ไปปรากฏตัวที่หลิวหยุนถายอยู่ดี แม้ว่าจะทำให้เหล่าบัณฑิตและราษฎรทั้งหลายต่างผิดหวัง แต่ความผิดหวังนี้กลับมิได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของพวกเขาได้
เมื่อลำดับผลคะแนนของการแข่งขันวันที่สองถูกประกาศขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นผู้ที่คว้าชัยชนะมาครองได้ตามเดิม ความรู้สึกของฝูงชนกลับมาฮึกเหิมอย่างบ้าคลั่งอีกครา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บทประพันธ์ทั้งห้าของเขาถูกแขวนลงมาจากหอคอยหลิวหยุนทีละบท เหล่าปัญญาชนต่างรู้สึกตกตะลึงกับฝีมือการประพันธ์ของเขา ส่วนบรรดาโฉมงามทั้งหลายก็ถูกบทประพันธ์อันไพเราะนี้สะกดให้หลงใหล
ต้องมีพรสวรรค์ชั้นใดกันถึงสามารถประพันธ์บทกวีที่วิจิตรบรรจงเช่นนี้ออกมาได้ ?
บทประพันธ์ที่มีชื่อว่า “เหมยหนึ่งกิ่ง ปิดประตูมิดฟังเสียงฝนกระทบดอกสาลี่”
ปิดประตูมิดฟังเสียงฝนกระทบดอกสาลี่
เช่นวัยหนุ่มอันผิดหวังและอ้างว้าง
หากมีสุขมีใครเล่าคอยแบ่งปัน
ดอกไม้ร่วงจันทราลับช่างเศร้าโศกและมืดมน
ทุกคืนวันกลัดกลุ้มจนคิ้วโก่งดั่งยอดเขา
คราบน้ำตาหมื่นพันหยดบนใบหน้า
เฝ้ามองนภายามเช้าตรู่จนพลบค่ำ
จะเดินจะนั่งก็คิดถึงแต่เพียงเจ้า
และนี่คือบทประพันธ์ที่ใช้บรรยายภาพของสวนดอกสาลี่ บทประพันธ์นี้ได้บรรยายมโนภาพออกมาได้มีชีวิตชีวาเสมือนจริงมากยิ่งนัก !
นั่นเป็นความทุกข์ทรมานจากการคิดถึงคนไกล ท่อนบนและท่อนล่างเกื้อหนุนกัน จงใจประพันธ์ให้วกไปวนมาเพื่อที่จะให้สะท้านภาพความคิดถึงของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่มผ่านปลายพู่กันออกมาได้อย่างเด่นชัด มีชีวิตชีวาโลดแล่นอยู่บนผืนกระดาษ
“จะเดินหรือจะนั่งก็คิดถึงเพียงแต่เจ้า…ประโยคนี้ช่างไพเราะมากยิ่งนัก วันนี้ได้อ่านบทประพันธ์ที่งดงามเช่นนี้ ต่อให้ตายไปก็มิเสียดายชีวิต ! ”
“ช่างน่าประทับใจมากยิ่งนัก หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเศร้าโศกเพราะความรักกัน ? ”
“ข้าจะไปหาฟู่เสี่ยวกวน ข้าคิดถึงเขา พวกเจ้าอย่าได้รั้งข้าไว้ ! ”
“มิใช่เสียหน่อย เจ้ารอชมบทประพันธ์อื่น ๆ เสียก่อนเถิด ! ”
“……”
ณ หอคอยหลิวหยุน
ไทเฮาได้เสด็จดำเนินกลับไปด้านหน้าของโต๊ะดื่มชา พระนางทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมาทอดพระเนตรจักรพรรดิเหวิน ที่บัดนี้กำลังดื่มด่ำอรรถรสในบทกวี
บทประพันธ์นี้ราวกับถูกประพันธ์ให้พระองค์โดยเฉพาะ แม้ว่าพระองค์จะเคยทอดพระเนตรมาแล้วก็ตาม !
ราวกับว่าพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นสวี่หยุนชิงนางผู้เป็นที่รักกำลังคะนึงถึงพระองค์ และในภาพนั้นนางช่างมีชีวิตชีวามากยิ่งนัก !
