ตอนที่ 432 ปรากฏตัวอีกครั้ง
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงด้วยการหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป
เขาไปยังพระราชวังและได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ราชวงศ์ เขาปรากฏตัวต่อหน้าขุนนางบู๊และบุ๋นทั้งหลาย
จากนั้นเขาก็ได้ไปยังวังหลัง และร่วมรับประทานอาหารกับฮองเฮาซั่งหนึ่งมื้อ
จากนั้นก็เดินทางไปยังจวนต่ง เพื่อเยี่ยมเยียนท่านเสนาบดีต่งและฮูหยินต่ง ตามด้วยไปยังจวนเยี่ยน และได้พบกับเยี่ยนฮ่าวชูบิดาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวในห้องหนังสือของเยี่ยนเป่ยซี เขาได้ร่วมดื่มชากับทั้งสองคนอีกทั้งยังได้สนทนากันจนกระทั่งมืดค่ำ สุดท้ายก็ได้เดินทางกลับไปกินมื้อเย็นที่จวนต่ง
เมื่อบัณฑิตจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยรู้ข่าวเรื่องฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับมา พวกเขาก็ดีใจเป็นอย่างมากเนื่องจากเขาเป็นถึงผู้มีความสามารถในราชวงศ์หยู เป็นคนดีมีเทวดาคุ้มครอง จะตายในกองหิมะของราชวงศ์อู๋ได้เยี่ยงไร
หลังจากข่าวคราวนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ก็ได้มีจดหมายออกจากเมืองหลวงจำนวนมาก มีทั้งส่งไปยังซีฮวง ราชวงศ์อู๋ แคว้นอี๋ แคว้นฮวง และค่ายทหารตะวันตกเป็นต้น
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่ก็เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าและทหารรักษาพระองค์ฮั่วหวยจิ่นได้รอเขาอยู่ที่ศาลาเถาหราน
“ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งกลับมาคงจะวุ่นวายน่าดู แต่พวกเรามีเรื่องที่จะต้องสนทนากับเจ้า” หยูเวิ่นเต้ายกยิ้มขึ้นแล้วกล่าว
ฮั่วหวยจิ่นลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า “เรื่องขอบคุณเหล่านั้นข้าจะมิเอ่ยให้เสียเวลา คืนวันพรุ่งนี้ข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ให้เจ้าที่หอซื่อฟางแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วนั่งลง “ย่อมได้ กล่าวไปแล้วพวกท่านอาจจะมิเชื่อ เมื่อข้าเดินทางออกจากเมืองจินหลิงไป สิ่งที่คิดถึงเป็นอย่างแรกนั่นก็คืออาหารของหอซื่อฟาง…”
เขาต้มชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เมืองกวนหยุนนั้นบรรยากาศดีก็จริง แต่ว่าอาหารการกินมิได้บรรจงเท่ากับเมืองจินหลิงของพวกเรา ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมื่อคืน และวันนี้ก็ได้ไปคารวะผู้ใหญ่ทั้งหลาย พวกเราพรรคพวกกันเองจึงยังมิได้เดินทางไปพบ”
หยูเวิ่นเต้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน “ข้าแปลกใจเสียจริงว่าเจ้าไปอยู่ที่ใดมากันแน่ ? สงครามที่ภูเขาผิงหลิงเจ้าเข้าร่วมด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ผิงหลิงและชวูอี้ทำการก่อสร้างขึ้น เจ้าก็เกี่ยวข้องด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ในเมื่อเจ้ายังอยู่อย่างสบายดี เหตุใดจึงต้องปิดบังความจริงกัน ? ”
หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถามข้อสงสัยในใจออกมาเสียมากมาย ส่วนฮั่วหวยจิ่นก็ได้นั่งมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางจริงจัง ในใจเขาก็ได้มีคำถามอยู่มากมายเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาพลางกล่าวว่า “หิมะถล่มครานั้นนับว่าข้าโชคดียิ่ง ผู้คนมากมายตกตายจากเหตุการณ์นั้น มีเพียงข้าที่รอดชีวิตมาได้… แม่นางที่ชื่อว่าหยุนเหนียงได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ในตอนนั้นข้าบาดเจ็บเป็นอย่างมากและได้รักษาตัวอยู่กว่าสามเดือน
