ตอนที่ 496 มนุษย์มิมีดีชั่ว
“เช่นนั้นตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
ซูเจวี๋ยขยับหมวกให้ตรงจากนั้นก็กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เรื่องเช่นนี้ ข้าก็มิรู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไรดีเหมือนกัน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ซูซูต้มชามาหนึ่งกาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วครุ่นคิด “ในเมื่อนางเป็นผู้อาวุโสที่สามของลัทธิจันทรา คาดว่าคงต้องการเดินทางมาเพื่อฆ่าข้า แล้วเหตุใดนางต้องมาช่วยข้ากัน ? ”
หลังจากชะงักลงชั่วครู่ เขาก็กล่าวอีกว่า “ในตอนนั้นเจ้ามิรู้ ใต้ทะเลสาบนั่น สตรีนางหนึ่งกำลังจะเข้ามาฆ่าข้า หากมิใช่เพราะนาง ครานี้ข้าคงตายไปแล้วจริง ๆ แต่หากนางทำเช่นนี้เพื่อต้องการเข้าใกล้ข้า จะมิเป็นเรื่องเสี่ยงไปหน่อยหรือ ? ”
ซูเจวี๋ยเองก็มิเข้าใจเช่นกัน เขาจึงได้กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “หรือนางจะมิใช่ถงเหยียนกัน ? ”
“มีหนทางลบการปลอมใบหน้าของนางออกเพื่อดูให้ชัดเจนหรือไม่ ? ”
“ต้องมีผู้ชำนาญด้านการปรุงน้ำยา ข้ามิได้เป็นผู้ชำนาญในด้านนี้ อีกอย่าง มิมีผู้ใดเคยเห็นว่าถงเหยียนหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ต่อให้ปรากฏใบหน้าที่แท้จริงของนาง พวกเราก็มิรู้ว่านางใช่ถงเหยียนหรือไม่”
เรื่องนี้ช่างทำให้ปวดหัวยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วอยู่ ๆ แววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาพลางเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าว่า…เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่าข้าหน้าตาหล่อเหลา ดังนั้นนางจึง…”
“เหอะ ! ”
ซูซูเหล่ตามองเขา แม้แต่ซูโหรวเองก็ใช้ดวงตาอันเรียวเล็กของนางจ้องมาทางเขาเช่นกัน
ซูเจวี๋ยกล่าวขึ้นมาว่า “จะว่าไป เหตุผลนี้ก็มิใช่ว่าเป็นไปมิได้ มิเช่นนั้นก็มิรู้จะอธิบายเยี่ยงไรแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วหัวเราะหึ ๆ “ตอนนี้มิต้องใส่ใจว่านางมีจุดประสงค์อันใด อย่าเพิ่งเปิดจุดพลังภายในของนาง ส่วนเรื่องราวจะเป็นเยี่ยงไรนั้น รออีกสักสองสามวันค่อยหารือกันใหม่ ตอนนี้ข้าต้องไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังจวนหลัก หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วเขาก็ได้เข้าไปทักทายภรรยาทั้งสาม สาวใช้ในจวนใหญ่ก็ได้วิ่งเข้ามารายงาน หลี่เจิ้งกล่าวว่าฮั่วหวยจิ่นและหนิงหยู่ชุนเดินทางมาเข้าพบ
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปและพบว่าทั้งสองได้นั่งอยู่ในหลีเฉินซวน
“เจ้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ” หนิงหยู่ชุนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“เกือบจะมิได้เจอหน้าข้าอีกแล้วล่ะ ! ” ทั้งสองคนต่างตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ณ หงซิ่วจาวให้พวกเขาฟัง แต่มิได้กล่าวว่าตนถูกถงเหยียนช่วยชีวิตเอาไว้ แต่กลับกล่าวว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้ออกแรงช่วยอย่างเต็มที่จากการโจมตีของศัตรู
“เจ้าช่างโชคดีอย่างแท้จริง !” หนิงหยู่ชุนถอนหายใจออกมา ฮั่วหวยจิ่นเองก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน
หงซิ่วจาวถูกไฟใหม้เสียจนวอดวาย แน่นอนว่าย่อมทำให้ชาวเมืองจินหลิงแตกตื่นมิน้อย จินเชียนฮู่พาจิงหยูเว่ยไปดู และพบว่ามิใช่การเกิดไฟไหม้ที่เป็นอุบัติเหตุ
ศพมากมายลอยอยู่บนผิวน้ำ มีคนเสียชีวิตมิน้อยเลยทีเดียว
หลังจากนั้น เขาก็ได้รายงานไปยังหนิงหยู่ชุน ทำให้หนิงหยู่ชุนรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขารู้ว่าในคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้รับเชิญไปงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาว ให้ตายสิ ! เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน และมิรู้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรในตอนนี้ เจ้าจะตายมิได้เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่ !
