นายน้อยเจ้าสำราญ – ตอนที่ 404 ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ

ตอนที่ 404 ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าเดือนสิบสอง ยามราตรีที่ไร้ซึ่งแสงจันทรา

ดาบเทวะ 4,000 คนได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม นำโดยหัวหน้ากลุ่มของแต่ละกลุ่มตามแผนกลยุทธ์ที่ได้กำหนดเอาไว้เนิ่นนานแล้วและเข้าสู่ภูเขาผิงหลิงจากทั้งสี่ทิศทาง

หลังจากที่ท่านนายพลเผิงเฉิงอู่แห่งกองทัพเหนือครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งนั้น เขาได้เพิ่มการลาดตระเวนเพื่อป้องกันรักษาค่ายกองทัพสวรรค์ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการใหญ่ และยังได้ส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในภูเขาทางเหนืออีกด้วย แต่ไม่ได้ส่งไปสอดแนมการเคลื่อนไหวของกงเซินจ่าง แต่เพื่ออยากรู้ว่าแท้จริงแล้วมีกองหนุนมาถึงที่นี่หรือไม่

ในราตรีนี้ กงเซินจ่างได้อยู่ที่โถงสำหรับการประชุมชั่วคราวในภูเขาผิงหลิงทางเหนือ ลูกน้องของเขาที่เหลือคือจินกังทั้งห้าคนและภรรยาของเขาจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์ และยังมีที่ปรึกษากับนายพลอีกหลายคน นั่งกันพร้อมหน้าหลังตรง

“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าเผิงเฉิงอู่ผู้นั้นมิสามารถทำสงครามบนพื้นภูเขาได้โดยพลการ ถึงแม้จะดูเหมือนว่ามีกองทัพทหารกว่าหนึ่งแสนนาย แต่แท้จริงแล้วมิสามารถโจมตีได้ แล้วมีอันใดให้ข้าต้องรอมิโต้กลับไปเล่า ? ”

คำถามของจิ้งซุ่ยจินกังได้รับการสนับสนุนจากจินกังที่เหลืออีกสี่คน แต่กงเซินจ่างกลับมิได้พยักหน้า

“รอเพียงชั่วคราวเท่านั้นอย่าได้รีบร้อนไป จุดประสงค์ของข้ามิใช่เพื่อไล่กองทัพทหารทางเหนือออกไป ข้าต้องการ…ยึดครองพวกเขา ! ”

บนใบหน้าของกงเซินจ่างมีรอยแผลเป็นที่ดูดุร้ายน่ากลัวราวกับตัวหนอนผีเสื้อกำลังขยับไปมา แววตาของเขาดูดุร้าย เป็นอย่างมากปากใหญ่ที่มีรอยแตกกล่าวขึ้นอีกครา “เพียงแค่ครอบครองกองทัพทหารทางเหนือได้ อาณาเขตทางเหนือที่กว้างใหญ่นี้ก็จะต้องตกอยู่ในมือของข้า ยามนี้ราชวงศ์หยูกำลังติดพันอยู่กับการทำศึกทางตะวันออก แม้แต่กองทัพทางใต้ก็ยังต้องรุดไปช่วย ฮ่องเต้มิมีปัญญามาดูแลทางเหนือนี้ได้เป็นแน่ ข้ารอให้ทางเหนือฟื้นฟูความมั่นคง รอให้เวลาสุกงอม ค่อยส่งทหารลงใต้ นี่เป็นวิธีการแสวงหาแคว้น ! ”

จิ้งซุ่ยจินกังตกตะลังทันพลัน เพิ่งจะเข้าใจพี่ใหญ่ที่ตนติดตามคาดมิถึงว่าจะมีจิตใจและความทะเยอทะยานที่แรงกล้าเยี่ยงนี้

นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี บางทีพี่ใหญ่อาจจะพลิกราชวงศ์หยูนี้ได้ พวกตนนั้นจากมังกรจะได้เป็นขุนนางสักที ถึงเวลานั้นต้องมียศมีตำแหน่งของขุนนางระดับสูง มีเงินให้ใช้มิขาด

