ตอนที่ 388 เขาเป็นผู้ชายของข้า
ช่วงพลบค่ำของเดือนเจ็ดความร้อนระอุจากรังสีของแสงสุริยายังคงแผดเผา
หยุนเหนียงได้ต้มชาสะระแหน่เพื่อดับกระหายแล้ววางไว้บนโต๊ะในกระท่อมหลังคามุงจาก
นางนั่งอยู่ตรงธรณีประตู ใบหน้าของนางนั้นเปื้อนยิ้มและในมือของนางนั้นกำลังแกว่งพัดสานไปมาเพื่อพัดพาความเย็นเข้าตนเอง
นางทอดสายตามองไปยังแปลงนาที่มิไกลมากนัก ตรงนั้นมีชายหนุ่มสวมหมวกฟางกำลังรดน้ำให้เมล็ดพันธุ์พืช
ชายหนุ่มผู้นี้ดูเป็นการเป็นงานใช้ได้ เขาได้มาอยู่ที่หมู่บ้านหลินเจียจนถึงบัดนี้ก็ล่วงเข้าเดือนที่สามแล้ว
ดูแล้วก็เหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างสำอางยิ่งแต่ก็ยังดูแข็งแรงมีพละกำลังดี อีกทั้งยังช่ำชองในงานเกษตรและยังสามารถอ่านออกเขียนได้ เลยได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาประจำหมู่บ้านหลินเจีย
แต่สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ ชายที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้กลับมิใช่ของนาง
ปีนี้หยุนเหนียงอายุครบ 26 ปีบริบูรณ์ เดิมทีนางเคยเป็นทหารในกองทัพหญิงมาก่อน เลยได้ใช้ชีวิตหวือหวาติดตามองค์หญิงไท่ผิงอยู่สองสามปี
หลังจากนั้นก็เป็นเพราะนางเริ่มแก่ตัวขึ้น จึงจำต้องแต่งงานมีครอบครัว เหตุนี้นางจึงได้แต่งงานกับชายหนุ่มมากความสามารถแห่งหมู่บ้านหลินเจีย และเดิมทีก็เป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักศึกษาประจำหมู่บ้านหลินเจียเช่นกัน แต่ช่างโชคร้ายที่เขาได้ล้มป่วยลงในฤดูหนาวเมื่อปีกลาย เหลือไว้เพียงลูกสาวให้มองดูต่างหน้า ซึ่งปีนี้มีอายุได้ 3 ขวบพอดิบพอดี
นางยังจำได้มิลืมเลือนว่าเมื่อสิบสองค่ำเดือนสี่ที่ผ่านมา องค์หญิงทรงขี่ม้ามาเป็นการส่วนพระองค์เพื่อมาหานางโดยเฉพาะ แล้วส่งร่างของคนที่สลบมิได้สติพร้อมกับตั๋วเงินจำนวนหนึ่งมาให้นาง จากนั้นจึงตรัสกับนางเพียงแค่สามประโยคว่า
“หยุนเหนียง คุณชายท่านนี้เป็นผู้ชายของข้า ! ”
“ถือว่าเห็นแก่มิตรภาพของพวกเราในวันวาน เจ้าจงช่วยข้าดูแลเขาให้ดี เมื่อเขาตื่นขึ้นมา อย่าได้บอกเขาเป็นอันขาดว่าข้าเป็นผู้ส่งเขามาที่นี่”
“ข้าจะมาหาเขาเมื่อใดก็ได้ จนกว่าข้าจะมีบุตรกับเขา ! ”
หลังจากนั้นองค์หญิงไท่ผิงก็ได้ขี่ม้าจากไปอย่างเร่งรีบ เหลือไว้เพียงแต่นางผู้ที่เป็นหญิงหม้ายกับชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ !
แน่นอนว่าหยุนเหนียงมิบังอาจคิดมิดีมิร้ายกับชายหนุ่มผู้นี้ นางจึงเชิญหมอมารักษาตัวเขา จากนั้นก็ได้ดูแลปรนนิบัติอย่างดี จนกระทั้งผ่านไปสามวันเขาจึงค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
หลังจากนั้น เขาก็ได้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ราวยี่สิบกว่าวัน ก่อนจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่ทว่าร่างกายของเขาก็ยังคงอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงดังเดิม
แน่นอนว่าชายผู้นี้ย่อมใคร่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงได้มาอยู่ที่นี่ “ข้าไปเก็บเจ้ามาจากหลังเขา” นางตอบเขากลับไปเช่นนี้
หลังจากนั้นชายหนุ่มเหมือนได้รู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ แล้วมิได้เอ่ยถามอะไรนางอีกเลย มิค่อยสนทนาและเอาแต่เก็บตัว
หยุนเหนียงเลยยอมควักเงินซื้อของบำรุงมามากมาย จนกระทั่งช่วงกลางเดือนของเดือนห้า ร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ก็ได้ฟื้นตัวจนกลับมาเป็นปกติ
ตั้งแต่ช่วงหลังกลางเดือนห้าจนถึงบัดนี้ องค์หญิงไท่ผิงได้เสด็จมาที่นี่รวมแล้วห้าคราด้วยกัน
เมื่อองค์หญิงได้เสด็จมาที่นี่ก็มิได้มีพระประสงค์ที่จะพบเจอชายหนุ่มผู้นั้นโดยตรง แต่องค์หญิงทรงได้มอบห่อยาให้กับนาง ซึ่งนั่นก็คือยาเสน่ห์ หรือยาปลุกกำหนัด !
ในห้าราตรีที่ผ่านมานั้นต่างก็เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นมา แต่ทว่านางก็สามารถจัดการปัญญาต่าง ๆ ได้ดี โดยที่ชายหนุ่มผู้นั้นมิรู้เรื่องอะไรเลย
สามวันก่อนองค์หญิงไท่ผิงก็ได้เสด็จมาอีกครา พระนางได้ตรัสกับหยุนเหนียงไว้ว่า
“เขาเป็นผู้ชายของข้า ! ”
“เพคะองค์หญิง เขาคือผู้ชายขององค์หญิง หยุนเหนียงมิบังอาจคิดมิดีมิร้ายอย่างแน่นอนเพคะ”
แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่หยุนเหนียงสงสัยมาโดยตลอดก็คือชายผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดองค์หญิงไท่ผิงผู้สูงส่งถึงได้ใช้วิธีนี้ในการบำเรอหาความสุขให้ตนเอง !
“ข้าเพียงแค่อยากมีบุตรกับเขา… ! ”
ราตรีนั้นแสงจันทร์ส่องกระจ่าง พระพักตร์ขององค์หญิงไท่ผิงนั้นแดงระเรื่อด้วยความปลื้มปิติ “ข้าตั้งครรภ์แล้ว หยุนเหนียงข้าขอบใจมากยิ่งนัก ได้โปรดลบเลือนความทรงจำช่วงนี้ออกไปให้สิ้นด้วยเถิด ! ”
“หยุนเหนียงจะลืมให้หมดสิ้นเพคะ ! ”
“อยากจะกลับไปเข้าร่วมกองทัพหญิงหรือไม่ ? ”
“…เดิมทีก็อยากกลับไปเพคะ แต่เมื่อคลอดบุตรสาวออกมาแล้วก็มิอาจกลับไปได้แล้วเพคะ คงจะต้องอยู่เลี้ยงดูบุตรสาวของหม่อมฉันจนกว่านางจะเติบใหญ่ แล้วหม่อมฉันก็คงจะแก่ตายลงที่นี่เพคะ”
“ไม่ เจ้าจงนำบุตรของเจ้าหนีออกไปจากที่นี่ ตั๋วเงินเหล่านี้เจ้าจงรับไว้ มันเพียงพอที่จะให้เจ้าไปลงหลักปักฐานที่ใดก็ได้ เมื่อเขาได้จากไปแล้วเจ้าจงหนีไปเสีย หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปใช้ชีวิตยังที่ที่ข้าก็มิอาจหาตัวเจ้าเจอ ! ”
เมื่อตรัสจบ องค์หญิงไท่ผิงก็ได้มอบตั๋วเงินให้นางอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงได้เสด็จกลับทันที และหลังจากนั้นเอง…หยุนเหนียงจึงได้รู้ว่าอดีตแม่ทัพแห่งกองทัพหญิงนั้นได้ถูกสถาปนาให้เป็นองค์จักรพรรดินีแล้ว !