“ข้าเดินทางจากที่นั่นมาในเดือนเจ็ด หนทางระเกะระกะ จนกระทั่งวันที่สิบห้า เดือนแปด จึงได้เดินทางมาถึงซีซานแห่งเมืองหลินเจียง”
เขารินน้ำชาให้กับองค์ชายห้ากับฮั่วหวยจิ่นแล้วเงยหน้าถอนหายใจ “ข้ามิได้อยากเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นหากข้าเปิดเผยตัวตน ก็คงจะถูกจับกุมตัวกลับไปยังราชวงศ์อู๋ใช่หรือไม่ ? ”
“บัดนี้เจ้าก็ได้เปิดเผยตัวตนแล้วมิใช่หรือ ? ”
“บัดนี้เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เวลากว่าครึ่งปีคาดว่าหลิงเอ๋อร์คงนั่งในตำแหน่งจักรพรรดินีอย่างมั่นคงแล้ว ไทเฮาซีและขุนนางทั้งหลายคาดว่าคงจะรับความจริงนี้ได้แล้ว ที่สำคัญคือ ถึงเวลาที่ข้าจะอภิเษกสมรสได้แล้ว”
เรื่องการอภิเษกสมรสของฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้ประกาศออกไป ดังนั้นเมื่อหยูเวิ่นเต้าและฮั่วหวยจิ่นได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงและดีใจเป็นอย่างมาก
“ในที่สุดเจ้าก็จะทำในสิ่งที่มั่นคงเสียที เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงทราบแล้วใช่หรือไม่ ? พวกเขาวางแผนเยี่ยงไรบ้าง ? น้องสาวข้าจะอภิเษกทั้งที ขบวนจะต้องยิ่งใหญ่อลังการ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัว “ฝ่าบาททรงตรัสว่า เกิดเป็นมนุษย์ควรถ่อมตน ! ”
เมื่อยามอู่ของวันนี้ ณ วังเตี๋ยอี๋ ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งได้ตรัสถึงเรื่องการอภิเษกสมรสว่าให้จัดอย่างเรียบง่าย เนื่องจากหยูเวิ่นหวินนั้นตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว !
หากทำตามประเพณีของราชวงศ์ให้ครบถ้วน เกรงว่าร่างกายของหยูเวิ่นหวินจะมิอาจรับได้ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาคงจะลำบากเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความคิดเห็นใดสำหรับเรื่องนี้ เพียงแต่ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากเดิมทีเคยให้สัญญากับพวกนางไว้แล้วว่าจะจัดงานอภิเษกสมรสให้ใหญ่โต บัดนี้มองดูแล้วคงจะต้องผิดคำสัญญาเป็นแน่
แต่เมื่อเขาได้กล่าวกับครอบครัวของต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวแล้ว พวกเขาก็มิได้ขัดแย้งอันใด
หยูเวิ่นเต้าเอ่ยอย่างมิพอใจว่า “อะไรกัน ? เสด็จพ่อและเสด็จแม่มิมีเงินเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ? แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลอื่นอีกเป็นแน่… ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย หลังจากที่หยูเวิ่นชูเดินทางไปยังซีหรงแล้ว หยี่ฮวาถายยังมีอยู่ในเมืองหลวงอีกหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นี่นับว่าเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
“ทางหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้ทำการสืบข้อมูลอย่างละเอียดหลังจากที่เขาเดินทางออกไปจากเมืองหลวงแล้ว คนของหยี่ฮวาถายนั้นหายไปทั้งหมด คาดว่าเขาคงจะวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว คนเหล่านั้นเกรงว่าจะอยู่ในเมืองซีหรง”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยถามฮั่วหวยจิ่นว่า “เมืองซีหรงอยู่ห่างจากบ้านเจ้าไกลหรือไม่ ? ”
