ตอนที่ 435 สุขเท่าใดเศร้าเท่าใด
ฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้นที่จินหลิง และจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือนสิบเอ็ด วันที่สิบแปด ข่าวนี้ได้แพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า
ณ คฤหาสน์จิ้งหู เมืองกวนหยุน แคว้นอู๋
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหน้าต่างเพียงลำพัง จ้องมองเมฆหนาที่บดบังเมืองหลวง และมีร่องรอยความหดหู่อยู่ในแววตา
เขาจะแต่งงานแล้ว เจ้าสาวก็คือสตรีงามที่ติดตามเขามายังแคว้นอู๋แห่งนี้
ข่าวคราวที่ว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่คิดว่าน่าจะเข้าหูของขุนนางของราชวงศ์อู๋แล้ว ไทเฮาจะส่งคนไปเชิญเขากลับมาหรือไม่ ?
หากเขากลับมานั่นเป็นเรื่องที่ดี ราชวงศ์อู๋มีเขา ย่อมแข็งแกร่งขึ้นเป็นแน่ ส่วนข้า…จะพาบุตรของเขาไปอยู่ในป่าในเขา
เรื่องที่อู๋หลิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์นั้น ในราชวงศ์อู๋ที่ยิ่งใหญ่นี้มีเพียงแค่ไทเฮาเท่านั้นที่ทรงทราบ แต่ไทเฮาก็มิได้ทราบว่าบิดาของบุตรที่อยู่ในท้องนั้นคือผู้ใด
อู๋หลิงเอ๋อร์มิเคยเอ่ยถึงมาก่อน
หากไทเฮาทรงทราบเข้า นางจะต้องสั่งให้หมอหลวงนำเด็กคนนี้ออกเป็นแน่ เพราะนางคือน้องสาวของฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นเรื่องที่ขัดต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์ มิมีผู้ใดในใต้หล้านี้ที่สามารถอดทนได้
บุตรที่อยู่ในท้องตอนนี้มีอายุมากกว่าหกเดือนแล้ว และเขาจะคลอดในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า
“เจ้าคือบุตรของเขา เจ้าต้องเป็นเด็กดี อย่าทำให้แม่ผิดหวัง” อู๋หลิงเอ๋อร์ลูบท้องไปมา ความหดหู่บนใบหน้าได้เหือดหายไป ประกายของคนที่กำลังจะได้เป็นแม่คนเปล่งประกายขึ้นมาอีกครา
ในเมื่อเขาจะเข้าพิธีสมรสแล้ว ข้าก็ควรจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่เขา !
“นำคนมา ! ”
“นำราชโองการของข้าไปประกาศ”
“ฟู่เสี่ยวกวนจะสมรสแล้ว รายการของขวัญที่อู๋จ้าวจะมอบให้มีดังนี้… ! ”
วังหลังเขตหลวง ณ เมืองกวนหยุน
……
ไทเฮากุมไม้เท้าหัวมังกรและเดินวนไปมาในลานของตำหนักนี้
“วังหลังนี้… ช่างหนาวเกินไปอย่างแท้จริง มันทำให้ข้าว้าวุ่นใจมากยิ่งนัก ! ”
ขันทีเกาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่อีกข้าง รีบตอบกลับไปว่า “ไทเฮาประสงค์จะออกไปเดินเล่นเพื่อพักผ่อนในวันพรุ่งนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“มันมิสามารถออกไปจากใจของข้าได้ ขันทีเกา ฟู่ต้ากวนเริ่มสงสัยถึงแผนการของเจ้า และเริ่มสงสัยถึงแผนการของข้า อีกทั้งตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครา พรุ่งนี้เช้า จะต้องมีเสนาบดีจำนวนมากที่ยื่นหนังสือขึ้นมา ให้ข้าส่งคนไปพาฟู่เสี่ยวกวนกลับมาเป็นแน่…”
นางยืนนิ่งอยู่ใจกลางลาน มองไปทางเกาเสี่ยน “ชะตาของเด็กนั่น ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง แต่เขามิสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นเจ้าจงไปราชวงศ์หยู หากมิสามารถสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้ เจ้าก็มิต้องกลับมาหาข้าอีก แน่นอนว่าเจ้าก็มิต้องกลับมาพบหน้าบุตรของเจ้าอีก”
เกาเสี่ยนคุกเข่าลงเสียงดังปึก “กระหม่อมรับบัญชา ! ขอสาบานว่าหากยังสังหารฟู่เสี่ยวกวนมิได้ กระหม่อมจะมิมีทางหยุดพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ไปเถอะ ทหารสอดแนมมีมือดีอยู่เล็กน้อย เจ้านำราชโองการของข้าไป และไปเลือกด้วยตนเองเสีย แต่อย่าไปทำให้โจวถงถงตื่นตัวเข้าล่ะ ! ”
“ขอบพระทัยไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เกาเสี่ยนหันหลังจากไป จากนั้นเขาก็ได้ไปคัดเลือกทหารสอดแนมที่มีฝีมือระดับสูงมา 30 นายและได้ออกเดินทางไปจากเมืองกวนหยุนในคืนนั้น
เรื่องนี้ย่อมหลบมิพ้นสายตาของหอเทียนจี ทันทีที่โจวถงถงได้รับข่าวนี้ จึงได้พาม้าเร็วของหอเชียนจี 100 คนตามออกไป
ในยามที่โจวถงถงได้ออกไปจากเมืองกวนหยุน ไทเฮาก็ได้พานางในทั้งสองลอบมายังหอเทียนจีอย่างเงียบ ๆ จัดการกับผู้คุ้มกัน เมื่อได้เข้ามาในหอเทียนจี ถึงได้พบว่าภายในหอแห่งนี้ เดิมทีมิได้มี 18 ชั้น
แต่มีเพียง 8 ชั้นเท่านั้น !