เขาลุกขึ้นยืน และกำหมัดคารวะ “ข้าเป็นคนไร้การศึกษา ทำได้เพียงดูทิศทางหัวม้าพี่ใหญ่ มิว่าท่านพี่จะบัญชาเยี่ยงไร พวกข้าจะทำตามคำบัญชาของท่านพี่ให้จนได้”

ที่ปรึกษาที่อยู่ด้านขวาของกงเซินจ่างลุกขึ้นมา

เขาแกว่งพัดขนนกในมือ กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “ยามนี้ที่ราชวงศ์หยู ฮ่องเต้ลุ่มหลงมัวเมา ขุนนางทุจริตฉ้อฉล ทำให้ฟ้าพิโรจน์ผู้คนโกรธแค้น มิสนใจประชาชน พี่ชายกงของข้าตอบรับคำเรียกร้องจากสวรรค์ เดินทางมาจากแม่น้ำหวงเหอ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีสั้น ๆ แต่กลับมีกองทัพใหญ่ถึง 200,000 คนได้ ! ”

“ทั้งนี้ก็เพื่อทำตามหัวใจของราษฎร พี่ชายกงของข้าจะเป็นผู้ขุดหลุมฝังศพราชวงศ์หยูเอง ! ”

เขาหยุดพัดขนนกในมือ หมุนตัวไปทำความเคารพกงเซินจ่าง แล้วกล่าวอีกว่า “การลุกฮือของกองทัพ มีฟ้าสีเหลืองเป็นเครื่องชี้นำ ในความเห็นของข้า มิสู้ว่าพี่ชายกงตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาที่นี่ แล้วทำการปฏิวัติปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ ! ”

คำเอ่ยนี้ที่เขาเอ่ยออกมา ทุกคนในโถงประชุมต่างตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง ตั้งตนเป็นจักรพรรดิเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิเร็วไปหน่อยหรือ ?

อีกอย่างสถานที่โกโรโกโสมิสมบูรณ์เช่นนี้ ต่อให้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ก็ต้องกำจัดกองทัพทหารที่เหลือทั้งหมดอยู่ดี แล้วยึดครองเมืองหย่งหนิงก็ยังมิสาย

จิ้งซุ่ยจินกังที่ได้ฟัง กลับรู้สึกว่าแผนการยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก แต่ยอดเยี่ยมที่ตรงไหนเขาก็บอกมิได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามว่า “คุณชายชือ มิทราบว่าเจตนานี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

คุณชายชือ เขามิใช่คุณชายชือจากตระกูลที่มีอิทธิพลในจินหลิงแห่งราชวงศ์หยู แต่เขามาจากตระกูลชือที่เมืองหย่งหนิง ตระกูลชือในเมืองหย่งหนิงพอมีอำนาจอยู่บ้าง พ่อของเขาเคยเป็นนายอำเภอของเมืองหย่งหนิง หลังจากตระกูลชือหมดอำนาจ เขาจึงเห็นท่ามิดี ก็เลยมาขอพึ่งพากงเซินจ่าง

คุณชายชือท่านนี้ชื่อว่าชืออัน เคยไปศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลา 4 ปี ศึกษาแผนกองทัพ

จากนั้นก็ได้กลับมาที่เมืองหย่งหนิง เป็นนายทหารผู้ช่วยกองบัญชาการอันดับหนึ่งของกองกำลังป้องกันรักษาเมืองหย่งหนิง และก็เป็นเขาที่ชักจูงกองกำลังป้องกันรักษาเมืองที่รวมกันอยู่กลางภูเขาหยางเสี่ยวให้ยอมจำนน ทำให้กงเซินจ่างนำคนกว่าหมื่นคนบุกปล้นเมืองหย่งหนิงเสียจนหมดเกลี้ยง

ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รับความโปรดปรานจากกงเซินจ่าง และกลายเป็นหนึ่งในสามผู้ช่วยในกองบัญชาการที่คอยอยู่ข้างกายของกงเซินจ่าง

