ตอนที่ 390 หนทางกลับบ้าน
เมื่อแสงสุริยาได้สาดส่องลงมาสู่พื้นธรณีของเช้าวันใหม่ กระท่อมหลังคามุงจากที่กลางเขาหลังนี้ได้ส่งควันลอยโขมงขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไปออกกำลังกายแต่อย่างใด เขากำลังจัดแจงมื้อเช้าอยู่ในครัว
เขาต้มโจ๊ก แล้วก็นึ่งหมั่นโถวสองสามลูก จากนั้นก็ทำไข่ดาวอีกสามฟอง ไม่สิ แค่สองฟองเพราะเซี้ยวเซี้ยวอยากกินไข่ต้มน้ำ
เขาจัดแจงอาหารเช้าด้วยความช่ำชอง เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหยุนเหนียงได้เฝ้ามองเขาอยู่ที่ประตูห้องครัว และนางได้ยืนมองเขาด้วยความตั้งใจ
นี่เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าครัวตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามเดือน แต่ทว่าท่าทางของเขานั้นมิได้ดูอ่อนหัดเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูลื่นไหลและงดงามราวกับว่าเขาเข้าครัวเป็นประจำ
นี่เขาเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่ !
เขาดูมิเหมือนนักวรรณกรรมเลยเสียทีเดียว
แต่เหตุใดองค์จักรพรรดินีจึงอยากได้เชื้อเขาไปมากยิ่งนัก ?
หยุนเหนียงพยายามคิดเช่นไรก็คิดไม่ออก นางคิดออกเพียงแค่ว่าชายผู้นี้อาจจะมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่นางยังมิรู้
นางจึงเดินเข้าไป ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันมามองเธอ จากนั้นเขาจึงส่งยิ้มให้แล้วสนทนากันราวกับสามีภรรยาที่สนิทสนมกันมาช้านาน “ตื่นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ข้าคิดว่าเลี้ยงดูลูกมิใช่เรื่องง่ายเลย เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด เรื่องงานครัวนี้ข้าถนัด ข้าจะปรุงมื้อเช้าให้เจ้าและเซี้ยวเซี้ยวเอง”
“เจ้าจะไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อ่า อีกประเดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็คงจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว หากเซี้ยวเซี้ยวยังมิตื่นก็อย่าได้ปลุกนางล่ะ เพื่อเลี่ยงมิให้นางต้องรู้สึกเสียใจ”
หยุนเหนียงเดินเข้าไปแล้วนั่งลงผิงไฟหน้าเตา จากนั้นนางจึงได้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา “เสื้อผ้าของเจ้าขาดวิ่นหมดแล้ว จะเย็บก็ซ่อมแซมมิได้ ข้าเลยซื้อชุดใหม่มาให้เจ้าสองชุด อีกอย่างอย่าลืมของของเจ้าที่วางอยู่ในตู้หลังประตูเชียวล่ะ อีกประเดี๋ยวข้าจะแบ่งเงินให้เจ้าเพื่อเป็นค่าเดินทาง…”
ไฟร้อนจากเตาได้ส่องกระทบใบหน้าของหยุนเหนียงทำให้หน้าของนางเป็นสีแดง นางคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงได้เอ่ยถามต่อ “แคว้นหยูนั้นอยู่ห่างไกลไปราว 3,000 ลี้ เจ้าเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะหาคาราวานสินค้าติดตามไปย่อมมิดีกว่าหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือนวดแป้ง แล้วยิ้มตอบ “อย่าว่าแต่ในเมืองเลย แม้แต่ในตัวอำเภอข้าก็เกรงว่าจะมิมีคาราวานสินค้าไปแคว้นหยูน่ะสิ หยุนเหนียง…”
“หือ… ? ”
“ที่นี่ห่างจากเมืองฝานหนิงไกลเท่าใด ? ”
“ราวร้อยลี้”
“อ่า…เยี่ยงนั้นก็มิได้ไกลมากนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ก้มหน้าลงนวดแป้งต่อไป หยุนเหนียงนั้นต้องการจะหาซื้อม้าให้เขาสักตัว แต่สภาพนางที่พักในกระท่อมหลังคามุงจากเช่นนี้ จะไปมีปัญญาหาตั๋วแลกเงินเป็นร้อยตำลึงได้เยี่ยงไรกัน ?
ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ทำได้เพียงให้เงินติดตัวเขาไปเพียงหยิบมือ เขาเป็นชายอกสามศอก คงมิอดตายระหว่างทางหรอก !