สตรีผู้อ่อนโยนและมากความสามารถผู้นั้นเป็นผู้ที่หนักแน่นในความรักเช่นกัน นางได้สละชีวิตวัยสาวให้กับข้า เมื่อความสัมพันธ์ได้ขาดลง ท้ายที่สุดฟ้าดินก็ได้พรากพวกเราจากกันไปตลอดกาล มิมีอีกแล้วภาพที่สองเราได้นั่งลงมองเมฆลอยพลิ้ว มิมีอีกแล้วภาพที่สองเราได้ดื่มชาดอกสาลี่แล้วมีความสุขกันตามประสาคนรัก
พระองค์ได้พับบทประพันธ์นี้เก็บไว้ มิกล้าที่จะกลับไปอ่านบทประพันธ์นั่นอีกครา แล้วได้สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วทรงรับสั่งหนานกงอี้หยู่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รุ่งเช้าหลังจากประชุมราชสำนัก เจ้าจงนำตัวฟู่เสี่ยวกวนมาพบข้า”
……
เบื้องล่างของหอคอยหลิวหยุน
เมื่อบทประพันธ์ทั้งห้าของฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกจัดแสดงจนครบ ฝูงชนก็ต่างลุกฮือดั่งคลื่นพายุที่ซัดถาโถมชายฝั่ง
“แม่เจ้าโว้ย…นี่มันเทพเหวินฉวี่ลงมาจุติชัด ๆ ! ”
“ไอ้หน้าไหนที่กล่าวหาว่าเขาเป็นเจียงหลางผู้ไร้สิ้นความสามารถที่วัดหานหลิง ช่างน่าตลกสิ้นดี พวกเจ้ามิรู้เสียด้วยซ้ำว่าสิ่งใดคือความสามารถ ข้าจะบอกให้… ! ”
ฉินเหวินเจ๋อบัดนี้ได้ตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เขาได้หันหน้าไปหาเหล่าบัณฑิต จากนั้นก็ได้อ้าแขนกว้างแล้วแผดเสียงคำรามลั่น “ศิษย์ที่กตัญญูต่ออาจารย์ย่อมรอบรู้วิชา เดินเพียงสามก้าวก็สามารถประพันธ์กวีอันไพเราะออกมาได้ แต่พวกเจ้า พวกมิได้เรื่องทั้งหลาย พวกเจ้ากลับหมิ่นประมาท ดูถูกและทำให้เขามีมลทิน อาจารย์มีศีลธรรมอันดีงาม แต่พวกเจ้ามันมิใช่ มิมีศีลธรรมอันใดทั้งสิ้น”
เหล่าฝูงชนที่เดิมทีตื่นเต้นฮึกเหิมกลับเงียบลงในบันดล มิมีปัญญาชนคนใดออกมาโต้แย้ง เพราะนี่คือเรื่องจริงทุกประการ จะโต้แย้งได้เยี่ยงไร ในเมื่อถ้อยคำสบประมาทที่ตนได้เอ่ยไปทั้งหมดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู และบทประพันธ์เหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ถูกแขวนอยู่ ณ ที่แห่งนี้
หากฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ผู้ที่มีความสามารถขึ้นมาเสียจริง ๆ เช่นนั้นผู้ใดเล่าที่จะประพันธ์บทวีที่งดงามเยี่ยงนี้ออกมาได้ ?
ดังนั้นเหล่าบัณฑิตต่างรู้สึกละอายแก่ใจมากยิ่งนัก แม้ว่าเหล่าบัณฑิตจากแคว้นอี๋หรือแคว้นฮวงจะจงเกลียดจงชังฟู่เสี่ยวกวนมากเพียงใด แต่ก็ยังคงก้มหัวยอมรับนับถือความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน
ผ่านไปเพียงครู่เดียว หนึ่งในบัณฑิตแห่งแคว้นอู๋ได้เอ่ยออกมาเงียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงเคารพนับถือ “ฟู่เสี่ยวกวน…บัดนี้เขาเป็นองค์ชายใหญ่ของราชวงศ์เราแล้ว”
เหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ต่างผงะ ใช่…เขาเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ของข้าแล้ว เจ้ามันเป็นคนในราชวงศ์หยูจะโหวกเหวกหาพระแสงอะไรกัน ?
จากนั้นจึงมีบัณฑิตจากแคว้นอู๋แผดเสียงดังลั่น “องค์ชายใหญ่ผู้เกรียงไกร ! ”
“ขอองค์ชายใหญ่ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี ! ”
“ตั้งแต่นี้สืบไปจงเฝ้ารอวันที่วรรณกรรมรุ่งโรจน์ขึ้นบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ ! ”
“พวกข้าจะเขียนหนังสือวิงวอนต่อองค์จักรพรรดิ ให้พระองค์ทรงสถาปนาองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาท พวกข้าจะอยู่ในโอวาทขององค์รัชทายาท ! ”
เสียงของผู้คนดังอึกทึก ราวกับกำลังบ้าคลั่ง
ผู้คนบนหอคอยหลิวหยุนต่างหลุดยิ้มออกมา แม้ว่าตัวฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิมา แต่ชื่อเสียงเลื่องระบือของเขาได้เอาชนะผู้คนหมู่มากได้สำเร็จ !
