ที่นั่งริมหน้าต่างชั้นสองของหอหลินเจียง
ต่งชูหลานและชุนซิ่วได้นั่งอยู่ตรงข้ามกัน
ต่งชูหลานมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกหน้าต่างนั้นมีผู้คนกำลังเดินกันขวักไขว่เสียงดังจอแจ ไม่ต่างจากตอนที่มาที่นี่เมื่อปีที่แล้วเลยสักนิด
ชุนซิ่วมองนายหญิงน้อย ในใจมีความเป็นห่วงอยู่บ้าง จึงกล่าวขึ้นเล็กน้อยว่า “นายหญิงน้อยและคุณชายเห็นชุนซิ่วเป็นดังญาติมิตร ชุนซิ่วมีคำเอ่ยอยากจะบอกกับนายหญิงน้อยสักหน่อย”
“ต่งชูหลานหันไปมองทางชุนซิ่ว แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนใช่หรือไม่ ? ”
ชุนซิ่วพยักหน้า เม้มริมฝีปาก “คำเอ่ยของนายหญิงน้อยเมื่อครู่นั้น…นายหญิงน้อยมิใช่คนใจดำเยี่ยงนั้น เหตุใดจึงต้องกล่าวเช่นนั้นออกมาด้วย ? พวกนาง…แท้ที่จริงพวกนางน่าสงสารมากยิ่งนัก ยามนี้ผู้นำตระกูลและคุณชายต่างก็มิมีข่าวคราวกลับมา อีกทั้งพวกนางใกล้จะคลอดแล้ว ครอบครัวนี้มิมีเสาหลักแล้ว มีแต่จะทำให้กังวลใจมากยิ่งขึ้น”
“ชุนซิ่ว ข้าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้…” ต่งชูหลานมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครา นัยน์ตามีแววสลัวอยู่บ้าง “กิจการเหล่านี้หากข้ามอบให้กับพวกนาง พวกนางก็มิมีปัญญาจัดการอยู่ดี หากข้าวางมือมิไปถามไถ่แล้วอย่างแท้จริง เกรงว่ากิจการของคุณชายที่ทุ่มเทสร้างมันขึ้นมา ภายในสามถึงห้าปีคงจะล่มสลายไปเสียแล้ว”
“ข้าหวังดีกับพวกนาง ค่าใช้จ่ายในจวนฟู่แห่งนี้มิมีทางลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เห็นกันอยู่ว่าจำนวนคนในจวนฟู่ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น พวกน้อง ๆ ของคุณชายเองเมื่อโตขึ้นแล้วยังคงต้องสมรสแล้วเริ่มทำกิจการของตนเอง เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินทั้งนั้น”
ชุนซิ่วถึงได้เข้าใจเจตจำนงค์ของนายหญิงน้อย ในใจพลันคิดว่าคุณนายทั้งหกคนนี้ มิมีคนไหนเลยที่จะสามารถจัดการกิจการเหล่านั้นที่คุณชายทิ้งไว้ได้เลยอย่างแท้จริง พวกนางเองไม่ได้มีความสามารถเฉพาะตัวเหมือนกับนายหญิงน้อย !
นี่คือรากฐานของจวนฟู่
เพียงแค่รากฐานมิล้มเหลว จวนฟู่ก็จะมิล้มลงไปเช่นกัน !
บัดนี้ชุนซิ่วได้แสดงสีหน้าละอายใจออกมา ต่งชูหลานกลับหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายของคุณชาย เรียนรู้จากข้าเยอะหน่อยเถอะ หลังจากสมรสไปแล้ว เจ้าก็ยังต้องจัดการการค้าของครอบครัวตนเองเช่นกัน”
ชุนซิ่วเบะปาก คิดในใจว่าตนเองยังมิเจอผู้ใดที่ใจตรงเลยสักคนเดียว
สายตาของชุนซิ่วมองไปยังด้านนอกหน้าต่างเช่นกัน เห็นสตรีชุดขาวสะพายกระบี่ด้ามยาวอยู่คนหนึ่ง
นางขมวดคิ้วเบา ๆ ถึงได้เห็นสตรีผู้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จากนั้นก็ได้เดินเข้ามาในหอหลินเจียง
“นายหญิงน้อย ข้ารู้แล้ว นางคือจางเพ่ยเอ๋อร์”
“จางเพ่ยเอ๋อร์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานนึกย้อนไปอย่างถี่ถ้วน ปีที่แล้วที่ไปเจรจากับพ่อค้าหลวงที่หลินเจียง ลูกสาวพ่อค้าผ้าหลินเจียงจางจี้เหมือนจะชื่อจางเพ่ยเอ๋อร์นี่ ?