ดังนั้น เขาจึงได้สั่งให้ทหารทั้งสองฝั่งออกเก็บศพในแม่น้ำฉินหวาย และตนก็ได้ขี่ม้าไปยังริมฝั่งของแม่น้ำฉินหวายในเวลาต่อมา
เรื่องนี้รู้เข้าถึงพระกรรณของฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาททรงตกพระทัยยิ่ง จากนั้นจึงมีรับสั่งไปยังฮั่วหวยจิ่น ให้นำทหารออกลาดตระเวน และปิดกั้นถนนนอกเมืองจินหลิงด้านนอกสามชั้นด้านในสามชั้น
ฮั่วหวยจิ่นทำตามคำรับสั่งอย่างเคร่งครัด จากนั้นจึงขี่ม้าไปยังริมฝั่งแม่น้ำฉินหวายจึงได้พบเข้ากับหนิงหยู่ชุน และได้รู้ว่าพวกเขานำศพขึ้นมาได้ 91 ศพ และมีผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งคนนั่นก็คืออาจารย์หูฉินหู
ศพทั้งเก้าสิบเอ็ดศพนี้ถูกนำมาเรียงไว้ริมฝั่งแม่น้ำ หลายต่อหลายศพที่ถูกไฟเผามอดไหม้เสียจนมองมิเห็นเค้าโครงเดิม และมีคนชุดดำทั้งสิ้น 32 คน มิได้ถูกไฟไหม้เสียชีวิต แต่ถูกแทงจนถึงแก่ความตาย
“นี่น่าจะเป็นฝีมือของซูเจวี๋ย”
“มีซูเจวี๋ยคอยอารักขาอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน เขาน่าจะมิเป็นอันใดมากนัก”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ! ”
พวกเขามิได้พบศพของฟู่เสี่ยวกวน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียทีเดียว ทั้งสองคนจึงรีบขี่ม้ามายังจวนฟู่ และเมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้ พวกเขาจึงได้วางใจลง
สิ่งที่พวกเขามิรู้ก็คือ เมื่อตอนที่พวกเขาออกมาจากแม่น้ำฉินหวาย ขันทีเจี่ยได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
เขาพิจารณาดูศพเหล่านั้นอย่างละเอียด ท้ายที่สุดก็ได้นั่งยอง ๆ ลงมาข้างศพของสตรีผู้หนึ่ง
ศพของสตรีผู้นี้มีรูที่ศีรษะ เขาได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน อีกทั้งพบว่านางตายตามิหลับ เขาจึงได้ยิ้มออกมาและลอยตัวจากไป เพื่อมุ่งหน้ากลับพระราชวัง
“ทูลฝ่าบาท ท่านเสี่ยวกวนมิได้เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดเป็นคนลงมือ ? ”
“ลัทธิจันทรา ผู้ที่เดินทางมาคือรองผู้อาวุโสไป๋จื่อแห่งลัทธิจันทราพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ร้ายตายหมดแล้วหรือยัง ? ”
“ทูลฝ่าบาท ตายหมดสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นผลงานของซูเจวี๋ย ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า มีเพียงไป๋จื่อเท่านั้นที่ตายเพราะปืนของฟู่เสี่ยวกวน”
“…วันพรุ่งนี้จงเรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าประชุมด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
……
……
ณ จวนฟู่แห่งจินหลิง
หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นนั่งอยู่ที่จวนฟู่เพียงครู่หนึ่งก็ได้เดินทางจากไป ค่ำคืนนี้มีเรื่องราวมากมายที่จะต้องจัดการ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้รั้งพวกเขาเอาไว้
เขาเดินไปยังเรือนซีเซวี๋ย และนั่งลงในศาลาอี้เหลียงเพื่อสนทนากับซูเจวี๋ยถึงเรื่องลัทธิจันทรา
“สถานที่หลักของลัทธิจันทราอยู่ที่ภูเขาหมินมิผิดเป็นแน่ แต่ลัทธิจันทราได้กระจายกำลังไว้มากมาย เช่น อั้นเหมิน หยิ่นเหมินและเช่อเหมิน”