ชืออันเปิดพัดขนนกในมือ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม และมองดูไปยังจินกังทั้งหลาย และเอ่ยกล่าวช้า ๆ ว่า

“คำกล่าวที่ว่าอาจารย์เก่งย่อมมีชื่อ ข้ารอให้หลังจากพี่ชายกงบัญชาการรบครานี้จบลง นี่คือใจความสำคัญของการรบครานี้ ! ”

“ทุกท่านอย่าได้ประเมินเผิงเฉิงอู่ต่ำจนเกินไป เขาเป็นบุตรบุญธรรมที่เผิงถูสอนมาเองกับมือ แม้ว่าเขาจะดิ้นรนอยู่บนภูเขาผิงหลิงแห่งนี้บ้าง แต่เขาก็ได้นำกองทัพทหารกว่าแสนนายมาด้วยตนเองและมิได้เสียหายมากเท่าใดนัก”

“พี่ชายกงวางแผนหลอกล่อเขาไปยังดินแดนของแคว้นฮวง และได้ร่วมมือกับราชครูของแคว้นฮวง เพื่อที่จะกำจัดกองทัพทหารทางเหนือของเขาเสียให้สิ้น กลับนึกมิถึงว่าเขาจะเปลี่ยนใจ กลับไปที่ค่ายสวรรค์ของพวกเราแทน…”

“ทุกท่าน พี่ชายกงมีแผนรับมือแล้ว อีกมินานจะเคลื่อนทัพไปตอบโต้ที่ค่ายกองทัพสวรรค์ เช่นนั้นขณะที่พี่ชายตั้งตนเป็นจักรพรรดิ จึงมีข้อดีอย่างน้อยถึง 3 ประการ”

“ประการที่หนึ่ง กองทัพสวรรค์ของพวกเรามีเป้าหมายให้ติดตาม ประการที่สอง ออกรบเพื่อฝ่าบาท มีความหมายที่ยิ่งใหญ่กับเหล่าทหารในกองทัพสวรรค์ทุกคน พวกเราตลอดจนเหล่าทหาร จะออกไปสู้รบให้สุดกำลัง ! ประการที่สาม ประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารับรู้ว่าพี่ชายกงได้สร้างราชสำนักเพื่อต่อสู้กับราชสำนักของราชวงศ์หยู”

“ทุกท่านลองคิดดูเถิด ยามนี้ที่ราชวงศ์นั้นเดิมทีก็มิได้มั่นคงนัก หากข่าวที่พี่ชายกงตั้งตนเป็นจักรพรรดิแพร่งพรายออกไป ก็จะสามารถรวบรวมผู้มากฝีมือมาเข้าร่วมจากทั้งสี่ทิศด้วยใช่หรือไม่เล่า ? ”

“หลังจากการต่อสู้กวาดล้างกองทัพทหารทางเหนือครานี้ พี่ชายกง ไม่สิ ชื่อเสียงบารมีของฝ่าบาทก็จะเป็นหนึ่งมิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ แม้แต่แคว้นฮวงเองก็จะให้ความสำคัญกับพวกเรามากยิ่งขึ้น”

เขาหุบพัดขนนกเก็บลงไป “นี่คือเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ราชวงศ์ใหม่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว และราชวงศ์เก่าก็จะพังทลายลงเช่นกัน ทุกท่านคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

จิ้งซุ่ยจินกังปรบมือทันที “ข้าเห็นด้วยมากยิ่งนัก ! ”

จินกัง 4 คนที่เหลือพากันตอบรับเสียงดังเซ็งแช่ และนายทหารที่เหลือต่างก็รู้สึกว่าคำเอ่ยของชืออันมีเหตุผล ก่อกบฎมาถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยงไรเสียมิว่าจะช้าหรือเร็วกงเซินจ่างก็ต้องตั้งตนเป็นจักรพรรดิและตั้งราชวงศ์ใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้อยู่แล้ว