นางอยู่บนชั้นแปดเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป แต่เยี่ยงไรเสียนางก็มิพบเอกสารลับของจักรพรรดิราชวงศ์ในอดีตที่วางเอาไว้ที่นี่
นางกลับมาถึงวังหลัง คิ้วขมวดนิ่ว หลังจากนั้นก็กล่าวกับนางในทั้งสองที่อยู่ข้างกายว่า “ไป๋หลี่หงส์ เจ้าจงพาพวกนางไปคฤหาสน์จิ้งหูในทันที และจงรักษาความปลอดภัยของฝ่าบาทไว้ให้ดี ! ”
ผู้สังเกตแห่งสำนักเต๋าคิดว่าองครักษ์ฝ่ายซ้ายของลัทธิจันทราจะตรงไปยังเมืองกวนหยุนเพื่อสังหารอู๋หลิงเอ๋อร์ แต่เขากลับคาดมิถึงว่าคำสั่งที่ไทเฮาซีมอบให้พวกนางจะเป็นการปกป้องอู๋หลิงเอ๋อร์ !
ไป๋หลี่หงส์ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามว่า “ความหมายของท่านนักบุญ คือการเอาชีวิตของอู๋หลิงเอ๋อร์ ท่านศาสดาโปรดควบคุมอำนาจของราชวงศ์อู๋ด้วยเพคะ”
ไทเฮาซีเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่หนาแน่น ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า “กล่าวได้ว่า… คำกล่าวของศาสดาเยี่ยงข้า มิมีผลเท่ากับคำกล่าวของนักบุญเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ไป๋หลี่หงส์รีบโน้มคำนับและกล่าวว่า “หม่อมฉันมิบังอาจ ทุกฝ่ายในลัทธิจันทรา เคารพในเจตจำนงของศาสดาลัทธิเพคะ”
“เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว ไปลงมือทำตามความประสงค์ของข้าเสีย”
“หม่อมฉันรับบัญชา ! ”
ตำหนักนี้กลับมาว่างเปล่าอีกครา ไทเฮากุมไม้เท้า จ้องมองเมฆที่หนาทึบ และจ้องมองอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน
คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยังมีชีวิตอยู่ และอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ในช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี… นางอุ้มบุตรของฟู่เสี่ยวกวนไว้อยู่ !