เมื่อข้าวสุก และแป้งหมั่นโถวได้ถูกนึ่งจนสุกพอดี ตอนนั้นสุริยาก็ได้เริ่มสาดแสงลงมามากแล้ว มีเสียงไก่ขันดังแว่วมาจากตอนล่างของหมู่บ้าน แน่นอนว่าเซี้ยวเซี้ยวยังคงหลับใหลอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนและหยุนเหนียงได้นั่งมื้อเช้าที่โต๊ะกันอย่างเงียบเชียบ หยุนเหนียงจัดการเก็บเครื่องครัวจานชามต่าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนได้ย่องเข้าไปยังห้องของหยุนเหนียงเพื่อมองหน้าเซี้ยวเซี้ยว จากนั้นจึงพรมจูบบนใบหน้าน้อย ๆ นั่นอย่างแผ่วเบา แล้วจึงเดินออกไปยังห้องของตน
บนเตียงนั้นมีชุดผ้าปอแขนสั้นสะอาดสะอ้าน และมีเสื้อคลุมผ่ากลางอีกหนึ่งตัววางไว้อยู่
เขาเปิดตู้นั้นออกแล้วนำของส่วนตัวออกมา จริง ๆ แล้วนั้นมีเพียงแค่สองอย่าง ก็คือปืนหนึ่งกระบอกกับตราหยกดำประจำราชวงศ์อู๋
เพราะวันนั้นเป็นพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ เลยทำให้เขามิได้พกเงินติดตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียว
เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดแขนสั้นแล้วนำสิ่งของที่เหลือยัดใส่เสื้อคลุม แล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ประตู เขาหันมามองกระท่อมหลังนี้ที่เป็นที่พักพิงต่อของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แล้วจึงได้ฉีกยิ้มออกมา
บ้านน้อยแสนซอมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ
แท้ที่จริงนั้นเรือนซอมซ่อแห่งนี้อยู่แล้วก็มิได้สุขสบายแต่อย่างใด
จะเอ่ยเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกว่าขัดต่อความรู้สึกของตนเสียจริง ๆ
เมื่อเขาเดินไปถึงประตูของกระท่อม หยุนเหนียงก็ได้หยุดยืนอยู่ตรงนั้นพอดี นางให้เงินฟู่เสี่ยวกวนติดตัวไปสามตำลึง “นี่มันยังน้อยเกินไป ระหว่างทางเจ้าจงคิดวิธีหาเงินเสีย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อ้อยอิ่งใด ๆ เขารับมันมา จากนั้นก็ชี้ไปยังแปลงนาด้านหน้า “หากเจ้าต้องการจะย้ายก็จงรีบทำ อย่าได้เสียดายแล้วเสียเวลารอพืชผลเหล่านั้น ปีนี้ดูท่าจะมิราบรื่นเท่าใดนัก หากเจ้าพอมีเงินเหลือก็จงไปซื้อข้าวและอาหารมากักตุนไว้เสีย เกรงว่าต่อไปราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
“อือ…”
“อีกอย่างเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าจะย้ายไปที่ใด เมื่อข้าได้กลับถึงแคว้นหยูอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าจะได้ส่งคนมาดูแลเจ้าและเซี้ยวเซี้ยว”
ถ้าหากยึดตามพระประสงค์ขององค์จักรพรรดินีแล้ว นางมิบังควรบอกฟู่เอ้อร์ไต้ว่านางจะย้ายไปลงหลักปักฐานที่ใด แต่หยุนเหนียงได้เห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูกตลอดสามเดือนที่เซี้ยวเซี้ยวได้มีต่อเขา นางจึงมิอาจห้ามใจได้และเปิดเผยความจริงออกไปในที่สุด
“ข้าอาจจะไปเมืองฝานหนิง เพราะข้ามีญาติอยู่ที่นั่น แม้ว่าพวกเขาจะช่วยเหลืออันใดข้ามิได้ แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังดี…ที่ยังมีที่ให้ข้าย้ายไป”
“ก็ดี ข้าจะจำไว้ ขอบคุณสำหรับการดูแลของเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา ลาก่อน ! ”
“อือ ลาก่อน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปตามทางเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน หยุนเหนียงทำได้เพียงใช้สายตาส่งเขาไปยังที่แสนไกลเป็นพัน ๆ ลี้
……
ณ เมืองชายแดน
ยามมามีฝนแห่งวสันตฤดู ยามกลับมีความร้อนระอุคอยแผดเผา สิ่งเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมทุกเมื่อเชื่อวันก็คือการมาเยือนของยามราตรี