“เมืองซีหรงตั้งอยู่ทางทิศใต้ บ้านข้าอยู่ที่ซีฉุยเมืองยวีหลาน สองแห่งนั้นห่างกันราว 600 ลี้ เพียงแต่ทางค่อนข้างคับแคบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าไปยังเขตภูเขา ถนนบนภูเขาขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ มีหลายแห่งที่มิมีถนน เป็นการใช้ไม้กระดานที่สร้างขึ้นโดยผู้คนในยุคก่อน สามารถผ่านม้าได้เพียงตัวเดียว ที่แห่งนั้นจึงเป็นสถานที่ที่ป้องกันง่ายแต่โจมตียาก”
“ทว่าเมืองซีหรงนั้นเป็นเมืองที่ดีมากเสียทีเดียว ข้าเคยติดตามท่านพ่อไปเมื่อยังเยาว์วัย มีภูเขาล้อมรอบสี่ทิศ เมืองซีหรงนั้นตั้งอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่ สภาพอากาศดีมากยิ่งนัก พืชผลให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นในความคิดของข้า สถานที่แห่งนั้นจึงมิเลวเสียทีเดียว หากทางแคว้นเข้าควบคุมและจัดการอย่างเหมาะสม สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นยุ้งฉางอีกแห่งหนึ่งของทางตอนใต้”
ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟังอย่างละเอียด เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นคล้ายคลึงกับเมืองเสฉวนในชาติที่แล้วของเขา
“ถู่ซือเปล่านั้นอาศัยอยู่ในจวนซีหรงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หาใช่ไม่ ถู่ซือที่มีอำนาจสูงสุดอาศัยอยู่ในจวนซีหรง เป็นตระกูลเผิง ผู้ปกป้องที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งขึ้นมา ส่วนถู่ซือคนอื่น ๆ นั้นอาศัยอยู่ในภูเขา”
“สำนักใหญ่ของลัทธิจันทราอยู่ที่ใด ? ”
“ได้ยินมาว่าอยู่ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน…เจ้าต้องการจะทำสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ในหุบเขาลึกนั้นมิใช่สถานที่ที่น่าไปเท่าใดนัก มันมิเหมือนกับภูเขาผิงหลิง ได้ยินมาว่าที่นั่นมีหมอกควันตลอดทั้งปี บรรยากาศมิสู้ดีนัก หากจะบุกเข้าไป เพียงแค่นำคนเข้าไปอย่างเดียวก็ยากที่จะกลับออกมาแล้ว”
หยูเวิ่นเต้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าใกล้จะมีครอบครัวแล้ว ทำสิ่งใดให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ข้ามิยอมให้น้องสาวของข้ากลายเป็นม่ายอย่างแน่นอน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ “ข้าก็เพียงแค่ไถ่ถามดูก็เท่านั้น”
เขาหยุดชะงักลงแล้วเอ่ยถามฮั่วหวยจิ่นต่อไปว่า “แคว้นหยูของเราและแคว้นฝาน…ปกติแล้วมีข้อขัดแย้งกันหรือไม่ ? ”
“ข้อขัดแย้งน้อยมากยิ่งนัก ทั้งสองแคว้นนั้นค่อนข้างเป็นอิสระที่เมืองยวีหลานมีชาวฝานเดินทางเข้ามาทำการค้าจำนวนมิน้อย ลูกประคำและหยกของพวกเขาได้รับความนิยมจากชาวบ้านที่ยวีหลานเป็นอย่างมาก ทำนองเดียวกันพ่อค้าจากยวีหลานก็เดินทางไปทำการค้าที่แคว้นฝานด้วย การปักผ้าของพวกเรานั้นได้รับความนิยมยิ่งนักที่แคว้นฝาน”
นี่อาจจะเป็นเพราะทั้งสองแคว้นเปิดโอกาสทางด้านการค้าก็เป็นได้ มองดูแล้วการค้าระหว่างแคว้นจะเป็นไปตามที่ฝานเทียนหนิงได้กล่าวไว้ หากดำเนินนโยบายขึ้นมาจริง ๆ คงเป็นไปได้มิยาก
“สงครามชายแดนตะวันตกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ท่านแม่ทัพเซวี๋ยติ้งชานมีฝีมือในการฝึกฝนเหล่าทหารเป็นเลิศ แม้ว่าทางตะวันตกจะมิมีสงครามมากว่าสิบปีแล้ว แต่ทว่าท่านแม่ทัพมิเคยหยุดการฝึกฝนเหล่าทหารเลย”
“ทำสงครามเก่งเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…เกรงว่าเก่งกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการออกมาได้ ! ”