ใช่แล้ว ! นางยังมีพี่ชายอีกคนที่ชื่อว่าจางเหวินฮั่น ปีที่แล้วเขามาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ชิวเหวย ดูเหมือนว่าเมื่อเดือนสิบเอ็ดเมื่อปีที่แล้ว เขาก็ได้ไปเป็นนายอำเภอของอำเภอผิงหลิง
ได้ยินมาว่าจางเพ่ยเอ๋อร์ในตอนนั้นมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยงไรเสียดอกไม้ร่วงหล่นมีใจสายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก ท้ายที่สุดก็กระโดดแม่น้ำแยงซีจบชีวิตตนเอง “เจ้าดูผิดหรือไม่ ? ”
“บ่าวมิมีทางดูผิดอย่างแน่นอน เมื่อปีที่แล้วนางยังเคยมาที่จวนฟู่อยู่เลยเจ้าค่ะ อีกทั้งยังพักอยู่ที่เรือนด้านหลังอยู่นาน ขณะนั้นบ่าวเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเจ้าค่ะ”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากบันใด ต่งชูหลานหันไปมองที่หัวบันไดนั้น จางเพ่ยเอ๋อร์ขึ้นมาสู่ชั้นบน นางเองก็มองเห็นต่งชูหลานเช่นกัน
นางเดินตรงเข้าไปหาต่งชูหลาน มิได้แสดงสีหน้ามุ่ยราวกับเด็ก ๆ อีกต่อไป เวลาสั้น ๆ หนึ่งปี ราวกับว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นางมาที่หอหลินเจียงแห่งนี้เดิมตั้งใจจะมาทานอาหาร เพราะฟู่เสี่ยวกวนมักจะมาทานอาหารที่หอหลินเจียงแห่งนี้
ยามนี้นางได้สำเร็จวิถีแห่งอู๋เต้าเพียงเล็กน้อย จุดประสงค์ที่ออกมาจากป่ากระบี่ก็็เพื่อมาฟันฟู่เสี่ยวกวนสักหนึ่งกระบี่ อาจารย์เหมียหลี่เสวี่ยหงเอ่ยว่า กระบี่เล่มนี้จำเป็นต้องไปตัด ตัดความสัมพันธ์ที่อาภัพนั่น ใช้ความสามารถตัดเจ้าออกจากท้องนภาและผืนปฐพีที่กว้างใหญ่ไพศาลของวิถีการต่อสู้อู๋เต้า
แต่ตัวนางยังมิทันได้ไปถึงหลินเจียง กลับยินข่าวมาว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ตายในภูเขาหิมะของราชวงศ์อู๋เสียแล้ว…
การฟันกระบี่ครานี้ก็ฟันมิสำเร็จแล้ว แต่นางก็ยังคงมาที่หลินเจียงเพราะอยากจะมาดูอีกสักครา
นางเองก็รู้จักต่งชูหลานเช่นกัน
“ข้าร่วมนั่งด้วยได้หรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานมีใบหน้ายิ้มแย้มและพยักหน้า
จางเพ่ยเอ๋อร์นั่งลงทันที และหันไปทางหน้าต่าง
“เขา…สิ้นแล้วจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานหุบยิ้มบนใบหน้า พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ อีกครา
จากนั้นสตรีทั้งสองต่างก็มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาอีก เสี่ยวเอ้อวางอาหารและสุราไว้บนโต๊ะ สตรีทั้งสามต่างก้มหน้าก้มตากิน ชุนซิ่วรินสุราให้คุณนายสะใภ้ คิดไปคิดมา ก็รินให้กับจางเพ่ยเอ๋อร์หนึ่งจอกด้วยเช่นกัน
จางเพ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนหิวเป็นอย่างมาก นางกินอาหารอย่างมูมมาม เมื่อยามที่สำลักก็จะดื่มสุราหนึ่งจอก
นางกินเยอะเป็นอย่างมาก ดื่มก็เยอะมากเช่นกัน มิเหลือภาพลักษณ์ของคุณหนูตระกูลใหญ่จวนจางเลยแม้แต่น้อย
ต่งชูหลานมองจางเพ่ยเอ๋อร์อย่างเงียบ ๆ ในใจพลันคิดว่านี่เป็นสตรีที่หน้าสงสารผู้หนึ่ง ในช่วงอายุที่สวยงามที่สุด กลับไปรักคนที่มิควรจะรัก
จางเพ่ยเอ๋อร์แก้มกลม เขาเคี้ยวไปถามไป “สุสานเขาอยู่ที่ใด ? ”
“ถูกหิมะกลบฝัง หลังจากที่ขุดออกมา มิอาจจะนำมาจัดการได้แล้ว เขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน ยามนี้ถูกฝังไว้ที่จายซิงถายเมืองกวนหยุนแห่งแคว้นอู๋”
แก้มของจางเพ่ยเอ๋อร์หยุดขยับไปหลายอึดหายใจ นางมองดูอาหารบนโต๊ะ กลืนอาหารในปากลงคอ “แคว้นอู๋…ไกลถึงเพียงนั้น…แท้ที่จริงแล้วเขาชอบหลินเจียงแห่งนี้มากกว่า”
“ต้องย้ายหลุมศพเขากลับมา” จางเพ่ยเอ๋อร์กล่าวเพิ่มเติมออกมาอีกหนึ่งประโยค ทำให้ต่งชูหลานรู้สึกตกใจมากยิ่งนัก
“ในเมื่อฝังลงดินแล้ว ให้เขาอยู่สงบเถิด จายซิงถายที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่ที่มิเลวเลย สูงเป็นอย่างมาก มักจะอยู่ในกลุ่มเมฆ เขาจะได้ขึ้นสู่ท้องนภาได้ง่ายขึ้นอีกหน่อย”
“…ข้ารู้สึกว่าเขายังมิตาย ! ”
ต่งชูหลานตื่นตกใจอีกครา ในใจพลันคิดว่านางพบพิรุธอันใดหรือไม่ ?