นี่เป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋ !
พระองค์ได้ยืมเชื้อจากชายผู้นั้นไป !
แล้วชายผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ?
หยุนเหนียงมิเคยเอ่ยถามเขาเลยสักครา แต่คราหนึ่งชายผู้นั้นได้บอกนางว่าเขามีนามว่าฟู่เอ้อร์ไต้ เมื่อนางได้ยินก็พลางคิดไปว่าชื่อนี้ช่างประหลาดมากยิ่งนัก
บัดนี้เขาก็ได้หายเป็นปกติแล้ว แล้วเมื่อใดเขาจะจากไปเสียทีเล่า ?
แล้วเขาจะจากไปที่ใดได้อีก ?
……
ฟู่เสี่ยวกวนพับขากางเกงขึ้นมา จากนั้นก็ได้ถือถังน้ำกลับมายังกระท่อมหลังคามุงจากหลังนี้
เซี้ยวเซี้ยวลูกสาวตัวน้อย ๆ ของหยุนเหนียงได้วิ่งตรงดิ่งมาหาฟู่เสี่ยวกวน “ท่านพ่อ ท่านพ่อเจ้าคะ อุ้มข้าหน่อยเจ้าค่ะท่านพ่อ ! ”
หยุนเหนียงแก้มแดงเพราะความเขินอาย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางถังน้ำลงแล้วอุ้มสาวน้อยเซี้ยวเซี้ยวขึ้นมา เขาได้อุ้มนางแล้ววางไว้บนบ่าในท่านั่ง “เซี้ยวเซี้ยวนั่งสูง ๆ นะ นั่งสูง ๆ จะได้มองเห็นไกล ๆ ”
“ดูเจ้าตามใจนางสิ…” หยุนเหนียงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในกระท่อมจากนั้นก็ยกชาที่เย็นแล้วมาให้ฟู่เสี่ยววกวน “ดื่มเถิด ช่วยคลายความร้อน ข้าจะไปทำอาหารประเดี๋ยวนี้แหละ”
“อือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือข้างหนึ่งประคองเซี้ยวเซี้ยวที่อยู่บนบ่าเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยกชาดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย แล้วก็ได้เอ่ยถามเซี้ยวเซี้ยวที่อยู่บนบ่าว่า “ตัวอักขระที่พ่อสอนเซี้ยวเซี้ยวไปเมื่อยามเว่ย เซี้ยวเซี้ยวยังจำได้อยู่หรือไม่ ? ”
“เซี้ยวเซี้ยวจำได้ ! ”
“ไหน ลงมาเขียนให้พ่อดูหน่อยสิ”
เขานำตัวเซี้ยวเซี้ยวลงมาจากบ่า เซี้ยวเซี้ยวได้เก็บกิ่งไม้ขึ้นมาหนึ่งกิ่ง จากนั้นก็บรรจงเขียนลงบนพื้นดิน
“นี่คือตัวเซี้ยวที่มาจากคำว่าเซี้ยวเซี้ยว และนี่ก็คือตัวหลิน ชื่อของเซี้ยวเซี้ยวทั้งหมดคือหลินเซี้ยวเซี้ยว”
“เซี้ยวเซี้ยวเก่งมาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้พรมจูบลงไปบนแก้มนุ่ม ๆ ของสาวน้อยหนึ่งครา จากนั้นหยุนเหนียงก็ได้ตักน้ำมาให้เขาแล้วเรียกเขาไปล้างหน้า
“ปีนี้ค่อนข้างแห้งแล้ง น้ำในแม่น้ำก็เกือบจะเห็นก้นแม่น้ำเสียเต็มทีแล้ว ถ้าหากฝนมิตกลงมาหมู่บ้านนี้ก็คงจะลำบาก…จำต้องขุดบ่อ มิอาจรอพึ่งพาสวรรค์ได้อีกต่อไป ! ”
หยุนเหนียงชะงักเล็กน้อย หรือว่าเจ้าอยากจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?