ผู้คนในโถงประชุมแห่งนี้ต่างเสนอแผนการกันอย่างครึกครื้น

อย่างเช่นชื่อแคว้นของราชวงศ์ใหม่

อย่างเช่นลำดับปีของจักรพรรดิองค์ใหม่

และอย่างเช่นวันที่จะสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่ รวมไปถึงควรมีเครื่องแต่งกายในพิธีการเป็นต้น

มองดูแล้วคึกคักเป็นอย่างมาก

กงเซินจ่างมิได้มิเห็นด้วย คนพวกนี้ ตลอดทั้งวันทั้งคืนเรียกแต่พี่ชาย พี่ใหญ่มิมีกฎระเบียบเลยสักนิด ทำราวกับว่าตนเองยังอยู่ในยุทธจักรที่สับสนวุ่นวาย

ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ พี่ชายมิได้อีกต่อไปแล้ว !

หากได้ตำแหน่งจักรพรรดิ ข้าก็จะมีเหตุผลโดยชอบธรรมในการคัดเลือกนางสนมแล้ว !

ด้วยเหตุนี้ หลังจากการร่วมหารือครานี้ สามารถกำหนดเรื่องราวบางอย่างได้แล้ว

“ชื่อของราชวงศ์และแคว้นใหม่ ข้าถูกใจอักษรเทียนตัวนี้ แคว้นเทียน เยี่ยงนี้ถึงจะเป็นชื่อเสียงที่ดังกังวาน”

“เกี่ยวกับวันที่จะขึ้นสถาปนา ก็ให้เป็นวันที่ยี่สิบห้าเดือนเก้าไปก่อน ยังมีเวลาให้เตรียมตัวอีก 5 วัน ทุกท่านเตรียมตัวให้ดี”

“สำหรับพิธีการ เรื่องนี้ทำอย่างง่ายไปก่อน รอให้พวกเราจัดการกองทัพทหารทางเหนือได้แล้ว หลังจากที่ชัยภูมิทางเหนือนี้มั่นคงแล้ว ค่อยไปจัดพิธีการใหญ่ที่เมืองหย่งหนิง และลงสมุดบันทึกเหล่าขุนนาง…”

กงเซินจ่างมองดูผู้คนเหล่านี้ด้วยสายตาน่าเกรงขาม “ทุกท่านล้วนเป็นคนสนิทของข้า เป็นแขนซ้ายและแขนขวา ข้าย่อมมิเอาเปรียบพวกเจ้าอย่างแน่นอน ! ”

“ต่อจากนี้พวกเจ้าทุกคนต้องตื่นตัวกันสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังที่เก็บสะสมสะเบียงทั้งสามแห่งเอาไว้ รอให้ถึงวันที่หนึ่งเดือนสิบ เมื่อกองทัพของแคว้นฮวงมาถึง…ระฆังมรณะของราชวงศ์หยูจะดังขึ้น เสียงบรรเลงเพลงจะดังขึ้นที่นี่ ! ”

นายน้อยเจ้าสำราญ

นายน้อยเจ้าสำราญ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญโชคดีที่ได้ทะลุมิติมา ทั้งยังได้เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ชีวิตนี้ไม่ได้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าแต่ก็ไม่อยากจะเอาแต่กินจนตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นฟู่เซี่ยวกวนจึงได้กระทำเรื่องบางอย่างตามอำเภอใจ โดยไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเกิดผล กระทบที่ใหญ่หลวงตามมาเยี่ยงนี้ ฮ่องเต้ต้องการให้เขาเป็นขุนนางชั้นหนึ่ง องค์หญิงต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นราชบุตรเขย บุตรีแห่งจวนเสนาบดีสำนักตรวจการต้องการแต่งกับเขา คนป่าต้องการหัวของเขา รัฐอี๋ต้องการชีวิตของเขา ส่วนรัฐฝานต้องการเงินของเขา… แต่เขา.. ฟู่เซี่ยวกวนนั้นต้องการเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ต่างหากเล่า !

Comment

Options

not work with dark mode
Reset