“ทั้งหมดทั้งมวลผู้คนในเช่อเหมินนั้นลึกลับที่สุด พวกเขาเกือบจะทั้งหมดเป็นคนสำคัญของลัทธิจันทรา และมีจำนวนคนมิมาก แต่หลบซ่อนได้ลึกลับยิ่ง สำนักเต๋าแทบจะมิรู้เรื่องราวของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ”
“ส่วนอั้นเหมินรับผิดชอบรายงานเรื่องราวต่าง ๆ ให้แก่ลัทธิจันทรา คล้ายคลึงกับหอซี่หยู่ หยิ่นเหมินนั้นทำหน้าที่เป็นนักฆ่า เช่นเรื่องในคืนนี้สามารถตัดสินได้ว่าเป็นฝีมือของพวกหยิ่นเหมินแห่งลัทธิจันทรา”
“จากการรายงานที่สำนักเต๋าได้รับ ในหยิ่นเหมินมีผู้มีความสามารถอยู่ 3 คน มีผู้อาวุโสสามมู่หรงเจียนเป็นผู้สืบทอด แต่บัดนี้มู่หรงเจียนได้ตกตายไปแล้ว ศิษย์เอกของมู่หรงเจียนเป็นผู้มีความสามารถที่สุดในหยิ่นเหมิน ความสามารถใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ ส่วนศิษย์รอง ไป๋จื่อเป็นผู้มีความสามารถระดับสาม ศิษย์คนที่สามก็คือถงเหยียน และพวกเขาทั้งสามได้สืบทอดความประสงค์ของมู่หรงเจียน จึงได้กลายมาเป็นผู้อาวุโสทั้งสามแห่งลัทธิจันทรา”
ซูเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน “ดังนั้น…หากว่านางคือถงเหยียนอย่างแท้จริง นางก็คือผู้อาวุโสที่สามแห่งลัทธิจันทรา จากที่ข้ามองดู พวกเราควรจะฆ่านางทิ้งเสียดีกว่า”
ประโยคนี้เขากล่าวออกมาอย่างหนักแน่น แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ยินมันชัดเจน
หากว่านางคือถงเหยียนจริง ในฐานะผู้อาวุโสที่สามแห่งลัทธิจันทรา ราชวงศ์หยูย่อมมิปล่อยนางเอาไว้เป็นแน่
แต่นางได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ดังนั้นนางก็มิอาจกลับไปยังลัทธิจันทราได้อีกแล้ว
ใต้หล้าใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางจะมิมีแม้แต่แผ่นดินให้เหยียบเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?
ส่วนเรื่องที่ว่าจะฆ่าถงเหยียนนั้น เป็นความคิดที่โผล่เข้ามาเพียงชั่ววูบ นางได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ หากว่าจะฆ่านาง ก็ควรจะมีเหตุผลให้เพียงพอจึงจะสามารถลงมือได้
“เดิมทีมนุษย์นั้นมิมีดีชั่ว ต่อให้เป็นถงเหยียนเอง นางก็มิได้ทำสิ่งใดอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อราชวงศ์หยู นางเพียงเกิดมาในลัทธิจันทราก็เท่านั้น ข้ามิเห็นด้วยว่านางควรตาย”
“แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งเคาะโต๊ะเป็นเวลาเนิ่นนาน “นางมิใช่ถงเหยียน”
“เยี่ยงนั้นนางคือผู้ใดกัน ? ”
“นางคือลูกพี่ลูกน้องของข้า ถงซินเหยียน ! ”
ซูเจวี๋ยชะงักลงทันพลัน “ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า ควรจะแซ่สวี่”
“อ่าใช่… เช่นนั้นก็สวี่ซินเหยียน”
“เจ้าจงเดินทางไปยังจวนสวี่ แล้วกำชับกับท่านตาและท่านลุงของเจ้าเสีย อีกทั้งอย่าได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้”
“ศิษย์พี่ใหญ่เห็นด้วยกับความคิดของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“…เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เดิมทีคนเรานั้นมิมีความดีหรือความชั่ว ในเมื่อนางช่วยชีวิตเจ้าไว้ แสดงว่าจิตใจของนางก็มิได้เลวร้ายอันใด”