ฟู่เสี่ยวกวนตรงไปยังตรอกเจ็ดก้าวในทันที ซูม่อและเยี่ยนถาวฮวาได้ไปยังสำนักเต๋านานแล้ว มิรู้ว่าบัดนี้ท่านปู่ของนางจะยังคงอยู่ที่ป่าท้ออยู่หรือไม่
เมื่อเขามาถึงป่าถ้อก็พบว่าลูกท้ออยู่ในสภาพที่มิสวยงามมากนัก แต่ละต้นมีลูกท้อเพียงแค่สี่ห้าลูกเท่านั้น ช่างดูบางตามากยิ่งนัก แต่ลูกท้อที่ร่วงหล่นบนพื้นนั้นมีอยู่มากโข นี่แสดงให้เห็นว่ามิมีผู้ใดมาดูแลเอาใจใส่มานานแล้ว สภาพก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นดั่งที่เห็น
เขาเดินเข้าไปในป่าท้อ แล้วไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของอาคารหลังเล็กนั่น
อาคารเล็กยังคงอยู่ ราวกับว่ามีไว้เพื่อต้อนรับการกลับมาของเจ้าของ
ศาลาที่เคยถูกซูม่อพังจนราบคาบนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ทว่ามีฝุ่นเกาะอยู่ในทุกอณูทั้งด้านในและด้านนอก
อาคารหลังน้อยนั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน สิ่งที่มีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเกรงว่าจะมีเพียงแค่นกนางแอ่นที่คอยส่งเสียงจิ๊บ ๆ อยู่ใต้หลังคา
ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นไปบนอาคารก็พบว่าประตูมิได้ล็อคเอาไว้ เขาผลักประตูเข้าไป จากนั้นฝุ่นก็ได้ตกลงมาจนเกิดควันโขมง
ด้านในมิได้ประดับประดาสิ่งใด พลางคิดไปว่าสตรีเยี่ยงเยี่ยนถาวฮวาคงมิเคยแม้แต่จะเก็บสถานที่แห่งนี้ไปใส่ใจ
เขาเดินเข้าไปในทุก ๆ ห้อง จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดอาคารหลังนี้
เขาเข้าไปหยิบถังน้ำในครัว จากนั้นก็ออกไปที่บ่อน้ำริมศาลาเพื่อแบกน้ำกลับมาสองถัง แล้วได้นำผ้าขนหนูเก่า ๆ มาเช็ดฝุ่นตรงเสื่อไม้ไผ่เสียจนสะอาดสะอ้าน
จากนั้นก็ได้ทำการเก็บกวาดครัวและห้องโถง จนกระทั่งมืดค่ำ เขาจึงเดินขึ้นไปบนภูเขาหลังที่พักเพียงลำพัง
ด้วยเวลาเพียง 2 เค่อเขาก็ได้กลับมายังที่พัก พร้อมกับถือไก่ป่าหนึ่งตัวและกระต่ายป่าอีกสองตัวมาในมือ เดิมทีเขาคิดว่าน่าจะล่าแพะได้สักตัว แต่ทว่าเมื่อไปถึงเขากลับมิเจอขนแพะเลยสักเส้น
เขาจัดแจงอาหารป่าเหล่านี้ด้วยความเชี่ยวชาญ ครึ่งชั่วยามผ่านไป เขาได้เคลื่อนเก้าอี้สำหรับเอนนอนออกไปที่ศาลา แล้วใช้มีดด้ามหนึ่งหั่นไก่ป่ากินอย่างเอร็ดอร่อย
กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน
เขารับหน้าที่เป็นพ่อครัวที่เมืองฝานหนิงอยู่ราวห้าวันจึงได้เงินมาเพิ่มถึง 2 ตำลึง เจ้าของร้านเป็นคนใจกว้างมากยิ่งนัก แต่ก็มิรู้ว่าเขาชื่นชมในตัวฟู่เสี่ยวกวนหรือชื่นชมฝีมือในการทำอาหารของเขากันแน่
เขารับหน้าที่เป็นคนหาบเร่มาตลอดทาง และเคยรับหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนบุคคล อีกทั้งยังไปรับหน้าที่หมักเหล้าที่โรงหมักเหล้าอีกสามวัน
เมื่อมาถึงเขตชายแดนแห่งนี้เขาจึงมีเงินติดตัวเพิ่มมากขึ้นถึง 3 ตำลึง
เขารู้สึกภาคภูมิในตนเองเป็นอย่างมาก ที่สามารถหาเงินด้วยน้ำพักน้ำน้ำแรงของตนได้ในชาติภพนี้ เมื่อพบกับต่งชูหลานแล้วเขาจะมิมอบเงิน 6 ตำลึงนี้ให้กับพวกนางเป็นอันขาด
เมื่อนึกถึงต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลว ก็ได้ทำให้เขาฉีกยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ
พวกนางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันนะ ?
พวกนางจะร้องไห้เสียใจเพราะเขาหรือไม่ ?
จะคำนึงถึงเขาผู้ที่ก็มิรู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วหรือไม่ ?
เดิมทีเขาอยากพักต่อที่ริมชายแดนอีกสักสองสามวัน แต่เวลานี้เมื่อนึกถึงพวกนาง ทำให้ใจของเขาอยากกลับไปอยู่กับพวกนางโดยเร็วเสียแล้ว