“เขาเป็นคนเลวเยี่ยงนั้น สวรรค์ต้องมิกล้ารับเขาไปเป็นแน่”
ชุนซิ่วได้ฟัง ก็เกิดอารามมิพอใจ “คุณชายของข้าเลวตรงไหนกัน ? ”
จางเพ่ยเอ๋อร์ยกยิ้มขึ้น มิได้ตอบกลับไป นางวางชามและตะเกียบลง ดื่มสุราอีกหนึ่งจอก ครานี้ชุนซิ่วมิได้รินสุราให้นางอีก นางจึงหยิบขวดสุราเทให้ตนเอง
“ข้าเคยรักเขาอย่างลึกซึ้ง” จางเพ่ยเอ๋อร์มองไปทางต่งชูหลาน
“มิได้กลัวว่าในยามนั้นผู้คนจะกล่าวหาเขาเยี่ยงไรบ้าง แต่ข้าก็ยังคงชอบลักษณะเลว ๆ นั้นของเขา”
“หากเขายังคงเลวร้ายเช่นนั้นต่อไป ข้าว่าเขาจะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน”
นางหัวเราะกับตนเอง “แต่น่าเสียดายคิดมิถึงว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นคนดีได้ ! ”
“เขาเปลี่ยนเป็นคนดีเพื่อเจ้า ดังนั้นเจ้าชนะแล้ว ข้าเลื่อมใสทั้งวาจาและจิตใจ”
“เวลาหนึ่งปีมานี้ข้าอยู่ที่ป่ากระบี่ ซ่อมแซมสำนึกกระบี่ที่ถูกตัดขาด แต่ในใจของข้าความรู้สึกนี้มิเคยถูกตัดขาดออกไป ดังนั้นที่ข้าลงเขามา เดิมทีคิดอยากจะมาฟันเขาให้ขาด…แต่เขากลับตายไปเสียแล้ว ! ”
จางเพ่ยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก พลางเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ “ฟู่เสี่ยวกวน แม้แต่กระบี่ของข้า เจ้าก็มิให้โอกาสข้าเลย ! ”
“เจ้าอยากฆ่าเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ต่งชูหลานขมวดคิ้วถาม
“ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่าถึงยามที่ต้องเผชิญหน้ากันกับเขาข้าจะฆ่าเขาลงหรือไม่ อีกอย่างบัดนี้เขาก็ได้ตายจากไปแล้ว ถึงอยากจะฆ่าเขาก็ทำมิได้แล้ว ! ”
ต่งชูหลานรู้สึกโล่งใจ “หลังจากนี้แม่นางคิดจะทำอันใดต่อไป ? ”
“มิได้คิดจะทำอันใด ในเมื่อเขามิอยู่แล้ว โลกใบนี้ก็มิมีอันใดน่าดูอีกแล้ว ข้าจะไปหาพี่ชายของข้าที่ผิงหลิง จากนั้นก็จะกลับไปยังป่ากระบี่…แม้ว่าจางเพ่ยเอ๋อร์คนเก่าจะได้ตายไปแล้วก็ตาม”
เขาลุกขึ้นยืน “ขอบใจเจ้ามากที่เลี้ยงอาหารข้ามื้อนี้ ได้ยินว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ดูแลการค้าให้กับเขา เจ้าเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมยิ่ง น่าเสียดายที่เขามิมีวาสนาได้เสวยสุข”
“ลาก่อน ! ”
“ลาก่อน ! ”
จางเพ่ยเอ๋อร์ถือกระบี่และเดินจากไปจนลับสายตา ต่งชูหลานออกเดินทางกลับซีซานอีกครา
แม่น้ำเบื้องล่างที่หอหลินเจียงยังคงไหลเวียนต่อไป เพียงแค่หญิงสาวที่เคยอยู่ชั้นบนนั้นได้จากไปแล้ว…