ต่อให้เจ้าปรารถนาเช่นนั้นแต่ข้าก็มิบังอาจ !
“เอ้อร์ไต้ ข้าลองไตร่ตรองดูแล้ว…ข้าเองก็พอจะมีเงินติดตัวไว้บ้าง เซี้ยวเซี้ยวก็เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน สำนักศึกษาที่นี่ก็ร่ำเรียนวิชาอะไรได้มิมากนัก ”
ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นมองหยุนเหนียง “เจ้าอยากย้ายไปอยู่ที่เมืองหลินเจิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้ายังมิรู้ แต่ข้าคิดวางแผนที่จะย้ายถิ่นฐาน แล้วเจ้าเล่า…เจ้าคิดวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป ? ”
“……”
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนได้เหม่อลอยไปยังที่แสนไกล เผลอเพียงชั่วครู่ก็ได้ผ่านไปแล้วถึงสามเดือน ได้ยินมาว่าอู๋หลิงได้ถูกสถาปนาให้เป็นองค์จักรพรรดินีเมื่อหนึ่งค่ำเดือนหก เหมือนว่าทางราชสำนักมิได้สั่นคลอนเพราะการขาดผู้สืบราชบัลลังก์
ในเมื่อมีไทเฮา มีจัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่คอยประคับประคอง ราชวงศ์อู๋ย่อมมิอาจสั่นคลอนได้
เพียงแต่ว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพวกนางทั้งสองนั้นมิได้รู้ข่าวคราวของตน ก็เกรงว่าพวกนางจะเป็นกังวล และวันนี้ร่างกายของตนนั้นก็เกือบกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะหวนคืนอาณาจักรแห่งราชวงศ์หยูเสียที บัดนี้คาดว่าพวกนางก็คงจะประจำอยู่ที่เมืองจินหลิงเรียบร้อยแล้ว
เรื่องราวของราชวงศ์อู๋นั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอู๋หลิงเอ๋อร์ไปเสียเถิด
“ในเมื่อเจ้ามีแผนการเยี่ยงนี้ เยี่ยงนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปแล้วเช่นกัน”
“เจ้าจะไปที่ใด ? ” หยุนเหนียงถามด้วยความใคร่รู้
ฟู่เสี้ยวกวนยิ้มขึ้นมา “ไปแคว้นหยู ! ”
ไม่รู้ว่าเซี้ยวเซี้ยววิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อใด นางได้แหงนหน้าขึ้นมามองเขาด้วยน้ำตาที่ไหลพราก “มิเอา เซี้ยวเซี้ยวมิให้ท่านพ่อไป ท่านพ่อต้องอยู่กับเซี้ยวเซี้ยว ฮือ ๆ ๆ…”
หยุนเหนียงถอนหายใจแล้วก้มศีรษะลง ชายผู้นี้ ถ้าหากได้มาเป็นสามีของตนนั้นคงจะดีมิน้อย !
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าลงแล้วใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาบนแก้มของเด็กสาว “เซี้ยวเซี้ยว พ่อมิได้โกหกเจ้า พ่อจะต้องลาจากแล้วอย่างแท้จริง ต่อจากนี้เจ้าจงเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านแม่ของเจ้า จำคำพ่อไว้…หากว่าเมื่อใดเจ้าพบเจอกับความยากลำบาก เจ้าจงไปยังภูเขาซีซานแห่งเมืองหลินเจียงที่แคว้นหยู จากนั้นก็เรียกชื่อฟู่เอ้อร์ไต้ออกมาดัง ๆ เมื่อนั้นจะมีคนนำเจ้าไปหาตัวพ่อเอง ! ”