แต่นี่คือข่าวดี อู๋หลิงเอ๋อร์จะมิสามารถตายได้เป็นอันขาด มิเพียงแต่นางจะตายมิได้ บุตรในท้องของนางก็ต้องคลอดออกมาโดยปลอดภัยเช่นกัน
ใบหน้าของไทเฮาผุดรอยยิ้มที่มีเลศนัยขึ้นมา ดังนั้น เมฆหมอกที่ตกลงมานี้กลับหนาวเหน็บมากยิ่งขึ้นไปอีก
……
……
ณ หอซื่อฟาง
จางเพ่ยเอ๋อร์สั่งอาหารขึ้นมาหนึ่งสำรับ และต้องการสุราหนึ่งไห
นางนั่งอยู่ตั้งแต่ยามเว่ยจนถึงยามโหย่ว ทานอาหารสำรับนี้จนหมดโต๊ะ และดื่มสุราจนหมดไห
อดีตคุณชายแห่งหลินเจียง ใกล้จะเข้าพิธีสมรสแล้ว
นางติดตามฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่ผิงหลิงมาจนถึงซีซาน และจนมาถึงจินหลิง มือของนางจับกระบี่อยู่บ่อยครา แต่ท้ายที่สุดก็มิได้ชักออกมา
หากเขาตาย เกรงว่าเงินทุนที่ซีซานลงทุนที่ผิงหลิงนั้นจะขาดหายไป
เหล่าชาวบ้านในผิงหลิงเหล่านั้นเพิ่งจะได้มองเห็นความหวังของอนาคต หากกระบี่ของตนไปตัดมันลง คงจะเป็นการตัดโอกาสการมีชีวิตอยู่ของชาวบ้านเหล่านั้น
พี่ชายที่เคยเกลียดฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก แต่ในวันนี้กลับได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไปแล้ว
“เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ข้าเคยคิดว่าเป็นการยากที่จะเอาชนะในด้านบทกวีหรือบทความ แต่ในวันนี้ข้าเพิ่งจะได้ทราบ มิว่าจะเป็นการบริหารปกครองบ้านเมือง เคลื่อนพลไปรบ กลยุทธ์การรบและอื่น ๆ ก็ยังคงยากที่ข้าจะเอาชนะได้ ดังนั้นเพื่อราชวงศ์หยู และเพื่อราษฎรทั่วใต้หล้า น้องสาว เจ้าอย่าได้ชักกระบี่ออกมาเป็นอันขาด”
คุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงผู้นี้ ในวันนี้กลับกลายเป็นผู้ช่วยราชวงศ์หยูที่ใหญ่โตนี้ !
บางที อาจจะมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้
ดังนั้นสตรีทั้งสามจึงเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้า !
ดื่มสุราด้วยความกลุ้มใจ แต่จางเพ่ยเอ๋อร์ก็มิได้เมามายแต่อย่างใด
นางยืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่สว่างไสว มองไปยังดวงจันทร์ที่อยู่บนผืนทะเลสาบเว่ยยาง แน่นอนว่านางจะมิกระโดดน้ำเหมือนตอนยังเยาว์อีกต่อไป แค่เพียงมองเท่านั้น และรู้สึกว่าดวงจันทร์วันนี้สวยมากยิ่งนัก
เย็นชาแต่งดงาม !
นางหันหลังจากไป เหยียบย่างไปทางแสงจันทร์ ออกเดินทางไปจากจินหลิง และตรงไปยังป่ากระบี่
ใต้หล้านี้ได้ขาดคนที่ทรมานเพื่อรักอย่างจางเพ่ยเอ๋อร์ไป หนึ่งปีให้หลัง บู๊ลิ้มได้มีผู้มีฝีมือระดับสูงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน นางได้ฝึกกระบี่ไร้ความรู้สึก แต่กระบี่ของนางนั้นกลับเต็มไปด้วยความรัก หนึ่งกระบี่คล้ายกับดอกไม้ที่สวยสดไปทั่วทั้งอาคาร ดังนั้น ผู้คนที่ยุทธภพจึงมอบนามให้นางว่า ฮวาหม่านโหลว
สตรีทั้งใต้หล้าที่คิดกับฟู่เสี่ยวกวนเฉกเช่นเดียวกับอู๋หลิงเอ๋อร์หรือจางเพ่ยเอ๋อร์นั้นมีอยู่มากโข ในอดีตถึงแม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีสาวงามอยู่ข้างกายแต่ก็ยังมิได้สมรสกัน นั่นทำให้สตรีเหล่านั้นยังมีความหวังอยู่บ้างมิมากก็น้อย
ถึงแม้ความคิดนี้จะแตกสลาย แต่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวความปรารถนาของพวกนางเท่านั้น เป็นความใฝ่ฝันภายใต้แสงตะเกียงที่โดดเดี่ยว
และในวันนี้ความคิดได้แตกสลายลงไปแล้ว เหลือไว้เพียงน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาของพวกนาง
ในเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิทราบ เขาในยามนี้กำลังนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน และจ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง !
ฟู่ต้ากวน !
คาดมิถึงว่าชายร่างอ้วนจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ !
เขามาอย่างกะทันหัน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็จ้องมองใบหน้าอวบอิ่มนั้นอยู่เนิ่นนาน
“ท่านพ่อ… ! ”
“ข้าคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว ! ”