หนานกงตงเซวี๋ยยิ้มร่าออกมาเป็นระลอก ๆ หวนนึกถึงฉากที่นางได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่สวนสาลี่ที่ตำหนักหยุนชิงเป็นคราแรก
ตอนนั้นเขาดูเป็นเด็กหนุ่มแสนบริสุทธิ์
ใบหน้าของเขาเปล่งประกายเจิดจรัส
เขาได้นั่งลงสนทนากับไทเฮาด้วยท่าทีที่สบาย ๆ อีกทั้งยังเอ่ยถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อปลอบประโลมให้พระองค์ทรงปล่อยวาง
เขาเอ่ยด้วยท่าทางที่แสนสง่างาม และท่าทางที่ดูกว้างขวางมากยิ่งนัก
เขาเคยเอ่ยไว้ว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น และประสงค์ที่จะมีชีวิตในแบบที่ตนเองปรารถนา
เขายังเอ่ยอีกว่าต่างคนต่างมีเป้าหมาย เขาไร้ซึ่งความทะเยอทะยานใด และประสงค์ที่จะเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินที่ใช้ชีวิตสุขสำราญไปวัน ๆ
ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ที่แสนเกรียงไกร มินานนับจากนี้ ชื่อของเขาก็จะถูกสลักลงบนสมุดปกทองของราชวงศ์ แล้วก็นับวันรอที่จะเข้ามามีบทบาทในพระราชตำหนักบูรพา
เช่นนั้น…เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เขายังจะสามารถเป็นเศรษฐีที่ดินที่ใช้เวลาสุขสำราญไปวัน ๆ ได้อยู่อีกหรือไม่ ?
หนานกงตงเซวี๋ยตรากตรำอ่านตำราเซิ่งเซียนมาตั้งแต่เยาว์วัย นางมักจะติดตามไทเฮาอยู่บ่อยครา นางรู้ชัดแจ่มแจ้งในทุกเรื่องภายในพระราชวัง
หากจะเป็นจักรพรรดิที่ประชาชนเคารพนับถือนั้น มิใช่เรื่องที่ง่ายดาย เกรงว่าชีวิตในอุดมคติของเขานั้นคงจะต้องจบสิ้นเพียงเท่านี้แล้ว
จากนั้นผลของการแข่งขันวันที่สามก็ถูกปล่อยออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมได้เป็นลำดับที่หนึ่งอย่างมิต้องสงสัย !
เมื่อบทความเรือนซอมซ่อนั้นได้ปรากฏขึ้นมาเป็นประจักษ์ต่อสายตาของฝูงชน ทั้งหลิวหยุนถายก็ได้เงียบงันไร้ซึ่งซุ่มเสียงใด
ทุกคนต่างมองไปที่บทความนี้ จากนั้นได้ดำดิ่งไปสู่ถ้อยคำอันแสนไพเราะที่เขาได้ประพันธ์ขึ้นมา
บทความเรือนซอมซ่อที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ออกมานั้นแม้ว่าจะมิยืดยาว แต่ความหมายกลับลึกซึ้งมากยิ่งนัก แม้ว่าภาษาจะมิได้ลึกซึ้งแต่ก็กินใจเสียเหลือเกิน !
จารึกบทนี้มีตัวอักขระมิถึงหนึ่งร้อยตัวอักขระด้วยซ้ำ แต่กลับแสดงออกถึงความคิดอันสูงส่งของฟู่เสี่ยวกวนได้
บ้านน้อยแสนซ่อมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ
เสียงสนทนาดั่งผู้รู้ ผู้สัญจรไร้คนเขลา
ไร้เสียงปี่กลองระคายหู ไร้เสียงหนังสือราชการหนักสมอง
เพราะฟู่เสี่ยวกวนโปรดปรานความสงบ คืนนี้เขาก็เลยมิได้มา !
เมื่อเหล่าปัญญาชนได้เห็นบทความนี้ก็ได้รู้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนเยี่ยงไร คนที่ต่อว่าเขาว่าเหตุใดถึงมิมาร่วมงานสำคัญเช่นนี้ บัดนี้ก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าชื่อเสียงและเกียรติยศมิได้มีค่าอันใดกับฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย
เขาหลุดพ้นจากทางโลกแล้ว เหตุนี้จึงได้ประพันธ์ตุ้ยเหลียนดั่งเช่น ‘เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน’ ยอดเยี่ยมยิ่ง !
เพราะมีอุดมคติที่คนทั่วไปยากแท้จะหยั่งถึง เขาถึงได้ประพันธ์ “หันหน้าไปมองทางสายฝนที่เดินผ่านมา จงกลับไปเถิด หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมย่อมไร้แสงสุริยา” ที่มิมีใครเหมือนเช่นนี้
เพราะเขาเข้าใจถึงความหมายของความรักที่แท้จริง จึงได้มี “เฝ้ามองนภายามเช้าตรู่จนพลบค่ำ จะเดินจะนั่งก็คิดถึงแต่เพียงเจ้า”
ในขณะนั้นเอง บทความเรือนซอมซ่อบทนี้ก็ได้ถูกคัดลอกแล้วส่งไปยังชั้นห้าของหอคอยหลิวหยุน
เมื่อไทเฮาทรงทอดพระเนตรแล้ว พระนางก็ได้แย้มพระสรวลอย่างเรียบเฉยจากนั้นทรงส่งให้กับจักรพรรดิเหวิน
“เจ้าคนนี้ช่างบริสุทธิ์และละเอียดอ่อนเสียจริง ฝ่าบาทจะต้องตั้งใจอบรมบ่มเพาะเขา ความขี้เกียจและรักสบายของเขานั้นดูท่าจะเป็นเรื่องจริง นิสัยเช่นนี้จะต้องค่อย ๆ แก้ไขอย่างค่อยเป็นค่อยไป”
จักรพรรดิเหวินทรงเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันกับไทเฮา